เชื่อบุญกรรม
ถ้าเชื่อบุญกรรมก็จะสบายใจ
เชื่อว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเชื่ออย่างนี้ก็จะมีธรรมโอสถรักษาจิตใจ
โรคจะหายก็หาย ไม่หายก็ไม่หาย ไม่เป็นไร
ใจที่มีธรรมโอสถรับได้ทั้ง ๒ ทาง
ในที่สุดโรคก็จะไม่หาย
ร่างกายจะต้องกลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป
จะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้
ต้องเสื่อมไปเรื่อยๆตามกาลเวลา
สำคัญอยู่ที่ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์
ได้มากน้อยเพียงไร ควรให้ความสนใจ
ในเรื่องนี้มากกว่า อย่ามัวแต่กังวลกับการรักษา
พอหายแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
ที่ไม่เป็นประโยชน์เลย ก็ไม่รู้จะรักษาไปทำไม
ถ้ากำลังปฏิบัติธรรม ก็ควรรักษา
ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำบุญ
ไม่ทำประโยชน์อะไรเลย
อยู่หาความสุขไปกับกิเลส
ไปกับความโลภความโกรธความหลง
ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับจิตใจเลย
ถ้าได้สร้างบุญสร้างกุศล ได้ปฏิบัติธรรม
ก็จะได้กำไร เพราะทำเพื่อใจ
ถ้าทำทางธรรมก็ทำเพื่อใจ
ถ้าทำทางโลกก็ทำเพื่อกิเลส
ทำไปตามอำนาจของความหลง
ที่เห็นความสุขในลาภยศสรรเสริญ
ในการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
แต่ในสายตาของผู้รู้เช่นพระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านกลับเห็นว่า
เป็นความทุกข์ เพราะไม่ให้ความอิ่มความพอ
ได้เสพมากเพียงไร
ก็จะมีความอยากเสพมากขึ้นไปอีก
ได้มามากเพียงไรก็อยากจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก
ถ้าเป็นทางธรรมก็จะอิ่มพอ
เพราะธรรมมีเหตุมีผล
เช่นการดูแลรักษาร่างกายด้วยปัจจัย ๔
พอมีปัจจัย ๔ พร้อมเพรียงแล้วก็พอ
ไม่จำเป็นต้องมีมากไปกว่านั้น
มีมากไปกว่านั้นก็ใช้ไม่ได้
มีอาหารมากกว่าที่ท้องจะรับได้
ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะเกิดโทษ
ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเกิน
มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
ความสุขทางโลก
จึงไม่ใช่เป็นทางที่ถูกที่ควรไปกัน
เพราะไม่ได้สร้างความสุขที่แท้จริง
มีแต่จะสร้างความทุกข์ให้มีมากขึ้นไปตามลำดับ
เพราะความสุขทางโลกเป็นเหมือนยาเสพติด
เวลาที่ไม่ได้เสพไม่ได้สัมผัสก็หงุดหงิดใจ
อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
เคยมีความสุขกับใครสักคนหนึ่ง
พอไม่ได้อยู่ใกล้ก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวใจ
เคยออกไปเที่ยวนอกบ้านอยู่เป็นประจำ
ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
พอไม่ได้ออกไปก็จะหงุดหงิดรำคาญใจ
อยู่ไม่ติดบ้าน แต่กลับไม่เห็นโทษกัน
ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์กัน กลับเห็นว่าเป็นธรรมดา
สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นธรรมดา
นักปราชญ์เช่นพระพุทธเจ้า
กลับเห็นว่าเป็นทุกข์
สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นทุกข์
นักปราชญ์กลับเห็นว่าเป็นธรรมดา
เราเห็นความแก่เจ็บตายเป็นทุกข์
แต่ท่านกลับเห็นว่าเป็นธรรมดา
เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย
ท่านจึงไม่คิดที่จะหนีมัน
พวกเรากลับเห็นมันเหมือนเป็นไฟ
เราจึงพยายามหนีความแก่
หนีความเจ็บไข้ได้ป่วย หนีความตายกัน
แต่หนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น
เพราะวิธีหนีของเราไม่ได้เป็นการหนี
แต่เป็นการวิ่งเข้าหามัน พอตายจากชาตินี้ไป
ก็ไปเกิดใหม่อีก ก็ต้องไปเจออีกโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่พาให้เราไปเกิดใหม่ก็คือ
ความอยากต่างๆของเรานั่นเอง
อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้
อยากสัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ
ที่เป็นตัวฉุดลากเราเข้าหา
การเกิดแก่เจ็บตายโดยไม่รู้ตัว พอเกิดมาแล้ว
เราก็พยายามหนีความแก่ความเจ็บความตาย
ด้วยวิธีต่างๆกัน
จนกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โตขึ้นมา
เรื่องการรักษาความหนุ่มสาวความสวยงามนี้
เป็นอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่ของโลก
มีเมืองหลวงของแฟชั่นเต็มไปหมด
เพื่อสร้างความสวยความงาม
เพื่อรักษาความสวยความงาม
แต่ก็ขัดกับหลักความจริงของร่างกาย
ที่ต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลา
เพราะใจขาดปัญญา ถูกความมืดบอด
คือโมหะความหลง อวิชชา
ความไม่รู้ความจริงครอบงำ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.................................
กำลังใจ ๓๘, กัณฑ์ที่ ๓๗๘
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๑
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ