ดูครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่าง
ให้หาความสุขด้วยสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา
แต่ไม่ทำกัน ยังไปวัดโน้นวัดนี้กันอยู่
แล้วเมื่อไหร่จะเจอสักที ให้หันกลับมาที่ใจเรา
หันกลับมาที่ทานศีลภาวนา
ทานศีลภาวนานี้ทำที่ไหนก็ได้
อยู่ที่บ้านส่งเงินไปก็ได้ เราอยู่ภาวนาที่ไหน
ก็ส่งเงินไปแทนก็ได้ ตัวเราไม่ต้องไป
ศีลก็รักษาที่ใจนี่แหละ ไม่ได้รักษาที่วัดหรอก
ศีลอยู่ที่ใจ ศีลมีข้อเดียวก็คือรักษาใจนี่แหละ
ใจที่สงบระงับก็จะมีศีลครบทุกข้อ
จะเป็นศีล ๓๑๐ ข้อหรือ ๒๒๗ ข้อ
หรือ ๑๐ ข้อ ๘ ข้อ ๕ ข้อ ก็อยู่ที่ใจข้อเดียวนี่แหละ
รักษาใจได้ข้อเดียว ระงับดับกิเลสตัณหาได้แล้ว
ก็จะรักษาศีลได้ทุกข้อ ที่ต้องมีศีลมากมาย
ก็เพราะกิเลสตัณหา พอเกิดกิเลสตัณหาแล้ว
ก็อยากจะทำนั่นอยากจะทำนี่
ทำด้วยเล่ห์เหลี่ยมด้วยอุบายต่างๆ
ก็ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
แล้วความเดือดร้อนนี้ก็ย้อนกลับมาหาตัวเราเอง
พอไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
เขาก็ต้องมาลงโทษเรามากำจัดเรา
ถ้าเราสงบระงับไม่มีกิเลสตัณหาแล้ว
ก็ไม่ต้องรักษาอะไร รักษาได้หมดทุกข้อ
ไม่ต้องรู้ด้วยว่าศีล ๒๒๗ มีอะไรบ้าง
ไม่จำเป็นต้องรู้ ถ้ารู้ตัวนี้ตัวเดียว รับรองได้ว่า
จะไม่มีการทำผิดศีลโดยเด็ดขาด
สมัยพระพุทธกาลสมัยแรกๆ
ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศสอนพระธรรมคำสอนนี้
ไม่มีพระวินัยไม่มีศีล ๒๒๗ ข้อ
ไม่เคยสั่งสอนพระ เพราะพระทุกรูปที่มาบวช
เป็นพระอรหันต์กันทั้งนั้น บรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อน
แล้วค่อยขออนุญาตบวชเป็นพระภิกษุ
เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะก็เป็นพระโสดาบันก่อน
พอพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ก็ขอบวชพระกัน พอทรงไปโปรดนักบวชในสำนักอื่น
จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็ขอบวชเป็นพระภิกษุกัน
จึงไม่ต้องมีพระวินัย เพราะท่านมีความสงบ
ระงับ ไม่ได้ทำอะไรที่เสียหาย
พอรุ่นพระอรหันต์หมดไป พอพวกปุถุชนมาบวช
ก็เริ่มมาสร้างปัญหาต่างๆขึ้นมา
เพราะพวกนี้ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ พอมาบวชแล้ว
ก็ไปทำบัดสีบัดซบต่างๆ มีคนไปฟ้องพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เลยต้องกำหนดข้อห้ามต่างๆขึ้นมา
ห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ จาก ๑ ข้อเป็น ๒ ข้อ ๓ ข้อ
จนถึง ๒๒๗ ข้อ ถ้าทรงประทับอยู่ถึงวันนี้
คงมีถึง ๒๒๗๐ ข้อ มีเรื่องให้มาแก้อยู่เรื่อยๆ
ทุกวันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า พระสงฆ์จึงต้องช่วยกัน
ช่วงนี้ก็มีข่าวขึ้นมาอีกแล้ว มีพระไปบวชภิกษุณี
มีเรื่องให้แก้อยู่ตลอดเวลา
เพราะใจของพระยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา
ทำไมไม่ดูครูบาอาจารย์บ้าง
หลวงปู่มั่นท่านเคยบวชภิกษุณีหรือเปล่า
หลวงปู่ชาท่านเคยบวชภิกษุณีหรือเปล่า
เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชาไปบวชภิกษุณีทำไม
ไปอวดเก่งกว่าครูบาอาจารย์ทำไม
จำเป็นต้องบวชภิกษุณีด้วยหรือ
ถ้าไม่บวชภิกษุณีแล้วจะตายหรืออย่างไร
จะบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้หรืออย่างไร
คุณแม่ชีแก้วไม่เห็นต้องบวชเป็นภิกษุณีเลย
ทำไมไม่ใช้สติปัญญา
นี่คือปัญหาที่ตามมา บวชแล้วไม่ทำกิจของตน
ไม่ทำจิตให้สงบ พอปฏิบัติไปได้หน่อย
จิตสงบนิดหนึ่งก็คิดว่าบรรลุแล้ว
แล้วก็ออกไปสั่งสอนผู้อื่น เป็นเจ้าสำนักแล้ว
เป็นอาจารย์แล้ว สามารถล้มล้างปฏิปทาอันดีงาม
ของครูบาอาจารย์ ที่ท่านได้ปฏิบัติมา
ได้อย่างไม่รู้สึกตัวเลย
อำนาจของกิเลสตัณหาเป็นอย่างนี้
ถ้าเป็นศิษย์ที่มีครู ก็ควรดูครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่าง
อย่าออกนอกลู่นอกทาง
อย่าไปคิดว่าเก่งกว่าครูบาอาจารย์ จะได้ปลอดภัย
จะได้อยู่ในกรอบของความถูกต้องดีงาม
จะเจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
อย่าไปอยากบวชเป็นภิกษุณีกันนะ
แล้วมาด่าพระว่าไม่เมตตา ไม่ยอมบวชภิกษุณีให้
ชอบเกาไม่ถูกที่กัน ที่คันไม่เกา
ชอบเกาที่ไม่คันกัน ที่คันก็คือใจของเรา ไม่เกากัน
ไปเกาเรื่องนั้นเกาเรื่องนี้กัน.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...........................................
กำลังใจ ๔๗, กัณฑ์ที่ ๔๐๖
วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ