จดบันทึก ‘กินของดิบ’
* อาหาร ทางออกใหม่ ลดเสี่ยงมะเร็ง
หากปลาร้าพัฒนาจากอาหารประจำคนในภาคอีสาน จนมาเป็นเมนูระดับประเทศแล้ว ปลาส้มซึ่ง เป็นการถนอมอาหารอีกวิธีการหนึ่ง น่าจะกลายมาเป็นอาหารจานเด็ดระดับประเทศได้ไม่ยากเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นปลาร้าหรือปลาส้ม การรับประทานแบบสุกๆ ดิบๆ ล้วนก่อให้เกิดโทษด้วยกันทั้งสิ้น
เป็น เวลาหลายสิบปีแล้วที่คนไทยได้รับการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการ รับประทานอาหารแบบสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะปลาร้าและปลาส้ม ซึ่งทุกวันนี้แทบไม่มีใครรู้ว่า อาจมีพยาธิใบไม้ตับผสมอยู่ในเมนูโปรดที่ว่านี้ ไม่เพียงเท่านั้น พยาธิที่ว่านี้อาจก่อให้เกิดโรคร้ายอย่างมะเร็งได้ด้วย
สุขสรรค์ ชูบุญ นักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยข้อมูลจากการทำวิจัยเรื่อง “อัตราเสี่ยงของการติดพยาธิใบไม้ (Haplorchis taichui) จากการทำปลาส้ม” โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประชาชนในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังนิยมบริโภคปลาส้มดิบเป็นจำนวนมาก จนก่อให้เกิดปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากปลาที่นำมาทำปลาส้มเป็นกลุ่มปลาเกล็ดขาว เช่น ปลาตะเพียน ปลาสร้อยขาว ปลาขาวนา ปลาหนามหลิง ซึ่งมีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ลำไส้ และพยาธิใบไม้ตับอยู่
ปลาส้มที่เก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ ตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันที่ 7 และหากเก็บไว้ในตู้เย็นตัวอ่อนพยาธิใบไม้จะมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันที่ 21 !!! แต่โดยทั่วไปประชาชนมักจะบริโภคปลาส้มดิบกันภายในวันที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงระยะที่ยังมีการติดต่ออยู่ เพราะเข้าใจผิดว่าความเปรี้ยวของปลาส้มจะช่วยฆ่าพยาธิใบไม้ได้ โดยเฉพาะผู้ชายมักจะมีการกินปลาส้มดิบเป็นอาหารกับแกล้ม ทำให้ติดพยาธิใบไม้มากกว่าผู้หญิง
นอก จากนี้การบริโภคลาบปลาดิบ ก้อยปลา ส้าปลา ซึ่งเป็นที่นิยมทางภาคเหนือ ทำให้ติดพยาธิใบไม้ได้เช่นกัน และพยาธิใบไม้ลำไส้สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ และหากพยาธิใบไม้เข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดจนก่อให้ เกิดการเสียชีวิตได้ แม้จะไม่พบเห็นบ่อยก็ตาม
การ ป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การบริโภคปลาส้มที่ปรุงสุกแล้ว เพราะการบริโภคปลาดิบสามารถติดพยาธิได้ 100% หรืออีกวิธีหนึ่ง คือควรนำปลาที่ใช้ทำปลาส้มไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 วัน จะสามารถฆ่าพยาธิได้ จากนั้นจึงนำไปทำปลาส้ม แต่สำหรับวิธีการนี้คงต้องมีการศึกษาต่อไปว่า ทำอย่างไรจะไม่ให้รสชาติของปลาส้มเปลี่ยนไป
ด้าน ร.ท.นพ.พิชา สุวรรณหาทร วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เปิดเผยถึงผลการวิจัยเรื่อง “การศึกษาประสิทธิภาพการป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ในตับ โดยติดตามการบันทึกพฤติกรรมการบริโภคปลาดิบอย่างต่อเนื่องด้วยตนเอง” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. เช่นกัน
จาก การเข้าไปวิจัยในพื้นที่ชุมชนท่ากระดานและชุมชนบ้านนายาว จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งประชากรส่วนใหญ่อพยพมาจากภาคอีสาน และยังคงวัฒนธรรมการกินอยู่แบบชาวอีสานอยู่ โดยเฉพาะการบริโภคปลาดิบ พบว่า มีอัตราการติดพยาธิใบไม้ในตับมากถึง 21% จากสถิติตั้งแต่ปี 2545 จนถึง 2552 ไม่ได้มีอัตราลดลงเลย ทั้งที่รัฐบาลมี นโยบายในการควบคุม แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถควบคุมได้
“จากการศึกษาว่าทำอย่างไรจะให้ประชาชน มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคปลาดิบ โดยใช้วิธีการจดบันทึกประจำวันของตนเอง ว่าวันไหนที่มีการบริโภคปลาดิบบ้าง และมีการติดตามผล ปรากฏว่า การบริโภคปลาดิบของประชาชนลดลงถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการจดบันทึกประจำวันช่วยให้มีการเตือนตัวเอง และเป็นการควบคุมพฤติกรรมไปในตัว” ร.ท.นพ.พิชา ระบุ
วิธีการนี้เป็นวิธีการเดียวกับการจดบันทึกรายรับ - รายจ่าย ที่ทำให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเองได้ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ได้ผล ทั้งนี้ หลังจากนี้อีก 1 ปีจะมีการติดตามผล เพื่อดูว่าประชาชนจะกลับมาติดพยาธิอีกหรือไม่
ซึ่งหากวิธีการนี้ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ก็สามารถนำไปขยายพื้นที่ในการป้องกันในส่วนอื่นๆ ของประเทศไทยได้ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลจาก เดลินิวส์ ที่มา : //www.thaihealth.or.th ภาพจาก : //www.delish.com
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 11:13:18 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1048 Pageviews. |
|
|
|
|
|