ความสำคัญของธรรมะ
เรื่องโลกภายนอกนั้นมันไม่มีอะไรที่เราควรไปยินดี
ควรมองว่ามันเป็นเหมือนกองไฟมากกว่า
เราอย่าเป็นแบบแมลงเม่า
เห็นกองไฟแล้วเกิดอาการดีอกดีใจ
แมลงเม่านี่มันชอบแสงไฟ แต่มันไม่รู้ว่า
ไฟนี้มีความร้อนอยู่ด้วย
พอเห็นแสงไฟมันก็บินเข้าไปหา
มันก็ถูกความร้อนเผาผลาญไป
ฉันใดจิตของพวกเรา
ที่ยังมีความอยากอยู่ก็เป็นเหมือนแมลงเม่า
มันอยากในกาม ที่ไหนมีรูป
มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะ
มันก็จะวิ่งเข้าหา แต่มันไม่เคยเห็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ซ่อนอยู่
ก็เลยต้องไปทุกข์กับสิ่งต่างๆเหล่านั้น
เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็จะต้องทุกข์กัน
แบบที่เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้
จะทุกข์มากทุกข์น้อย
ก็ขึ้นอยู่กับธรรมะที่มีอยู่ในใจของเรา
ถ้ามีธรรมะมากทุกข์ก็น้อย ถ้ามีธรรมะน้อยทุกข์ก็มาก
จึงควรสร้างธรรมะให้มากด้วยการเข้าหาพระศาสนา
หาครูบาอาจารย์ หาหนังสือธรรมะอ่านกัน
ศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วพยายามนำเอาไปปฏิบัติ
ต้องฝืนต้องบังคับ จะให้ปฏิบัติด้วยความพออกพอใจ
เหมือนกับการไปดูหนังฟังเพลงนั้น เป็นไปไม่ได้
เพราะมันตรงกันข้าม เหมือนกับคนที่ถนัดมือขวา
แล้วอยู่ๆจะให้มาใช้มือซ้ายด้วยความพอใจนั้น
เป็นไปไม่ได้ ต้องบังคับใช้มือซ้าย เช่นสมมุติว่า
แขนขวาเราขาดไปใช้งานไม่ได้
เราก็ต้องใช้มือซ้ายแทน
เราก็ใช้มันได้ เราฝืนบังคับใช้มันไป หัดใช้ไปสักระยะ
ต่อไปเราก็ใช้มันได้ ฉันใดการที่เราจะหาความสุข
จากความสงบมันก็เป็นการฝืน เพราะส่วนใหญ่
เราจะหาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกัน
เวลาไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกันนี้
แทบไม่ต้องชวนกันเลย เพียงแต่นัดกันเท่านั้นเอง
ให้รู้เวลาก็ไปแล้ว แต่เรื่องไปปฏิบัติธรรมกันนี้
อาจจะต้องนัดกันเป็นเวลาหลายเดือน
นัดกันหลายครั้งหลายหนกว่าจะไปกันได้
เราจึงต้องกำหนดเวลาขึ้นมา
ในเรื่องของการศึกษาปฏิบัติธรรม
ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัย ตามความพอใจแล้ว
ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นก็ตามนิสัยเดิมที่มีอยู่
ถ้าเคยสะสมมาทางนี้มากหน่อย
ก็อาจจะปฏิบัติ ศึกษามากหน่อย
เข้าหาธรรมะมากหน่อย
แต่ถ้าไม่เคยมีนิสัยมาทางนี้เลยก็ยาก
ต้องอาศัยเพื่อนฝูงพาไปบ้าง เพียรไปเองบ้าง
อาศัยการบังคับจิตใจ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี
เหมือนกับคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่อยากจะหายจากโรค
แต่ไม่ชอบกินยา ก็ต้องบังคับตัวเองให้กินยา
ถ้าไม่บังคับไม่กินยา ก็จะไม่หาย
ฉันใดธรรมะก็เป็นเหมือนยา
ถ้าอยากจะให้จิตใจมีความมั่นคง
มีความสบาย มีความสุข
ก็ต้องกินยาคือธรรมโอสถนี้ ต้องบังคับ
พยายามดึงตัวเราให้เข้าหาศาสนาให้มากที่สุด
เท่าที่จะมากได้ ส่วนงานทางโลก
เรื่องเที่ยว เรื่องกิน เรื่องดื่ม
ก็พยายามตัดมันไปให้น้อยลงไปๆ ทำเท่าที่จำเป็น
อันไหนที่ไม่จำเป็นก็ตัดไป แลกเปลี่ยนกัน
แทนที่จะไปดูหนังฟังเพลงก็ไปฟังธรรมะ
ไปดูหนังสือธรรมะ ไปนั่งสมาธิ ที่ไหนก็ได้
ในบ้านเราก็ได้ ที่ไหนสะดวกที่เราทำได้ ก็ทำไป
พยายามทำไปเรื่อยๆ
แล้วจะง่ายขึ้นไปเอง ยิ่งทำมากเท่าไร
ก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปเรื่อยๆ
จนต่อไปจะกลายเป็นความสบาย เป็นความถนัดไป
วันไหนถ้าไม่ได้ทำแล้วรู้สึกว่าขาดอะไรไป
ถ้าเข้าถึงขั้นนั้นแล้ว การปฏิบัติของเรา
ก็จะเป็นไปอย่างง่ายดาย ถ้ายังอยู่ในขั้นที่ต้องต่อสู้
ต้องพยายามฝืน พยายามอดทน
พยายามบังคับไปเรื่อยๆ อย่าท้อแท้
ไม่มีอะไรในโลกนี้จะสำคัญเท่ากับงานสร้างธรรมะ
ให้เกิดขึ้นภายในจิตในใจของเรา
เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา
สิ่งอื่นๆในโลกนี้ไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่ที่พึ่งของเรา
ต่อให้มีมากน้อยพียงไร ถึงเวลาที่ใจเราทุกข์แล้ว
สิ่งเหล่านี้มาดับทุกข์ให้กับเราไม่ได้
จึงอยากให้ท่านทั้งหลาย
จงเห็นความสำคัญของธรรมะ
แล้วก็พยายามศึกษาและปฏิบัติเท่าที่จะทำได้
การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา
ต้องขอยุติไว้เพียงเท่านี้.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
............................
จุลธรรมนำใจ ๔, กัณฑ์ที่ ๒๓๔
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๙
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ