Group Blog
All Blog
<<< "ความแตกต่างของปุถุชนกับพระอริยบุคคล" >>>











“ความแตกต่างของปุถุชน

 กับพระอริยบุคคล”

วิถีชีวิตของฆราวาสนี้จะมุ่งไปสู่การมีความทุกข์ต่างๆ

 เพราะความมืดบอดของจิตใจที่มีมิจฉาทิฏฐิเห็นผิดเป็นชอบ

 เห็นทุกข์ว่าเป็นสุขนั่นเอง ทั้งๆที่มันเป็นทุกข์

แต่มองไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ กลับเห็นว่ามันเป็นสุข

 พอไปหามัน ไปเอามันมาครอบครอง

มันก็เลยต้องทุกข์กับสิ่งที่หามาได้

 นี่คือความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอริยบุคคล

 คือพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

ท่านเห็นทุกข์ เราไม่เห็นทุกข์ เราเห็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 ท่านเห็นสุขว่าเป็นทุกข์

 ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์

 เราก็ต้องเชื่อว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรไม่เป็นทุกข์

 ถ้าเราไปเชื่อคนที่ไม่รู้ว่าสุขเป็นทุกข์

ไปเชื่อคนที่คิดว่าทุกข์เป็นสุข แล้วก็สอนให้เราไปหาสิ่งนั้น

 เมื่อเราหาแล้วเราก็จะได้ความทุกข์จากสิ่งนั้น

 เพราะสิ่งนั้นมันเป็นความทุกข์ แต่เขาเห็นว่าเป็นความสุข

 เช่น เงินทอง ลาภยศสรรเสริญ

ทุกคนในโลกนี้จะเห็นว่าเป็นความสุขกัน

ทุกคนอยากได้เงินได้ทองกัน ทุกคนอยากได้ยศกัน

 ทุกคนอยากได้สรรเสริญ ทุกคนอยากได้ความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน แต่ทุกคนไม่เห็นคือความทุกข์

ที่เป็นเหมือนเงาที่จะตามความสุขมา

 ลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้

เป็นความสุข แต่เป็นความสุขที่มีความทุกข์ซ่อนอยู่

 เป็นเหมือนเงาที่เรามองไม่เห็นกัน

 จะเห็นต่อเมื่อเราได้เข้าไป ล่วงล้ำเข้าไป

เอาเขามาครอบครองเป็นสมบัติของเราแล้วเท่านั้น

 พอเขาเป็นสมบัติของเรา เราถึงมารู้ในภายหลังว่า

เขาทำให้เราทุกข์กัน ที่เขาทำให้เราทุกข์

เพราะว่าเขาไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 เขาไม่ซื่อสัตย์กับเรา อย่างนี้

เขาไม่ให้ความสุขกับเราไปตลอด วันดีคืนดี

เขาก็หยุดให้ความสุขกับเราได้

 คือวันดีคืนดีเขาอาจจะเปลี่ยนไป

 เขาอาจจะจากเราไป พอเขาเปลี่ยนไป จากไป

 แทนที่เขาจะให้ความสุขกับเรา

 เขาก็เลยให้ความทุกข์กับเรา

นี่คือสิ่งที่ปุถุชนอย่างพวกเรามองไม่เห็นกัน

 คือมองไม่เห็นความทุกข์ในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้

เราเห็นด้านเดียว เห็นด้านของความสุข

 เห็นความสุขในลาภยศสรรเสริญ

 เห็นความสุขในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

เราก็เลยพุ่งชีวิตจิตใจ ทุ่มเทชีวิตจิตใจของพวกเรา

ให้กับการหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

แล้วเราก็ต้องมาเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้

เวลาที่ลาภยศสรรเสริญ

 เวลาที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

มีการเปลี่ยนแปลงไป มีการเสื่อมหมดไป

 เวลานั้นเราก็เศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้

กินไม่ได้นอนไม่หลับกัน บางครั้งก็ถึงกับฆ่าตัวตายกัน

 นี่คือความทุกข์ที่เกิดจากการที่เราไม่เห็นว่าสิ่งต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นความทุกข์ เราเห็นส่วนที่เป็นความสุข

 เราเห็นตอนที่เราได้ลาภยศสรรเสริญ เรามีความสุขกัน

เวลาได้เงินได้ทองมา เราดีอกดีใจกัน

 เวลาได้ยศได้ตำแหน่ง เราดีอกดีใจกัน

เวลาได้รับการสรรเสริญยกย่องเยินยอ

 เราดีอกดีใจกัน เวลาเราได้ไปเที่ยว ไปดูไปฟัง

ไปลิ้มรสดมกลิ่นเราจะรู้สึกมีความสุขใจกัน

 แต่เราไม่ได้มองไปถึงตอนที่เราไม่สามารถมีมัน

 หรือตอนที่เราสูญเสียเขาไป

 เวลาที่เราเสียเงินทองไปหมดนี้ เราจะยิ้มไม่ออก

ความสุขจะไม่ออกมานะ จะมีแต่ความทุกข์

 เคยมีเงินเป็นล้าน แล้ววันดีคืนดี

 เงินล้านนั้นก็หายไปหมด

เคยได้ยินข่าวของคนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

 เมื่อหลายปีก่อนไหม เป็นคนจนไม่เคยมีเงินมีทอง

พอถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้เงินหลายล้าน

 ก็ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้ตามความอยากความต้องการ

 ระยะไม่ถึงปี เงินที่ได้จากรางวัลก็หมดไป

พอหมดทีนี้ก็เกิดความเสียใจขึ้นมา

อันนี้ เพราะว่าไม่คิดว่ามันจะหมด คิดว่าจะมีมาเรื่อยๆ

 แต่การถูกลอตเตอรี่นี่มันเป็นสิ่งที่บังเอิญ

 หรือสิ่งที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

 ไม่ใช่ซื้อลอตเตอรี่ทุกครั้ง แล้วจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

 คนที่ซื้อแล้วอาจจะคิดว่าซื้อต่อไปก็จะถูกอีก

 ก็เลยคิดว่าจะมีเงินล้านเข้ามาอยู่เรื่อยๆ

ไม่เคยคิดว่ามันอาจจะไม่เข้ามาก็ได้ แล้วเงินที่เรามี

 เราใช้แบบไม่ยับยั้ง มันก็หมดได้

พอหมดแล้วเราต้องกลับไปยากจนเหมือนเดิม

 ไปทุกข์เหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่เราไม่คิดกัน

เราไม่คิดว่าสิ่งที่เราได้มานี้ จะมีวันหมดไปได้

จะมีวันเปลี่ยนไปได้ เช่น คนที่เรารัก

 เราอยากได้เขามาเป็นแฟน เราก็คิดว่า

เขาจะรักเราไปตลอด เขาจะให้ความสุขกับเราไปตลอด

 แต่พอเราได้เขามาแล้ว กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

 เขาอาจจะรักเราใหม่ๆ ๔-๕ เดือนแรก เอาอกเอาใจเรา

 แล้วต่อมาเขาก็เริ่มเบื่อเรา เริ่มไม่สนใจเรา

อันนี้เขาก็จะไม่รักเราเหมือนที่เขาเคยรักเรา

 พอเขาไม่รักเรา เราก็จะเสียใจ เราก็จะทุกข์

 ทุกข์จากสิ่งที่เคยให้ความสุขกับเรานี่

เพราะสิ่งที่ให้ความสุขกับเราไม่เที่ยงแท้แน่นอน

คำภาษาพระท่านเรียก “อนิจจัง”

เมื่อมันเป็นอนิจจัง มันก็ต้อง “ทุกขัง”

มันจะต้องทำให้เราทุกข์เวลาที่มันหมดไป เ

วลาที่มันเปลี่ยนไป ความสุขที่ได้มาหมดไป

ความสุขที่ได้มาเปลี่ยนไป กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

 นี่คือปุถุชน จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

 เช่น ลาภยศสรรเสริญ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ว่าเป็นสุขกัน จะไม่ว่าเป็นทุกข์กัน

จึงไม่กลัวลาภยศสรรเสริญ

 ไม่กลัวรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ทั้งๆที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและลาภยศสรรเสริญนี้

เป็นเหมือนงูพิษงูเห่า แต่พวกเรากลับไม่กลัวมัน

 เพราะมันเป็นงูเห่าที่น่ารัก เวลาได้มาใหม่ๆ

 โอ้โห มันรักเรา มันอะไรกับเรา

 มันเล่นกับเรา มันไม่กัดเรา เราก็เลยคิดว่ามันน่ารัก

แต่พอวันดีคืนดี เราเผลอไปเหยียบหางมันเข้า

 มันก็กัดเราทันที พอกัดเรา ทีนี้ มันก็ทำให้เราตายได้

 นี่คือลักษณะของความเห็นของพวกเรา

ของปุถุชน ปุถุชนนี้จะมีมิจฉาทิฏฐิเต็มอยู่ภายในหัวใจ

 เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่ที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

ว่าเป็นเราเป็นของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้

ก็เลยไปคว้าเอาสิ่งเหล่านั้นมาครอบครอง

 เพราะคิดว่าจะให้ความสุขแบบถาวร

ความสุขที่ไม่มีวันหมด

ความสุขที่จะเป็นของเราไปตลอด แต่ความไม่เที่ยง

มันจะมาขัดแย้งกับความเห็นของเรา

 พอเราได้มาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วสิ่งที่เราได้มา

 มันก็จะกลายเป็นอย่างอื่นไป

 แล้วพอมันกลายเป็นอย่างอื่นไป

 ความสุขที่เราเคยได้จากสิ่งนั้นมันก็หายไป

 สิ่งที่เราได้มาใหม่ก็คือความทุกข์ใจ ความเสียใจ

นี่เราจึงต้องเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ผู้ที่เห็นความจริงเพราะท่านมีตาในที่สว่าง

 ท่านเห็นว่าการที่เราไปหาความทุกข์จากสิ่งต่างๆ

ที่มีอยู่ในโลกนี้ จะทำให้เราต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยๆ

เพราะเราหามาได้มากน้อยเพียงใด

 เราก็จะไม่อิ่มไม่พอ

 เราได้สิ่งนี้มา ถ้าสิ่งนี้เสียไปหมดไป

เราก็ไปหาอันใหม่มาแทน หาเงินมาได้

พอใช้เงินหมดเราก็ไปหาเงินใหม่กัน

เราจะไม่หยุดหาเงิน เพราะเราจะต้องเอาเงินนี้

เป็นเครื่องมือซื้อความสุขต่างๆ นั่นเอง

 พอเงินหมด ถึงแม้จะทุกข์กับการหมดเงิน

 เราก็ไม่เข็ดหลาบ เราก็กลับไปหาเงินใหม่

 เวลาหาเงินเราก็ต้องทุกข์กับการหาเงิน

 พอได้เงินมา พอใช้เงินไปหมด

 เราก็ต้องทุกข์อีก เพราะไม่มีเงินใช้

เราก็ต้องกลับมาหาเงินหาทองอยู่เรื่อยๆ

 เช่นเดียวกับลาภยศสรรเสริญ

 และความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เราหาได้แล้วเดี๋ยวมันก็หมดไป

 หมดไปแล้วก็ไปหามาใหม่

 ทำอย่างนี้ไปจนถึงวันตาย ตราบใดที่เรายังมีกำลังวังชา

ที่จะหาสิ่งเหล่านี้ได้ เราจะไม่หยุดหามัน

จะหยุดต่อเมื่อหมดกำลังวังชาแล้ว

 เช่น เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาตายเท่านั้น

แล้วก็จะเป็นเวลาที่ให้ความทุกข์กับเรามากที่สุด

 เพราะเป็นเวลาที่เราไม่สามารถหาความสุข

จากลาภยศสรรเสริญ หาความสุข

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้นั่นเอง

 เราจึงต้องทนทุกข์ทรมานไปจนวันตาย

 แล้วพอตายแล้วเราก็จะกลับมาหามันใหม่อีก

 เราจะกลับมาหาร่างกายอันใหม่

 เพื่อเราจะได้ใช้ร่างกายอันใหม่นี้

มาหาลาภยศสรรเสริญ มาหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายอีก เพราะว่าความอยาก

ที่พาให้เรามาหาสิ่งต่างๆนี้ มันไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 มันไม่ได้หมดไปกับการที่เราได้สิ่งต่างๆ

ต่อให้เราได้อะไรมามากน้อยเพียงไร

 ความอยากที่จะได้นี้ไม่มีวันหมด

 ถึงแม้สิ่งที่เราได้มายังไม่หมด เราก็ไม่พออยู่นั่นแหละ

 เช่น เราได้มาแสนหนึ่ง เราก็ยังอยากได้อีก

ได้แสนแล้วก็อยากจะได้ล้าน

ได้ล้านก็ยังอยากจะได้ ๑๐ ล้าน

ทั้งๆ ที่เงินที่เราได้มายังใช้ไม่หมด

 แต่ความอยากได้นี้มันไม่มีวันหมด

 หมดก็ต้องหา แต่ไม่หมดก็ยังหา ยังอยากได้อยู่

 เช่นเดียวกับยศกับตำแหน่งต่างๆ

ได้แล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้นไป ได้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 ได้สูงเท่าไหร่ก็ไม่พอ ได้จนกระทั่งไม่มีที่จะได้แล้ว

นั่นแหละถึงจะหยุด เช่นถ้าเป็นทหาร

 พอได้เป็นนายพล ได้เป็น ผบ.

เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดแล้ว ไม่มีขั้นที่จะสูงกว่านั้นแล้ว

 ก็ต้องหยุด แต่ใจยังไม่หยุด ความอยากได้ยังไม่หยุด

 เมื่อความอยากยังไม่หยุด

 ความทุรนทุรายของใจก็ยังไม่หมด

 ถึงแม้จะได้อะไรมามากมายมากน้อยเพียงไรก็ตาม

 ความทุกข์ ความดิ้นรนของใจก็ยังไม่หมด

 นี่คือเรื่องของความทุกข์ที่พวกเราไม่รู้กัน ไม่เห็นกัน

 เรากลับไปเห็นว่ามันเป็นความสุขกัน

 เราจึงต้องทุกข์กัน เราจึงต้องร้องห่มร้องไห้

หลั่งน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทร

นี่คือพูดเปรียบเทียบให้ฟังว่า

สถานภาพของพวกเรานี้มืดบอดอย่างไร

 ส่วนสถานภาพของพระพุทธเจ้า

และของพระอริยสงฆ์สาวกนี้

ท่านมีดวงตาเห็นธรรม เห็นสัจธรรมความจริง

 เห็นว่าโลกนี้เป็นโลกของความทุกข์

 เห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นความทุกข์ทั้งนั้น

 ทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยง ทุกข์เพราะว่า

เราไม่สามารถไปทำให้มันเที่ยงได้ มันจะไม่เที่ยง

 ต่อให้เราพยายามทำอย่างไร ดูแลรักษามันอย่างไร

 ให้ดีขนาดไหนก็ตาม

 ในที่สุดมันก็จะต้องเสื่อมไปหมดไป

 นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเห็นกัน

 ท่านเห็นสัจธรรมความจริงของโลกนี้

เห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง

ไม่เที่ยง ทุกขัง เมื่อไม่เที่ยงก็จะทำให้เราทุกข์

 เพราะเราอยากให้มันเที่ยง อนัตตา

 เราทำให้มันเที่ยงไม่ได้ มันไม่ได้อยู่ในความสามารถ

ที่เราจะสามารถควบคุมบังคับให้มันเที่ยงได้นั่นเอง

 เราจึงต้องเข้าหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ที่จะสอนให้เราเปิดตาในขึ้นมา

ให้เรามีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา

 ตอนนี้เรามีดวงตาเห็นโลก ไม่มีดวงตาเห็นธรรม

 เราเห็นโลก เห็นโลกอะไร โลกธรรม ๘ นั่นเอง

 เห็นลาภยศสรรเสริญสุข ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง

 สุดยอดของความสุขก็อยู่ที่ลาภยศสรรเสริญสุขนี้เอง

 คนเราทุกคนเกิดมานี้ก็แสวงหาลาภยศสรรเสริญสุขกัน

 ไปคิดว่ามันเป็นสุขนั่นเอง หารู้ไม่ว่ามันเป็นทุกข์

มีพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าเท่านั้น

ผู้ที่จะรู้ว่ามันเป็นทุกข์

 พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกทุกรูปนี้

 ท่านไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญ

 ท่านไม่แสวงหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ท่านแสวงหาความสุขที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้

ความสุขที่อยู่ในใจ ความสุขที่อยู่ในใจนี้

เป็นความสุขที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้

 เพราะมันไม่ได้อยู่ในร่างกาย ความสุขทางใจนี้

เป็นความสุขที่ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมด

ความสุขทางใจนี้เป็นความสุขที่เราควบคุมบังคับได้

ควบคุมให้มันเป็นความสุขที่ถาวรได้

อันนี้ก็เป็นความสามารถหรือความรู้ของพระพุทธเจ้า

กับพระอริยสงฆ์สาวกนั่นเอง

 เราจึงต้องเข้าหาพระพุทธเจ้าก็ดี

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

หรือพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี

 องค์ใดองค์หนึ่งนี้ท่านทำหน้าที่ได้เหมือนกัน

 สอนเราได้เหมือนกัน ตอนนี้เราไม่สามารถ

หาพระพุทธเจ้าได้แล้ว

 เพราะพระพุทธเจ้าท่านจากเราไปนานแล้ว

 ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว

 แต่เรายังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และมีพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

 ที่เรายังเข้าหาเป็นที่พึ่งได้

 เข้าหาเพื่อจะยึดท่านเป็นครูเป็นอาจารย์

เป็นผู้สั่งสอนให้พวกเรารู้จัก

วิธีหาความสุขที่เที่ยงแท้แน่นอน

 หาความสุขที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

 และจะทำให้เราเมื่อเราได้พบกับความสุขอันนี้แล้ว

 จะทำให้เรานี้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2562 8:57:42 น.
Counter : 275 Pageviews.

0 comment
<<< "เราต้องอาศัยคนตาดีพาเราไป" >>>










“เราต้องอาศัยคนตาดีพาเราไป”

พวกเราเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธศาสนิกชน

มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ

เป็นที่พึ่งทางใจ ทำไมพวกเราถึงต้องถือ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ

เป็นที่พึ่งทางใจ

เพราะตอนนี้พวกเราเป็นเหมือนคนตาบอด

 ส่วนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ท่านเป็นเหมือนคนตาดี

ถ้าเราจะไปไหนมาไหน ถ้าเราเป็นคนตาบอด

 เราก็ต้องอาศัยคนตาดีพาเราไป

 ตอนนี้พวกเราบอดภายในใจ

 ไม่ได้บอดที่ร่างกาย ตาของร่างกายเราดีอยู่

เราไปไหนมาไหนได้เอง สะดวกสบาย

 แต่ตาของเราอีกอันหนึ่ง

ที่เรียกว่า “ตาใน” หรือ “ตาทิพย์”

เป็นตาของใจ ตาของใจของพวกเราตอนนี้มืดบอด

 เพราะว่าเรากำลังหลงติดอยู่ในภพต่างๆ

 ที่มีความทุกข์ไม่ว่าเราจะไปเกิดในภพไหน

 เราก็จะต้องพบกับความทุกข์

เพราะทุกภพนั้นมีเกิดแล้วก็ต้องมีตายเป็นธรรมดา

 พวกเราไม่ชอบความตายกัน เราจึงทุกข์กัน

 ส่วนพระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์สาวกนี้

 ท่านมีตาใน ท่านเห็นทางที่จะพาให้ออกจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ เราจึงต้องยึด

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นผู้นำทาง

 ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือทำไมเราถึงต้องถือ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง

การถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ

 เป็นที่พึ่งก็คือ ถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์นั่นเอง

 ให้ท่านเป็นผู้สั่งสอนเรา

บอกวิธีให้เราออกจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดกัน ตอนนี้พวกเรา

กำลังอยู่ในทางของการเวียนว่ายตายเกิด

 เราเวียนว่ายตายเกิดกันมาอย่างโชกโชน

 จำนวนภพชาติของพวกเราที่ผ่านมานี้นับไม่ถ้วน

 ถ้าอยากจะรู้ว่าเราได้เวียนว่ายตายเกิด

กันมามากน้อยเพียงใด

 พระพุทธเจ้าก็ทรงให้เราเอาน้ำตา

ที่เราหลั่งในแต่ละภพแต่ละชาติ เอามารวบรวมกัน

 แล้วเราจะได้น้ำตาที่มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร

 ก็คิดดูก็แล้วกันว่าเราจะต้องมาเกิด

มาร้องไห้กันกี่ครั้งด้วยกัน

 ถึงจะผลิตน้ำตาได้มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร

 นั่นแหละคือจำนวนของภพชาติ

ที่เราเกิดและตายกันมาอย่างโชกโชนและไม่หยุดยั้ง

 และยังเกิดตายกันอยู่ต่อไป

ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่มีใครที่จะรู้จักทางออก

จากการเวียนว่ายตายเกิดได้

 มีพระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวก

ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะรู้และที่จะสอนเรา

ให้เราได้ออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้

 ให้เราหยุดหลั่งน้ำตาที่เราเคยหลั่งมาแล้ว

ที่มีมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร

 นี่คือความสำคัญของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ที่เราต้องยึดถือเป็นครูเป็นอาจารย์

การถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะนี้

ก็ไม่ได้ห้ามเราไม่ให้ไปเคารพนับถือผู้อื่น

เราก็ยังนับถือบิดามารดา

 ครูบาอาจารย์ที่สอนวิชาต่างๆ

 ตามโรงเรียนต่างๆ เราก็ยังนับถือเคารพท่านได้

 เชื่อฟังท่านได้ ตราบใดที่คำสอนของท่าน

ไม่ได้ขัดกับคำสอนของพระพุทธ

 พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น ที่เราไม่สามารถทำได้

 ถ้าใครสอนที่ขัดกับคำสอน

ของพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์

 เราจะไม่ต้องทำตาม ถ้าเราถือพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์เป็นครูเป็นอาจารย์

อันดับที่ ๑ ของพวกเรา ครูบาอาจารย์ที่อื่นถือว่า

เป็นครูบาอาจารย์ระดับที่ ๒ ที่ ๓ ตามมา

 ถ้าคำสั่งคำสอนของท่านไม่เสียหาย

 ไม่ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

 หรือบางทีขัดเราก็ไม่ทำตามได้

 เช่น คำสอนบางคำสอนของพ่อแม่ก็อาจจะขัด

 บางคำสอนก็อาจจะไม่ขัด

 คำสอนที่ขัดเราก็ไม่ต้องทำตามได้

 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า

เราจะไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ได้

ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เคารพพ่อเคารพแม่

เราเคารพพ่อเคารพแม่

ในฐานะที่ท่านเป็นผู้บังเกิดเกล้า

 ท่านมีพระคุณกับเรา ท่านช่วยเหลือเรา

 ท่านให้กำเนิดเราเลี้ยงดูเรา

 อันนี้เป็นพระคุณที่เราต้องรำลึกถึงเสมอ

 ต้องเคารพนับถือท่านในฐานะนั้น

 แต่ถ้าท่านสอนอะไรบางอย่าง

ที่ไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

 อันนี้เราขัดคำสั่งของท่านได้ เช่น เราอยากจะบวช

 แต่ท่านไม่อยากให้เราบวช

ท่านว่า “อย่าบวช อยู่ในโลกนี้

 ทำมาหากิน มีครอบครัว ดีกว่าไปบวช”

อย่างนี้เราขัดคำสอนของท่านได้

 เพราะว่าคำสอนของท่านสู้คำสอน

ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้นั่นเอง

 เพราะการออกบวชนี้เป็นการไปศึกษา

 เป็นการไปปฏิบัติ เพื่อให้เราได้หลุดพ้น

จากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ส่วนการอยู่ดำรงชีพแบบผู้ครองเรือน มีครอบครัว

 อันนี้เป็นการเดินทางไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด

 เดินทางไปสู่กองทุกข์ต่างๆ เราก็ต้องเข้าใจว่า

พ่อแม่เราก็ยังเป็นคนตาบอดอยู่ ยังไม่เห็นทาง

สู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์ และไม่รู้ว่าการมีครอบครัว

การอยู่แบบผู้ครองเรือนนี้เป็นการอยู่กับความทุกข์

นี่คือความตาบอดของปุถุชนที่ต่างกับพระอริยบุคคล

ที่เห็นความทุกข์ในวิถีชีวิต

ของปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเรา

คือ ฆราวาสผู้ครองเรือน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2562 8:42:08 น.
Counter : 434 Pageviews.

1 comment
<<< "ความสำคัญของธรรมะ" >>>









“ความสำคัญของธรรมะ”

เรื่องโลกภายนอกนั้นมันไม่มีอะไรที่เราควรไปยินดี

 ควรมองว่ามันเป็นเหมือนกองไฟมากกว่า

เราอย่าเป็นแบบแมลงเม่า

 เห็นกองไฟแล้วเกิดอาการดีอกดีใจ

 แมลงเม่านี่มันชอบแสงไฟ แต่มันไม่รู้ว่า

ไฟนี้มีความร้อนอยู่ด้วย

พอเห็นแสงไฟมันก็บินเข้าไปหา

 มันก็ถูกความร้อนเผาผลาญไป

ฉันใดจิตของพวกเรา

ที่ยังมีความอยากอยู่ก็เป็นเหมือนแมลงเม่า

 มันอยากในกาม ที่ไหนมีรูป

 มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะ

 มันก็จะวิ่งเข้าหา แต่มันไม่เคยเห็น

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ซ่อนอยู่

 ก็เลยต้องไปทุกข์กับสิ่งต่างๆเหล่านั้น

 เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็จะต้องทุกข์กัน

 แบบที่เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้

จะทุกข์มากทุกข์น้อย

ก็ขึ้นอยู่กับธรรมะที่มีอยู่ในใจของเรา

 ถ้ามีธรรมะมากทุกข์ก็น้อย ถ้ามีธรรมะน้อยทุกข์ก็มาก

จึงควรสร้างธรรมะให้มากด้วยการเข้าหาพระศาสนา

 หาครูบาอาจารย์ หาหนังสือธรรมะอ่านกัน

 ศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วพยายามนำเอาไปปฏิบัติ

ต้องฝืนต้องบังคับ จะให้ปฏิบัติด้วยความพออกพอใจ

เหมือนกับการไปดูหนังฟังเพลงนั้น เป็นไปไม่ได้

 เพราะมันตรงกันข้าม เหมือนกับคนที่ถนัดมือขวา

 แล้วอยู่ๆจะให้มาใช้มือซ้ายด้วยความพอใจนั้น

เป็นไปไม่ได้ ต้องบังคับใช้มือซ้าย เช่นสมมุติว่า

แขนขวาเราขาดไปใช้งานไม่ได้

เราก็ต้องใช้มือซ้ายแทน

 เราก็ใช้มันได้ เราฝืนบังคับใช้มันไป หัดใช้ไปสักระยะ

ต่อไปเราก็ใช้มันได้ ฉันใดการที่เราจะหาความสุข

จากความสงบมันก็เป็นการฝืน เพราะส่วนใหญ่

เราจะหาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกัน

 เวลาไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกันนี้

 แทบไม่ต้องชวนกันเลย เพียงแต่นัดกันเท่านั้นเอง

ให้รู้เวลาก็ไปแล้ว แต่เรื่องไปปฏิบัติธรรมกันนี้

 อาจจะต้องนัดกันเป็นเวลาหลายเดือน

 นัดกันหลายครั้งหลายหนกว่าจะไปกันได้

 เราจึงต้องกำหนดเวลาขึ้นมา

ในเรื่องของการศึกษาปฏิบัติธรรม

 ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัย ตามความพอใจแล้ว

 ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นก็ตามนิสัยเดิมที่มีอยู่

 ถ้าเคยสะสมมาทางนี้มากหน่อย

ก็อาจจะปฏิบัติ ศึกษามากหน่อย

 เข้าหาธรรมะมากหน่อย

 แต่ถ้าไม่เคยมีนิสัยมาทางนี้เลยก็ยาก

 ต้องอาศัยเพื่อนฝูงพาไปบ้าง เพียรไปเองบ้าง

อาศัยการบังคับจิตใจ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี

 เหมือนกับคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่อยากจะหายจากโรค

 แต่ไม่ชอบกินยา ก็ต้องบังคับตัวเองให้กินยา

 ถ้าไม่บังคับไม่กินยา ก็จะไม่หาย

ฉันใดธรรมะก็เป็นเหมือนยา

 ถ้าอยากจะให้จิตใจมีความมั่นคง

 มีความสบาย มีความสุข

 ก็ต้องกินยาคือธรรมโอสถนี้ ต้องบังคับ

 พยายามดึงตัวเราให้เข้าหาศาสนาให้มากที่สุด

เท่าที่จะมากได้ ส่วนงานทางโลก

 เรื่องเที่ยว เรื่องกิน เรื่องดื่ม

 ก็พยายามตัดมันไปให้น้อยลงไปๆ ทำเท่าที่จำเป็น

 อันไหนที่ไม่จำเป็นก็ตัดไป แลกเปลี่ยนกัน

 แทนที่จะไปดูหนังฟังเพลงก็ไปฟังธรรมะ

 ไปดูหนังสือธรรมะ ไปนั่งสมาธิ ที่ไหนก็ได้

ในบ้านเราก็ได้ ที่ไหนสะดวกที่เราทำได้ ก็ทำไป

พยายามทำไปเรื่อยๆ

แล้วจะง่ายขึ้นไปเอง ยิ่งทำมากเท่าไร

ก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปเรื่อยๆ

 จนต่อไปจะกลายเป็นความสบาย เป็นความถนัดไป

วันไหนถ้าไม่ได้ทำแล้วรู้สึกว่าขาดอะไรไป

ถ้าเข้าถึงขั้นนั้นแล้ว การปฏิบัติของเรา

ก็จะเป็นไปอย่างง่ายดาย ถ้ายังอยู่ในขั้นที่ต้องต่อสู้

ต้องพยายามฝืน พยายามอดทน

 พยายามบังคับไปเรื่อยๆ อย่าท้อแท้

 ไม่มีอะไรในโลกนี้จะสำคัญเท่ากับงานสร้างธรรมะ

 ให้เกิดขึ้นภายในจิตในใจของเรา

 เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา

สิ่งอื่นๆในโลกนี้ไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่ที่พึ่งของเรา

 ต่อให้มีมากน้อยพียงไร ถึงเวลาที่ใจเราทุกข์แล้ว

 สิ่งเหล่านี้มาดับทุกข์ให้กับเราไม่ได้

จึงอยากให้ท่านทั้งหลาย

จงเห็นความสำคัญของธรรมะ

 แล้วก็พยายามศึกษาและปฏิบัติเท่าที่จะทำได้

การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา

ต้องขอยุติไว้เพียงเท่านี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

จุลธรรมนำใจ ๔, กัณฑ์ที่ ๒๓๔

วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๙







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2562 8:17:37 น.
Counter : 464 Pageviews.

0 comment
<<< " อย่ายึดอย่าติด" >>>









“อย่ายึดอย่าติด”

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่

ที่เราคิดว่าเป็นของเรานั้น ไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง

 เป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง

ร่างกายของเราก็เป็นของเราเพียงระยะหนึ่ง

พออายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี ก็ต้องคืนเขาไป

อาจจะต้องคืนไปก่อนนั้นก็ได้

บางคนอายุเพียงหนึ่งวันก็ตายไปก็มี

หนึ่งเดือนตายไปก็มี หนึ่งปีตายไปก็มี

 ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปีตายไปก็มี ไม่แน่นอน

 เรื่องอายุขัยของคนเรา แต่เรื่องที่แน่นอนก็คือ

 ต้องคืนเขาไปทุกคน พวกเราทุกคนที่อยู่ในศาลานี้

 สักวันหนึ่งก็ต้องคืนร่างกายนี้ไปสู่ดินน้ำลมไฟ

 ที่เป็นเจ้าของเดิม แต่ใจของเราไม่ได้ไปกับร่างกาย

จะไปตามบุญตามกรรมต่อไป ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า

 แล้วทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ละเว้นจากการทำบาปทำกรรม

 เวลาร่างกายแตกดับไป ก็จะไปสู่ที่ดี สู่สุคติ

 เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้

 แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา

ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม

ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ดี

เช่นเดียวกับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ที่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า

 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้ ไม่ใช่ของเรา

ไม่ใช่ตัวเรา ก็พยายามตัดความยึดติดในร่างกาย

 ในสมบัติต่างๆ มีทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองมากน้อยเพียงไร

 ก็สละให้ผู้อื่นหมด แล้วก็ออกบวช อยู่แบบนักบวช

 มีเพียงแต่ปัจจัยสี่ไว้คอยดูแลรักษาร่างกายเท่านั้น

 ส่วนจิตใจก็มีธรรมะที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม

 นั่งสมาธิเจริญปัญญา ทำจิตใจให้สงบ

เพื่อกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง

 ที่คอยฉุดลากให้ไปทำบุญ ให้ไปทำบาป

ให้ไปเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยในภพใหญ่

ให้หมดสิ้นไป จนใจสะอาดบริสุทธิ์

 กลายเป็นพระอรหันต์ เป็นนิพพานขึ้นมาแล้ว

ใจก็ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ไม่ต้องไปทุกข์

ไม่ต้องไปทุกข์กับการแก่ การเจ็บ การตาย

การพลัดพรากจากกัน เหมือนที่พวกเรากำลังทุกข์กันอยู่

เวลาที่เราสูญเสียญาติพี่น้อง คนที่เรารักไป

เราก็ร้องห่มร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับกัน

 เพราะหลงยึดติดร่างกายของคนนั้นคนนี้

ว่าเป็นพี่น้องของเรา เป็นญาติของเรา

 แต่ความจริงแล้วเขาเป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเท่านั้นเอง

 ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ต่างกันตรงที่

ร่างกายมีใจมาครอบครอง จึงทำให้ร่างกายนี้พูดได้

ทำได้ มีความรู้สึก แต่ผู้ที่พูด ผู้ที่ฟัง

ผู้ที่มีความรู้สึกนี้ไม่ใช่ร่างกาย เป็นใจต่างหาก

 ถ้าร่างกายไม่มีใจเมื่อไหร่แล้ว ก็จะไม่รู้สึกอะไร

จะฟังอะไรไม่ได้ยิน จะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

ลองไปพูดกับคนตายดู ลองไปสะกิดร่างกายของคนตายดู

 เอาเข็มไปทิ่มร่างกายของคนตายดู

จะสะดุ้งขึ้นมาหรือไม่ จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย

 เหมือนต้นไม้ เอามีดไปฟันก็จะไม่มีอาการสะดุ้ง

 เพราะไม่มีการรับรู้นั่นเอง เพราะไม่มีผู้รับรู้ในต้นไม้

 ร่างของคนตายก็เหมือนต้นไม้

 เพราะไม่มีใจผู้รับรู้อยู่กับร่างกายแล้ว

จะเอาไปทำอะไรก็ไม่เดือดร้อน

จะเอาไปฝังก็ไม่เดือดร้อน จะเอาไปเผาก็ไม่เดือดร้อน

 เพราะใจผู้เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง

 ไม่ได้อยู่ในร่างนั้นแล้ว ได้ออกเดินทางไปสู่ร่างใหม่แล้ว

 จะได้ร่างอะไรก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ทำไว้

 นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้กัน

ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด ไม่ให้ติด

ไม่ต้องกลัวว่าร่างกายจะเป็นอะไรไป ไม่ต้องเสียดาย

ถึงเวลาจะเป็นอะไรก็ให้เป็นไป

 แต่ขณะที่ยังอยู่ก็ดูแลรักษากันไป

 เพราะยังต้องอาศัยร่างกาย

มาช่วยทำใจให้หลุดพ้นจากความหลง จากความทุกข์

จากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าไม่มีร่างกาย

ก็จะไม่สามารถมาฟังเทศน์ฟังธรรม

 ทำบุญทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมได้

 เราจึงต้องดูแลรักษาร่างกายนี้ให้ดี

เพื่อจะได้เอามาช่วยเหลือจิตใจให้ได้ปฏิบัติธรรม

 เพื่อจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

อย่าเอาร่างกายไปทำในสิ่งที่ไร้สาระ ไร้คุณไร้ประโยชน์

 ไปสะสมลาภยศสรรเสริญสุขต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นที่พึ่งของเรา

 แต่จะทำให้เราหลง ทำให้มีความทุกข์มากยิ่งขึ้นไป

คนเราเวลาไม่มีเงินมีทองนั้น

 มีความทุกข์น้อยกว่าคนมีเงินมีทอง

 เพราะคนมีเงินมีทองจะต้องกังวลต้องห่วง

ต้องดูแลรักษา เวลาสูญเสียไปก็จะต้องทุกข์มาก

คนที่ไม่มีเงินมีทองก็ไม่ต้องมาทุกข์กับการดูแลรักษา

 ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล

ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ

 เพราะไม่มีเงินที่จะเสียไปนั่นเอง

 แต่คนที่มีกลับมีความทุกข์มากกว่าคนไม่มี

ยกเว้นคนที่มีแล้วฉลาด มีแล้วไม่ยึดไม่ติดไม่หวง

มีก็เอามาใช้ ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์

ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทำบุญทำทาน

 ให้ผู้อื่นมีความสุข ตนเองก็จะมีความสุขตาม

 อย่างนี้ก็เป็นประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ ไม่ยึดไม่ติด

 เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งชีวิตของเราก็จะต้องหมดสิ้นไป

เงินทองหามาได้มากน้อยเพียงไร

 ก็จะกลายเป็นสมบัติของผู้อื่นไป

 แต่ถ้าเอามาทำบุญทำทานก่อน ก็จะเป็นสมบัติของเรา

 เป็นบุญเป็นกุศลติดตัวกับใจเราไป เมื่อไปเกิดข้างหน้า

ก็จะได้ไปเกิดดีกว่าเก่า เพราะบุญกุศล

จะทำให้รวยกว่าเก่าดีกว่าเก่า เราจึงไม่ควรมองข้าม

การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

มีอะไรก็อย่ายึดอย่าติด เตรียมตัวเตรียมใจไว้

ว่าสักวันหนึ่งจะต้องจากมันไป

สิ่งไหนจำเป็นจะต้องเก็บไว้ก็เก็บไว้

 เพื่อดูแลรักษาชีวิตของเรา ส่วนที่ไม่มีความจำเป็น

ก็อย่าเก็บเอาไว้ให้เป็นภาระทางด้านจิตใจ

ให้เกิดความทุกข์ ทำให้เป็นคนใจแคบ ขาดความเมตตา

 ไม่มีความสุขกับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่

 แต่ถ้าเอาใช้ให้เกิดประโยชน์ เราจะมีความสุข

 อย่างวันนี้เราเอาเงินทองไปซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระ

 เราก็มีความสุข ความเย็นใจ ความปีติ ความภูมิใจ

 ถ้าไม่ได้ทำเราก็จะไม่มีความรู้สึกแบบนี้

จะมีแต่ความอยากได้เงินทองเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

อยากจะใช้เงินทองไปในทางที่ไม่มีประโยชน์

 เอาไปเที่ยว ไปซื้อของฟุ่มเฟือย

 แล้วก็ทำให้อยากจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก

 เพราะต้องไปเที่ยวอีก ต้องไปซื้อของฟุ่มเฟือย ใหม่อีก

เที่ยวเท่าไหร่ซื้อมาเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มไม่พอ

จนเงินทองไม่พอใช้ก็ต้องดิ้นรนหาเงินหาทอง

 เพื่อมาเที่ยวเพื่อมาซื้อของฟุ่มเฟือยอีก

 ต่างกับการทำบุญ ทำได้มากเท่าไหร่แล้ว

 จิตใจจะมีความอิ่มมีความพอมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น

ทำให้ไม่อยากจะได้อะไร อยู่เฉยๆอยู่ที่บ้านก็มีความสุข

 เป็นอานิสงส์จากการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น

ให้ของให้เงินทองคนอื่น ทำให้จิตใจของเรามีความอิ่ม

 ความสุข ความพอ ไม่หิว ไม่กระหาย

 ไม่อยากไปเที่ยว ไปซื้อของฟุ่มเฟือย

 เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์กับจิตใจ

ไม่ได้ให้ความอิ่มความสุขกับจิตใจ

จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า

 ไม่มีอะไรเป็นของเราในโลกนี้ แม้กระทั่งร่างกาย

ก็ไม่ใช่ของเรา สักวันหนึ่งก็ต้องคืนเจ้าของเดิม

 คือดินน้ำลมไฟไป แล้วใจก็จะต้องไปต่อ

จะไปสุขไปทุกข์ ก็อยู่ที่บุญบาปที่ได้ทำไว้

ถ้าทำบุญไว้ก็จะไปดี ไปสู่ความสุขความเจริญ

 ถ้าทำบาปไว้ก็จะไปไม่ดี ไปสู่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ

 เรามีทางเลือกคือทำดีหรือทำไม่ดี ยึดติดหรือไม่ยึดติด

 ถ้าไม่ยึดไม่ติดเราก็จะสบาย

เวลาต้องพลัดพรากจากอะไรไป ก็จะไม่ร้องห่มร้องไห้

 ไม่เศร้าโศกเสียใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

 เพราะเรารู้ว่าของต่างๆที่เรามีอยู่นี้ไม่ใช่ของเรา

 เรายืมเขามา สักวันหนึ่งเจ้าของก็ต้องมาทวงเอาคืนไป

 ไม่เห็นต้องมาร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอะไร

 นี่คือประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการมาวัด

 มาฟังเทศน์ฟังธรรมปฏิบัติธรรม จิตใจจะร่มเย็นเป็นสุข

 ท่ามกลางความวุ่นวาย ท่ามกลางเหตุการณ์

ที่เลวร้ายต่างๆ จิตใจจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น

 อย่างสะดวก อย่างสบาย

เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเชื่อ

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และนำไปปฏิบัติให้มากเท่าที่จะมากได้

 เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................................

กำลังใจ ๒๙, กัณฑ์ที่ ๒๘๘

วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2562 5:57:59 น.
Counter : 743 Pageviews.

0 comment
<<< "ที่พึ่งของเรา" >>>











“ที่พึ่งของเรา”

คนเราทุกคนไม่ช้าก็เร็ว

ก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกัน

 ต่างกันตรงที่ว่าจะแก่จะเจ็บจะตาย

อย่างมีความทุกข์มากหรือไม่มีความทุกข์เลย

 เราสามารถเลือกได้ จะทุกข์กับร่างกายก็ได้

จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าไม่อยากทุกข์

ก็ต้องคอยสอนใจให้ปล่อย เตือนสติอยู่เรื่อยๆ

ว่าเดี๋ยวเราต้องแก่แล้วนะ

เดี๋ยวเราต้องเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วนะ

 เดี๋ยวเราต้องตายแล้วนะ คอยเตือนคอยสอนใจอยู่เรื่อยๆ

 แล้วจะไม่กล้าไปยึดไปถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา

จะไม่กล้าไปอยากให้อยู่ไปนานๆ ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

 เมื่อไม่มีความอยาก ไม่มีความหลง ไม่มีอุปาทานแล้ว

 เวลาร่างกายเป็นอะไรไป เราจะรู้สึกเฉยๆ

รับรองได้ พวกเราทุกคนสามารถทำกันได้

 ถ้าหมั่นคิดหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่พิจารณา

ความหลงก็จะครอบงำจิตใจ

 ความอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายก็จะครอบงำจิตใจ

 ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา

ก็จะเข้าครอบงำจิตใจ เวลาเกิดความแก่

ความเจ็บความตายขึ้นมาก็จะร้องห่มร้องไห้

 เศร้าโศกเสียใจ วุ่นวายใจ

 นี้คือสิ่งที่พวกเราต้องทำกันเอง ไม่มีใครทำให้เราได้

 พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆสาวกเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น

 เป็นผู้บอกวิธีแก้ความทุกข์ให้กับเรา

 เพื่อเราจะได้อยู่ในโลกนี้อย่างร่มเย็นเป็นสุข

 ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ

ถ้ารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่

 มีไว้ใช้ประโยชน์ มีไว้ดูแลรักษา แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อยึดติด

 อยากให้อยู่กับเราไปตลอด

 อย่างวันนี้ญาติโยมก็ได้มาฝึกปล่อยวางกัน

มาปล่อยวางเวลาอันมีค่า ปล่อยวางเงินทอง

 เอาเงินทองไปซื้อข้าวของมาถวายพระ

 ญาติโยมก็ไม่รู้สึกเสียอกเสียใจ เสียดายเงินทองที่เสียไป

เพราะปล่อยวางเงินทองก้อนนั้นแล้ว

ถ้ายังไม่ได้ปล่อยวาง ยังหวงเงินก้อนนั้นอยู่

ก็จะไม่สามารถเอาไปซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระได้

ถ้าฝึกปล่อยวางอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้ว

ต่อไปถ้ามีขโมยมาลักเงินลักทองของเราไป

 เราจะไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่เสียดาย

 กลับคิดว่าเป็นเหมือนได้ทำบุญไปในตัว

 เพราะใครเอาไปก็ได้รับประโยชน์มีความสุข

 เราก็มีความพอใจ เพราะชอบทำบุญเป็นปกติอยู่แล้ว

 ไม่ยึดไม่ติดกับเงินทอง ต่างกับคนที่ไม่รู้จักให้

 ไม่รู้จักปล่อยวางเงินทอง เวลาเงินหายไป

เพียง ๕ บาท ๑๐ บาทก็วุ่นวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ

 เสียดาย โกรธแค้น เกิดความทุกข์ขึ้นมา

 เสีย ๒ ต่อ เสียเงินเสียทองแล้ว

ยังต้องมาเสียใจมาเจ็บใจอีก

 แต่คนที่รู้จักปล่อยวางเงินทอง ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆ

 เวลาเสียเงินเสียทองไป จะได้กำไร เพราะจะไม่เสียใจ

กลับรู้สึกสบายใจว่าหมดปัญหาไป

เงินก้อนนั้นถ้าอยู่กับเรา ก็ต้องคอยดูแลรักษา

เมื่อถูกขโมยไปแล้วก็หมดภาระไป

 ไม่ต้องมาห่วงมาดูแล มาคิดว่าจะเอาไปทำอะไร

 เราได้กำไร ได้ทำบุญ ได้ปล่อยวาง

 เรากลับมีความสุข เวลาสูญเสียอะไรไป

 เราจะมีความสุขมากขึ้น เพราะสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่

 ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือเป็นบุคคล

 ล้วนเป็นภาระทางด้านจิตใจทั้งนั้น

มีอะไรก็ต้องคอยดูแลรักษา เป็นห่วงเป็นภาระ

เป็นความกังวล แต่เมื่อไม่อยู่กับเราแล้ว เราก็สบายใจ

 เช่นมีรถเราก็ต้องคอยดูแลรักษารถ

 ต้องคอยห่วงเวลาจอดจะถูกใครมาทำอะไรหรือเปล่า

 จะขโมยไปหรือเปล่า พอถูกขโมยไปก็หมดภาระไป

 เราก็สบายใจ ไม่ต้องดูแลอีกต่อไป

ถ้ารู้จักปล่อยวางแล้ว เวลาสูญเสียอะไรไป จะรู้สึกเฉยๆ

 ไม่เสียอกเสียใจ ไม่เสียดาย ไม่เสีย ๒ ต่อ

 การที่จะปล่อยวางได้ ก็ต้องสอนใจอยู่ตลอดเวลาว่า

 ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา

 ถ้าไปหลงไปยึดไปติดก็จะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา

 ให้ท่องคาถานี้ไว้ตลอดเวลา สอนใจเรา

 แล้วเราจะไม่กล้าไปยึดไปติดกับอะไร

จะไม่กล้าไปอยากให้อะไรเป็นไปตามใจของเรา

จะยอมรับสภาพความเป็นจริงอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป

 แต่ใจของเราจะไม่วุ่นวาย กับการเกิดการดับของสิ่งต่างๆ

 นี้คือความสุขที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นในใจ

ที่ถูกปลดเปลื้องจากความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

 ความเศร้าโศกเสียใจ ความอาลัยอาวรณ์ต่างๆ

จะไม่มีอยู่ในใจของผู้มีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญา

จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราน้อมเอา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาปฏิบัติ

 ปฏิบัติอย่างสุปฏิปันโน อุชุฯ ญายะฯ สามีจิฯ

ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ

รับรองได้ว่าไม่ช้าก็เร็ว พวกเราทุกคน

จะมีดวงตาเห็นธรรมกัน จะมีที่พึ่งในจิตในใจ

 จะไม่ทุกข์วุ่นวายกับอะไรอีกต่อไป

ขอให้ท่านทั้งหลายให้ความสำคัญ

แก่การเข้าหาพระรัตนตรัย ด้วยการมาวัดอยู่เรื่อยๆ

 มาทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม

 ฟังเทศน์ฟังธรรมกันเพราะนี่คือวิธีสร้างพระรัตนตรัย

ให้ปรากฏขึ้นมาในจิตในใจ

เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งของเรานั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.........................

กำลังใจ ๓๑, กัณฑ์ที่ ๓๐๑

วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2562 8:19:55 น.
Counter : 324 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ