Group Blog
All Blog
<<< "ความแตกต่างของปุถุชนกับพระอริยบุคคล" >>>











“ความแตกต่างของปุถุชน

 กับพระอริยบุคคล”

วิถีชีวิตของฆราวาสนี้จะมุ่งไปสู่การมีความทุกข์ต่างๆ

 เพราะความมืดบอดของจิตใจที่มีมิจฉาทิฏฐิเห็นผิดเป็นชอบ

 เห็นทุกข์ว่าเป็นสุขนั่นเอง ทั้งๆที่มันเป็นทุกข์

แต่มองไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ กลับเห็นว่ามันเป็นสุข

 พอไปหามัน ไปเอามันมาครอบครอง

มันก็เลยต้องทุกข์กับสิ่งที่หามาได้

 นี่คือความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอริยบุคคล

 คือพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

ท่านเห็นทุกข์ เราไม่เห็นทุกข์ เราเห็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 ท่านเห็นสุขว่าเป็นทุกข์

 ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์

 เราก็ต้องเชื่อว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรไม่เป็นทุกข์

 ถ้าเราไปเชื่อคนที่ไม่รู้ว่าสุขเป็นทุกข์

ไปเชื่อคนที่คิดว่าทุกข์เป็นสุข แล้วก็สอนให้เราไปหาสิ่งนั้น

 เมื่อเราหาแล้วเราก็จะได้ความทุกข์จากสิ่งนั้น

 เพราะสิ่งนั้นมันเป็นความทุกข์ แต่เขาเห็นว่าเป็นความสุข

 เช่น เงินทอง ลาภยศสรรเสริญ

ทุกคนในโลกนี้จะเห็นว่าเป็นความสุขกัน

ทุกคนอยากได้เงินได้ทองกัน ทุกคนอยากได้ยศกัน

 ทุกคนอยากได้สรรเสริญ ทุกคนอยากได้ความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน แต่ทุกคนไม่เห็นคือความทุกข์

ที่เป็นเหมือนเงาที่จะตามความสุขมา

 ลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้

เป็นความสุข แต่เป็นความสุขที่มีความทุกข์ซ่อนอยู่

 เป็นเหมือนเงาที่เรามองไม่เห็นกัน

 จะเห็นต่อเมื่อเราได้เข้าไป ล่วงล้ำเข้าไป

เอาเขามาครอบครองเป็นสมบัติของเราแล้วเท่านั้น

 พอเขาเป็นสมบัติของเรา เราถึงมารู้ในภายหลังว่า

เขาทำให้เราทุกข์กัน ที่เขาทำให้เราทุกข์

เพราะว่าเขาไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 เขาไม่ซื่อสัตย์กับเรา อย่างนี้

เขาไม่ให้ความสุขกับเราไปตลอด วันดีคืนดี

เขาก็หยุดให้ความสุขกับเราได้

 คือวันดีคืนดีเขาอาจจะเปลี่ยนไป

 เขาอาจจะจากเราไป พอเขาเปลี่ยนไป จากไป

 แทนที่เขาจะให้ความสุขกับเรา

 เขาก็เลยให้ความทุกข์กับเรา

นี่คือสิ่งที่ปุถุชนอย่างพวกเรามองไม่เห็นกัน

 คือมองไม่เห็นความทุกข์ในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้

เราเห็นด้านเดียว เห็นด้านของความสุข

 เห็นความสุขในลาภยศสรรเสริญ

 เห็นความสุขในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

เราก็เลยพุ่งชีวิตจิตใจ ทุ่มเทชีวิตจิตใจของพวกเรา

ให้กับการหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

แล้วเราก็ต้องมาเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้

เวลาที่ลาภยศสรรเสริญ

 เวลาที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

มีการเปลี่ยนแปลงไป มีการเสื่อมหมดไป

 เวลานั้นเราก็เศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้

กินไม่ได้นอนไม่หลับกัน บางครั้งก็ถึงกับฆ่าตัวตายกัน

 นี่คือความทุกข์ที่เกิดจากการที่เราไม่เห็นว่าสิ่งต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นความทุกข์ เราเห็นส่วนที่เป็นความสุข

 เราเห็นตอนที่เราได้ลาภยศสรรเสริญ เรามีความสุขกัน

เวลาได้เงินได้ทองมา เราดีอกดีใจกัน

 เวลาได้ยศได้ตำแหน่ง เราดีอกดีใจกัน

เวลาได้รับการสรรเสริญยกย่องเยินยอ

 เราดีอกดีใจกัน เวลาเราได้ไปเที่ยว ไปดูไปฟัง

ไปลิ้มรสดมกลิ่นเราจะรู้สึกมีความสุขใจกัน

 แต่เราไม่ได้มองไปถึงตอนที่เราไม่สามารถมีมัน

 หรือตอนที่เราสูญเสียเขาไป

 เวลาที่เราเสียเงินทองไปหมดนี้ เราจะยิ้มไม่ออก

ความสุขจะไม่ออกมานะ จะมีแต่ความทุกข์

 เคยมีเงินเป็นล้าน แล้ววันดีคืนดี

 เงินล้านนั้นก็หายไปหมด

เคยได้ยินข่าวของคนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

 เมื่อหลายปีก่อนไหม เป็นคนจนไม่เคยมีเงินมีทอง

พอถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้เงินหลายล้าน

 ก็ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้ตามความอยากความต้องการ

 ระยะไม่ถึงปี เงินที่ได้จากรางวัลก็หมดไป

พอหมดทีนี้ก็เกิดความเสียใจขึ้นมา

อันนี้ เพราะว่าไม่คิดว่ามันจะหมด คิดว่าจะมีมาเรื่อยๆ

 แต่การถูกลอตเตอรี่นี่มันเป็นสิ่งที่บังเอิญ

 หรือสิ่งที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

 ไม่ใช่ซื้อลอตเตอรี่ทุกครั้ง แล้วจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

 คนที่ซื้อแล้วอาจจะคิดว่าซื้อต่อไปก็จะถูกอีก

 ก็เลยคิดว่าจะมีเงินล้านเข้ามาอยู่เรื่อยๆ

ไม่เคยคิดว่ามันอาจจะไม่เข้ามาก็ได้ แล้วเงินที่เรามี

 เราใช้แบบไม่ยับยั้ง มันก็หมดได้

พอหมดแล้วเราต้องกลับไปยากจนเหมือนเดิม

 ไปทุกข์เหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่เราไม่คิดกัน

เราไม่คิดว่าสิ่งที่เราได้มานี้ จะมีวันหมดไปได้

จะมีวันเปลี่ยนไปได้ เช่น คนที่เรารัก

 เราอยากได้เขามาเป็นแฟน เราก็คิดว่า

เขาจะรักเราไปตลอด เขาจะให้ความสุขกับเราไปตลอด

 แต่พอเราได้เขามาแล้ว กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

 เขาอาจจะรักเราใหม่ๆ ๔-๕ เดือนแรก เอาอกเอาใจเรา

 แล้วต่อมาเขาก็เริ่มเบื่อเรา เริ่มไม่สนใจเรา

อันนี้เขาก็จะไม่รักเราเหมือนที่เขาเคยรักเรา

 พอเขาไม่รักเรา เราก็จะเสียใจ เราก็จะทุกข์

 ทุกข์จากสิ่งที่เคยให้ความสุขกับเรานี่

เพราะสิ่งที่ให้ความสุขกับเราไม่เที่ยงแท้แน่นอน

คำภาษาพระท่านเรียก “อนิจจัง”

เมื่อมันเป็นอนิจจัง มันก็ต้อง “ทุกขัง”

มันจะต้องทำให้เราทุกข์เวลาที่มันหมดไป เ

วลาที่มันเปลี่ยนไป ความสุขที่ได้มาหมดไป

ความสุขที่ได้มาเปลี่ยนไป กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

 นี่คือปุถุชน จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

 เช่น ลาภยศสรรเสริญ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ว่าเป็นสุขกัน จะไม่ว่าเป็นทุกข์กัน

จึงไม่กลัวลาภยศสรรเสริญ

 ไม่กลัวรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ทั้งๆที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและลาภยศสรรเสริญนี้

เป็นเหมือนงูพิษงูเห่า แต่พวกเรากลับไม่กลัวมัน

 เพราะมันเป็นงูเห่าที่น่ารัก เวลาได้มาใหม่ๆ

 โอ้โห มันรักเรา มันอะไรกับเรา

 มันเล่นกับเรา มันไม่กัดเรา เราก็เลยคิดว่ามันน่ารัก

แต่พอวันดีคืนดี เราเผลอไปเหยียบหางมันเข้า

 มันก็กัดเราทันที พอกัดเรา ทีนี้ มันก็ทำให้เราตายได้

 นี่คือลักษณะของความเห็นของพวกเรา

ของปุถุชน ปุถุชนนี้จะมีมิจฉาทิฏฐิเต็มอยู่ภายในหัวใจ

 เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่ที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

ว่าเป็นเราเป็นของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้

ก็เลยไปคว้าเอาสิ่งเหล่านั้นมาครอบครอง

 เพราะคิดว่าจะให้ความสุขแบบถาวร

ความสุขที่ไม่มีวันหมด

ความสุขที่จะเป็นของเราไปตลอด แต่ความไม่เที่ยง

มันจะมาขัดแย้งกับความเห็นของเรา

 พอเราได้มาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วสิ่งที่เราได้มา

 มันก็จะกลายเป็นอย่างอื่นไป

 แล้วพอมันกลายเป็นอย่างอื่นไป

 ความสุขที่เราเคยได้จากสิ่งนั้นมันก็หายไป

 สิ่งที่เราได้มาใหม่ก็คือความทุกข์ใจ ความเสียใจ

นี่เราจึงต้องเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ผู้ที่เห็นความจริงเพราะท่านมีตาในที่สว่าง

 ท่านเห็นว่าการที่เราไปหาความทุกข์จากสิ่งต่างๆ

ที่มีอยู่ในโลกนี้ จะทำให้เราต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยๆ

เพราะเราหามาได้มากน้อยเพียงใด

 เราก็จะไม่อิ่มไม่พอ

 เราได้สิ่งนี้มา ถ้าสิ่งนี้เสียไปหมดไป

เราก็ไปหาอันใหม่มาแทน หาเงินมาได้

พอใช้เงินหมดเราก็ไปหาเงินใหม่กัน

เราจะไม่หยุดหาเงิน เพราะเราจะต้องเอาเงินนี้

เป็นเครื่องมือซื้อความสุขต่างๆ นั่นเอง

 พอเงินหมด ถึงแม้จะทุกข์กับการหมดเงิน

 เราก็ไม่เข็ดหลาบ เราก็กลับไปหาเงินใหม่

 เวลาหาเงินเราก็ต้องทุกข์กับการหาเงิน

 พอได้เงินมา พอใช้เงินไปหมด

 เราก็ต้องทุกข์อีก เพราะไม่มีเงินใช้

เราก็ต้องกลับมาหาเงินหาทองอยู่เรื่อยๆ

 เช่นเดียวกับลาภยศสรรเสริญ

 และความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เราหาได้แล้วเดี๋ยวมันก็หมดไป

 หมดไปแล้วก็ไปหามาใหม่

 ทำอย่างนี้ไปจนถึงวันตาย ตราบใดที่เรายังมีกำลังวังชา

ที่จะหาสิ่งเหล่านี้ได้ เราจะไม่หยุดหามัน

จะหยุดต่อเมื่อหมดกำลังวังชาแล้ว

 เช่น เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาตายเท่านั้น

แล้วก็จะเป็นเวลาที่ให้ความทุกข์กับเรามากที่สุด

 เพราะเป็นเวลาที่เราไม่สามารถหาความสุข

จากลาภยศสรรเสริญ หาความสุข

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้นั่นเอง

 เราจึงต้องทนทุกข์ทรมานไปจนวันตาย

 แล้วพอตายแล้วเราก็จะกลับมาหามันใหม่อีก

 เราจะกลับมาหาร่างกายอันใหม่

 เพื่อเราจะได้ใช้ร่างกายอันใหม่นี้

มาหาลาภยศสรรเสริญ มาหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายอีก เพราะว่าความอยาก

ที่พาให้เรามาหาสิ่งต่างๆนี้ มันไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 มันไม่ได้หมดไปกับการที่เราได้สิ่งต่างๆ

ต่อให้เราได้อะไรมามากน้อยเพียงไร

 ความอยากที่จะได้นี้ไม่มีวันหมด

 ถึงแม้สิ่งที่เราได้มายังไม่หมด เราก็ไม่พออยู่นั่นแหละ

 เช่น เราได้มาแสนหนึ่ง เราก็ยังอยากได้อีก

ได้แสนแล้วก็อยากจะได้ล้าน

ได้ล้านก็ยังอยากจะได้ ๑๐ ล้าน

ทั้งๆ ที่เงินที่เราได้มายังใช้ไม่หมด

 แต่ความอยากได้นี้มันไม่มีวันหมด

 หมดก็ต้องหา แต่ไม่หมดก็ยังหา ยังอยากได้อยู่

 เช่นเดียวกับยศกับตำแหน่งต่างๆ

ได้แล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้นไป ได้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 ได้สูงเท่าไหร่ก็ไม่พอ ได้จนกระทั่งไม่มีที่จะได้แล้ว

นั่นแหละถึงจะหยุด เช่นถ้าเป็นทหาร

 พอได้เป็นนายพล ได้เป็น ผบ.

เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดแล้ว ไม่มีขั้นที่จะสูงกว่านั้นแล้ว

 ก็ต้องหยุด แต่ใจยังไม่หยุด ความอยากได้ยังไม่หยุด

 เมื่อความอยากยังไม่หยุด

 ความทุรนทุรายของใจก็ยังไม่หมด

 ถึงแม้จะได้อะไรมามากมายมากน้อยเพียงไรก็ตาม

 ความทุกข์ ความดิ้นรนของใจก็ยังไม่หมด

 นี่คือเรื่องของความทุกข์ที่พวกเราไม่รู้กัน ไม่เห็นกัน

 เรากลับไปเห็นว่ามันเป็นความสุขกัน

 เราจึงต้องทุกข์กัน เราจึงต้องร้องห่มร้องไห้

หลั่งน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทร

นี่คือพูดเปรียบเทียบให้ฟังว่า

สถานภาพของพวกเรานี้มืดบอดอย่างไร

 ส่วนสถานภาพของพระพุทธเจ้า

และของพระอริยสงฆ์สาวกนี้

ท่านมีดวงตาเห็นธรรม เห็นสัจธรรมความจริง

 เห็นว่าโลกนี้เป็นโลกของความทุกข์

 เห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นความทุกข์ทั้งนั้น

 ทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยง ทุกข์เพราะว่า

เราไม่สามารถไปทำให้มันเที่ยงได้ มันจะไม่เที่ยง

 ต่อให้เราพยายามทำอย่างไร ดูแลรักษามันอย่างไร

 ให้ดีขนาดไหนก็ตาม

 ในที่สุดมันก็จะต้องเสื่อมไปหมดไป

 นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเห็นกัน

 ท่านเห็นสัจธรรมความจริงของโลกนี้

เห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง

ไม่เที่ยง ทุกขัง เมื่อไม่เที่ยงก็จะทำให้เราทุกข์

 เพราะเราอยากให้มันเที่ยง อนัตตา

 เราทำให้มันเที่ยงไม่ได้ มันไม่ได้อยู่ในความสามารถ

ที่เราจะสามารถควบคุมบังคับให้มันเที่ยงได้นั่นเอง

 เราจึงต้องเข้าหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ที่จะสอนให้เราเปิดตาในขึ้นมา

ให้เรามีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา

 ตอนนี้เรามีดวงตาเห็นโลก ไม่มีดวงตาเห็นธรรม

 เราเห็นโลก เห็นโลกอะไร โลกธรรม ๘ นั่นเอง

 เห็นลาภยศสรรเสริญสุข ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง

 สุดยอดของความสุขก็อยู่ที่ลาภยศสรรเสริญสุขนี้เอง

 คนเราทุกคนเกิดมานี้ก็แสวงหาลาภยศสรรเสริญสุขกัน

 ไปคิดว่ามันเป็นสุขนั่นเอง หารู้ไม่ว่ามันเป็นทุกข์

มีพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าเท่านั้น

ผู้ที่จะรู้ว่ามันเป็นทุกข์

 พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกทุกรูปนี้

 ท่านไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญ

 ท่านไม่แสวงหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ท่านแสวงหาความสุขที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้

ความสุขที่อยู่ในใจ ความสุขที่อยู่ในใจนี้

เป็นความสุขที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้

 เพราะมันไม่ได้อยู่ในร่างกาย ความสุขทางใจนี้

เป็นความสุขที่ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมด

ความสุขทางใจนี้เป็นความสุขที่เราควบคุมบังคับได้

ควบคุมให้มันเป็นความสุขที่ถาวรได้

อันนี้ก็เป็นความสามารถหรือความรู้ของพระพุทธเจ้า

กับพระอริยสงฆ์สาวกนั่นเอง

 เราจึงต้องเข้าหาพระพุทธเจ้าก็ดี

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

หรือพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี

 องค์ใดองค์หนึ่งนี้ท่านทำหน้าที่ได้เหมือนกัน

 สอนเราได้เหมือนกัน ตอนนี้เราไม่สามารถ

หาพระพุทธเจ้าได้แล้ว

 เพราะพระพุทธเจ้าท่านจากเราไปนานแล้ว

 ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว

 แต่เรายังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และมีพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

 ที่เรายังเข้าหาเป็นที่พึ่งได้

 เข้าหาเพื่อจะยึดท่านเป็นครูเป็นอาจารย์

เป็นผู้สั่งสอนให้พวกเรารู้จัก

วิธีหาความสุขที่เที่ยงแท้แน่นอน

 หาความสุขที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

 และจะทำให้เราเมื่อเราได้พบกับความสุขอันนี้แล้ว

 จะทำให้เรานี้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2562 8:57:42 น.
Counter : 274 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ