Group Blog
All Blog
<<< "ผู้ที่ปรารถนาหลุดพ้นจากความทุกข์" >>>







“ผู้ที่ปรารถนาหลุดพ้น

 จากความทุกข์”

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย

 ท่านเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตน มีใจอีกตัวหนึ่ง

 ใจที่หลงคิดว่าร่างกายเป็นตัวตน แต่ใจไม่ใช่ร่างกาย

 ใจเป็นผู้รู้ เป็นผู้คิดผู้สั่งการ แต่ใจถูกอำนาจ

ของความมืดบอดครอบงำอยู่ ทำให้ไม่เห็นใจ

ไม่เห็นว่าสิ่งที่ทำให้ใจมีความสุขคืออะไร ไม่มีใครรู้

 ต้องอาศัยนักปราชญ์เช่นพระพุทธเจ้า

เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถศึกษา

ธรรมชาติของใจได้ด้วยพระองค์เอง

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาศึกษา

 ก็จะไม่มีใครมาสอนให้รู้ให้เห็นตามได้

 เพราะไม่มีใครมีความรู้ความสามารถ

มีสติปัญญามากเท่าพระพุทธเจ้า

เปรียบเหมือนกับสมัยก่อนที่ไม่มีกล้องจุลทรรศน์

 ไม่สามารถศึกษาเรื่องเชื้อโรคต่างๆได้

 เพราะต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ดูถึงจะเห็น

 พระพุทธเจ้าทรงมีกล้องจุลทรรศน์

 ทรงมีพระปัญญาบารมี ที่ได้ทรงบำเพ็ญ

มาเป็นเวลาอันยาวนาน

 เมื่อถึงเวลาที่จะได้บรรลุผล

ก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา

 ทรงเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเพียงภาชนะ

 เป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง เป็นเครื่องมือของใจ

 ผู้ที่จะสุขจะทุกข์นั้นคือใจ และเหตุที่จะทำให้ทุกข์

ก็คือความอยากต่างๆ เหตุที่จะทำให้หลุดพ้น

จากความทุกข์ความอยากก็คือธรรมะ

การปฏิบัติมรรคที่มีองค์ ๘ เริ่มจาก

สัมมาทิฐิความเห็นชอบ

 สัมมาสังกัปโปความดำริชอบ

 สัมมากัมมันโตการกระทำชอบ

สัมมาวาจาวาจาชอบ

 สัมมาอาชีโวอาชีพชอบ

 สัมมาวายาโมความเพียรชอบ

สัมมาสติสติชอบ สัมมาสมาธิจิตตั้งมั่นชอบ

ผู้ที่ปรารถนาการหลุดพ้นจากความทุกข์

 ผู้ที่ต้องการสร้างความสุขที่แท้จริงให้แก่ใจ

 จึงต้องบำเพ็ญมรรคที่มีองค์ ๘ นี้

ถ้าย่อลงมาก็เป็น ๓ คือทานศีลภาวนา

 หรือศีลสมาธิปัญญา เป็นมรรค เหมือนกัน

 เพียงแต่ย่อรวมกันเข้ามาเป็นหมวด

 สำหรับฆราวาสก็ให้บำเพ็ญทานก่อน

 มีสัมมาทิฐิเห็นว่า การมีสมบัติข้าวของเงินทอง

มากเกินความจำเป็นเป็นโทษเป็นภัย

 ทำให้ใจถูกผูกติดไว้กับการเวียนว่ายตายเกิด

ถ้ายังพึ่งพาอาศัยวัตถุข้าวของเงินทอง

เพื่อให้ความมั่งคงให้ความสุข

 ก็จะพยายามหาเงินทองอยู่เรื่อยๆ

 แต่เงินทองไม่ได้เป็นที่พึ่งของใจ

แม้แต่กายก็พึ่งไม่ได้

 ถึงเวลาที่กายจะต้องเป็นอะไรไป

ต่อให้มีเงินทองมากมายขนาดไหน

มียาวิเศษขนาดไหน มีหมอที่เก่งขนาดไหน

ก็ต้องตาย ไม่สามารถยับยั้ง

การดับของร่างกายได้

 จึงทรงสอนไม่ให้ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองมากจนเกินไป

มีไว้เพื่อเลี้ยงดูอัตภาพ

เพื่อจะได้มีเวลามาปฏิบัติธรรม

 ถ้ามัวแต่ไปยุ่งหาเงินใช้เงิน

ก็จะหมดเวลาไปเปล่าๆ

 หาได้มาก็ไปซื้อข้าวซื้อของ

ไปเที่ยวไปทำอะไรตามความอยากต่างๆ

 พอหมดก็ไปหามาใหม่

ก็วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ไปจนวันตาย

จะไม่มีทางที่จะโงหัวขึ้นไปสู่การตรัสรู้

การหลุดพ้นได้เลย ถ้าเป็นบัวก็เป็นบัวใต้น้ำ

 ที่เป็นอาหารของปูของปลา

จึงทรงสอนให้ปล่อยวาง

วัตถุข้าวของเงินทองต่างๆ

 อย่าอาศัยเกินความจำเป็น ให้มีปัจจัย ๔

คือที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อาหาร

 และเครื่องนุ่งห่ม ก็พอแล้ว

ถ้ามีเหลือก็อย่าเอาไปใช้ซื้อความสุข

ไปดูหนังฟังเพลง ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

 จะเสียเวลาไปเปล่าๆ จะสนุกเพลิดเพลิน

กับความสุขที่เหมือนกับการเสพยาเสพติด

สุขเพียงชั่วขณะที่ได้เสพได้สัมผัส

 หลังจากนั้นก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอยากเสพอยู่เรื่อยๆ

จนไม่มีกำลังที่จะตัดมันได้ ยิ่งเสพมากก็ยิ่งติดมาก

 ยิ่งยากที่จะเลิกมัน

สำหรับฆราวาสจึงทรงสอนให้ทำทานก่อน

 เพื่อลดการเกี่ยวข้องกับข้าวของเงินทองต่างๆ

 บุคคลต่างๆ แต่ถ้าได้บวชแล้วก็ได้สละหมดเลย

มีสมบัติข้าวของเงินทองมากน้อย

ก็สละให้ผู้อื่นไปหมด

 สามีภรรยาก็สละให้ผู้อื่นไป

ถ้าเป็นสามีภรรยาคู่บุญบารมีกันมา

ก็ออกบวชพร้อมๆกันไป สละทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองต่างๆที่มีอยู่ให้กับคนอื่นไป

 ไม่ทราบว่าเคยได้ยินประวัติ

ของหลวงปู่พรหมหรือไม่

ท่านเป็นสามีภรรยากัน

 มีฐานะดีมีทรัพย์สมบัติมาก

 มีใจใฝ่ธรรมอยู่เสมอ จนวันหนึ่ง

จิตใจของท่านกับภรรยา

 ถึงความพร้อมที่จะออกบวช

จึงแจกจ่ายทรัพย์สมบัติให้กับผู้อื่นไปหมด

 แล้วก็ออกบวช สามีก็ติดตามหลวงปู่มั่น

 ไปศึกษาปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นจนในที่สุดก็ได้บรรลุ

 มีบรรจุอยู่ในปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน

ที่หลวงตาเรียบเรียงไว้

 ในเบื้องต้นทานจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ครองเรือน แต่สำหรับนักบวช

เรื่องของการให้ทาน

เป็นเรื่องของเหตุที่ทำให้ต้องทำ

 เพราะบวชไปนานๆ มีชื่อเสียงมีฐานะ

มีคนเคารพนับถือ มีคนอยากจะทำบุญมาก

 สำหรับท่านเองก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร

 เพราะเป็นนักบวช ไม่ได้อาศัยเงินทองเป็นที่พึ่ง

 ท่านพึ่งธรรมะ พึ่งการปฏิบัติ

 เงินทองที่ได้มามากน้อยเพียงไร

ท่านก็พิจารณาไปตามความเหมาะสม

ว่าจะสงเคราะห์โลกไปในทางไหน

 แล้วแต่จะเหมาะกับสภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น

 เช่นตอนที่หลวงตาออกมาสงเคราะห์โลก

 ทางด้านทองคำช่วยชาตินี้ ก็ช่วยคนทั้งประเทศ

 แต่ก่อนหน้านั้นท่านก็ช่วยอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว

เริ่มต้นก็ช่วยชาวบ้านแถวๆวัดก่อน

สร้างโรงเรียน ทำถนน ทำอะไรต่างๆ

ที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ต่อมาก็มีที่ไกลหน่อย

ได้ทราบกิตติศัพท์ ก็เข้ามาขอพึ่งบารมี

 อยากจะได้ตึกโรงพยาบาลบ้าง

อยากจะได้รถพยาบาลบ้าง

 อยากจะได้เครื่องมือแพทย์บ้าง

 ก็มาขอความเมตตาจากท่าน

ท่านได้มาเท่าไหร่ท่านก็สงเคราะห์ไป

 แต่ท่านไม่ได้ไปขวนขวาย

ไม่ได้ทำเป็นงานหลัก

นักบวชบางท่านไม่ทราบงานหลัก

พอบวชแล้วแทนที่จะมุ่งเข้าป่าปฏิบัติ หาธรรมะ

 หาทางหลุดพ้น ก็มาหาเงินหาทอง

 มาเรี่ยไรญาติพี่น้อง

 สร้างความรำคาญใจให้กับผู้อื่น

 เพราะขอเท่าไหร่ก็ไม่พอ

เพราะในใจมีแต่ความโลภ

 ถึงแม้จะเป็นความโลภในทางบุญกุศล

ก็ยังเป็นความโลภอยู่ ทำให้คนเบื่อหน่ายได้

เจอหน้าทีไรก็พูดเรี่ยไรขอเงินทุกที

จนไม่มีใครอยากจะเข้าวัด

 เพราะเข้าทีไรไม่เคยได้ธรรมะ ได้แต่กิเลส

 เห็นกิเลสของคนที่สอนให้ละกิเลส

 ก็เลยหมดกำลังใจ

 ถ้ายังเกี่ยวข้องกับเงินทองอยู่

ก็ให้บริจาคตามฐานะ

 แต่อย่าไปอยากบริจาคมากกว่า

หรือเท่ากับคนที่บริจาคมากกว่าตน

ถ้ามีฐานะด้อยกว่า ก็จะทำให้ต้องพยายาม

ไปหาเงินมาทำบุญ ถ้ามีอุปสรรค

เพราะการหาเงินไม่คล่องแคล่ว

 ก็ต้องพูดบิดไปบิดมา ถ้าพูดตรงๆจะไม่ได้

 ทำให้มีปัญหาขึ้นมาว่า อยากจะทำบุญ

 แต่ต้องทำบาป ต้องพูดปดบ้าง

 อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการทำบุญแล้ว

 เป็นเรื่องของการทำบาปโดยไม่รู้ตัว

ถูกกิเลสความหลงหลอกและความโลภหลอกไป

โลภอยากจะทำบุญให้มาก

 แล้วก็หลอกให้ไปทำบาปโดยไม่รู้ตัว.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

กำลังใจ ๓๘, กัณฑ์ที่ ๓๗๘

วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๑







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 6:10:59 น.
Counter : 410 Pageviews.

0 comment
<<< "เป้าหมายที่แท้จริงของการไปอินเดีย" >>>









“เป้าหมายที่แท้จริง

    ของการไปอินเดีย”

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงให้พุทธศาสนิกชน

 เดินทางไปตามสังเวชนียสถานต่างๆ

ก็เพื่อให้เกิดศรัทธาความเชื่อ เกิดฉันทะวิริยะ

ที่จะศึกษาและปฏิบัติตาม

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

เพื่อเปิดใจให้สว่าง ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ

 จะได้สร้างสิ่งที่เป็นคุณและกำจัดสิ่งที่เป็นโทษ

จะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์

ไม่ต้องวุ่นวายกับการเปลี่ยนแปลง

ของสิ่งต่างๆในโลกนี้

คนที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว

จะไม่วุ่นวายกับอะไรทั้งสิ้น อะไรจะมีก็มีไป

อะไรจะสูญก็สูญไป แต่ใจจะไม่ไปดีอกดีใจ

 เสียอกเสียใจ กับการมาและการไปของสิ่งต่างๆ

เพราะมีปัญญารู้ทันว่านี่คือความจริง

ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไปดีใจหรือเสียใจ

ก็เหมือนเป็นการทำโทษตนเอง

คือสร้างความทุกข์ให้กับใจ

ไม่มีใครอยากจะทุกข์กัน จึงต้องปล่อยวาง

 ยอมรับความจริง ต้องอยู่กับความจริงให้ได้

นี่คือเป้าหมายของการไปอินเดีย

 ไปตามสังเวชนียสถานต่างๆ

 ถ้ากลับมาแล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติดีขึ้น

 ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการไปเที่ยวเฉยๆ

เหมือนกับไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

 ถ้ากลับมาแล้ว พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

 เคยสำมะเลเทเมาก็เลิกสำมะเลเทเมา

 เคยเที่ยวเตร่ก็เลิกเที่ยวเตร่

 ไม่มีศีลมีธรรมก็มีศีลมีธรรม

 ก็ถือว่าเป็นประโยชน์

 ตรงกับความปรารถนาของพระพุทธเจ้า

 ถ้าไม่สำมะเลเทเมาอยู่แล้ว มีศีลมีธรรมอยู่แล้ว

จะไปที่อินเดียหรือไม่ก็ไม่สำคัญอย่างไร

 ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ ไม่มีความแตกต่างกัน

 เพราะมีศีลมีธรรม มีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา

 ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว

ครูบาอาจารย์ต่างๆของพวกเรา

จึงไม่ค่อยมีปรากฏว่าท่านไปอินเดียกัน

 หลวงปู่ต่างๆนับแต่หลวงปู่มั่นลงมา

ก็ไม่ได้ไปอินเดีย

 ท่านไม่ต้องไป เพราะท่านเห็นธรรมอยู่ในใจแล้ว

เข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้ว

ไม่ลังเลสงสัย ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

 เหมือนกับพวกเรา ที่ยังต้องไปเห็นสถานที่จริง

ถึงจะเชื่อว่า มีพระพุทธเจ้ามาประสูติ

 มาแสดงพระธรรมเทศนาจริงๆ

ดังนั้นไม่ว่าจะไปหรือไม่ ก็ขอให้เข้าใจว่า

 เป้าหมายของการไปก็เพื่อให้มีศรัทธาความเชื่อ

ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ให้มีอิทธิบาท ๔

มีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา ที่จะศึกษา

และปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า

 เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ต่างๆ

ที่เกิดจากความโลภความโกรธความหลง

เกิดจากความอยากทั้ง ๓ คือ

 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ

นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของการไปอินเดีย

 ของการไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์

ตามสถานที่ต่างๆ

 ของการมาฟังเทศน์ฟังธรรมที่นี่ ก็อยู่ที่ตรงนี้

คือกำจัดความทุกข์ที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป

จึงควรให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ให้ดูที่ใจเป็นหลัก

 ถ้าเกิดความโลภความโกรธความหลงเมื่อไหร่

 ก็ให้เรารู้ว่านี่แหละคือศัตรู เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด

 ด้วยการปฏิบัติทานศีลภาวนานี่เอง

 มีเงินทองมากน้อยก็อย่าไปเสียดาย

ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้

ก็เอาไปทำบุญทำทานเสีย

 ศีลก็พยายามรักษาไว้ให้ดีให้บริสุทธิ์

ภาวนาก็พยายามทำให้มาก เจริญสติอยู่เรื่อยๆ

 ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงหลับเลย อย่าให้เผลอสติ

ให้มีสติคอยเฝ้าดูกายวาจาใจอยู่เสมอ

 อย่าห่างไกลจากกายวาจาใจ

 อย่าไปในอดีตอย่าไปในอนาคต

อย่าไปที่ใกล้ที่ไกล ให้อยู่ที่ตรง ๓ สถานที่นี้

อยู่ที่กายวาจาใจ แล้วจะรู้ว่า

อะไรกำลังเกิดขึ้นภายในใจ

ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็จะได้กำจัดได้

ถ้ามัวไปอยู่ที่อื่น มัวไปคิดถึงคนโน้นคนนี้

แล้วก็วุ่นวายใจขึ้นมา

 ก็จะไม่รู้สึกตัวว่าไฟกำลังเผาใจ

 แต่ถ้ามีสติจะรู้เลยว่า ไปคิดถึงคนนั้นแล้ว

ก็เกิดความกังวลขึ้นมา

 ก็จะรีบระงับดับความกังวลทันที

ด้วยปัญญาก็ได้ หรือด้วยสมาธิก็ได้

 ถ้าใช้สมาธิก็บริกรรมพุทโธๆไป

เลิกคิดถึงเรื่องของคนนั้นไป

ถ้าใช้ปัญญาก็ต้องพิจารณา

ปล่อยเขาไปตามเรื่องของเขา เขาอยู่ตรงนั้น

เราอยู่ตรงนี้ ไปคิดวุ่นวายกับเขาทำไม

 ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าคิดอย่างนี้

ก็จะดับความทุกข์ดับความกังวลได้

ถ้าไม่มีสติก็จะมัวแต่คิดถึงเขา

 ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใหญ่ ยิ่งห่วงใหญ่

แต่ไม่รู้ว่าปัญหาคือความทุกข์ความกังวลอยู่ที่นี่

 มัวไปกังวลกับเขาที่อยู่ที่ตรงโน้น

อาจถึงกับลากสังขารร่างกายไปหาเขา

 เพื่อไปแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาจริงอยู่ที่ใจเรา

 ดับตรงที่ใจเราเท่านั้นก็หมดเรื่อง

 เขาจะเป็นอะไร ก็ปล่อยให้เป็นไป

 เรื่องก็จบ แต่เราแก้ไม่เป็น ไม่แก้ที่ใจเรา

 กลับไปแก้ที่ข้างนอก

 เพราะไม่ดูกายวาจาใจของเรา

เพราะไม่มีสตินั่นเอง นี่คือการภาวนา

ให้ดูที่กายวาจาใจ ดูว่าสุขหรือทุกข์

ถ้าทุกข์ก็รีบดับเสีย ไม่ต้องไปดับที่คนนั้นคนนี้

เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ดับที่ใจ ดับความอยากต่างๆ

 จึงขอให้พยายามสร้างฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา

 สร้างศรัทธา ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม

กับผู้รู้ เข้าหาครูบาอาจารย์อยู่เรื่อยๆ

 เพื่อความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า

ในทางธรรมต่อไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

กำลังใจ๓๘, กัณฑ์ที่ ๓๗๖

วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2561 6:33:15 น.
Counter : 505 Pageviews.

1 comment
<<< "เชื่อบุญกรรม" >>>









“เชื่อบุญกรรม”

ถ้าเชื่อบุญกรรมก็จะสบายใจ

เชื่อว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา

 ถ้าเชื่ออย่างนี้ก็จะมีธรรมโอสถรักษาจิตใจ

โรคจะหายก็หาย ไม่หายก็ไม่หาย ไม่เป็นไร

 ใจที่มีธรรมโอสถรับได้ทั้ง ๒ ทาง

 ในที่สุดโรคก็จะไม่หาย

ร่างกายจะต้องกลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป

จะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้

 ต้องเสื่อมไปเรื่อยๆตามกาลเวลา

สำคัญอยู่ที่ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์

ได้มากน้อยเพียงไร ควรให้ความสนใจ

ในเรื่องนี้มากกว่า อย่ามัวแต่กังวลกับการรักษา

 พอหายแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ

ที่ไม่เป็นประโยชน์เลย ก็ไม่รู้จะรักษาไปทำไม

ถ้ากำลังปฏิบัติธรรม ก็ควรรักษา

ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำบุญ

 ไม่ทำประโยชน์อะไรเลย

อยู่หาความสุขไปกับกิเลส

ไปกับความโลภความโกรธความหลง

ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับจิตใจเลย

 ถ้าได้สร้างบุญสร้างกุศล ได้ปฏิบัติธรรม

 ก็จะได้กำไร เพราะทำเพื่อใจ

ถ้าทำทางธรรมก็ทำเพื่อใจ

ถ้าทำทางโลกก็ทำเพื่อกิเลส

 ทำไปตามอำนาจของความหลง

ที่เห็นความสุขในลาภยศสรรเสริญ

ในการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

แต่ในสายตาของผู้รู้เช่นพระพุทธเจ้า

และพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านกลับเห็นว่า

เป็นความทุกข์ เพราะไม่ให้ความอิ่มความพอ

 ได้เสพมากเพียงไร

ก็จะมีความอยากเสพมากขึ้นไปอีก

 ได้มามากเพียงไรก็อยากจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก

ถ้าเป็นทางธรรมก็จะอิ่มพอ

 เพราะธรรมมีเหตุมีผล

 เช่นการดูแลรักษาร่างกายด้วยปัจจัย ๔

พอมีปัจจัย ๔ พร้อมเพรียงแล้วก็พอ

 ไม่จำเป็นต้องมีมากไปกว่านั้น

มีมากไปกว่านั้นก็ใช้ไม่ได้

มีอาหารมากกว่าที่ท้องจะรับได้

ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะเกิดโทษ

ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเกิน

มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

ความสุขทางโลก

จึงไม่ใช่เป็นทางที่ถูกที่ควรไปกัน

 เพราะไม่ได้สร้างความสุขที่แท้จริง

มีแต่จะสร้างความทุกข์ให้มีมากขึ้นไปตามลำดับ

เพราะความสุขทางโลกเป็นเหมือนยาเสพติด

เวลาที่ไม่ได้เสพไม่ได้สัมผัสก็หงุดหงิดใจ

อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว

เคยมีความสุขกับใครสักคนหนึ่ง

 พอไม่ได้อยู่ใกล้ก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวใจ

 เคยออกไปเที่ยวนอกบ้านอยู่เป็นประจำ

ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

พอไม่ได้ออกไปก็จะหงุดหงิดรำคาญใจ

 อยู่ไม่ติดบ้าน แต่กลับไม่เห็นโทษกัน

ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์กัน กลับเห็นว่าเป็นธรรมดา

สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นธรรมดา

 นักปราชญ์เช่นพระพุทธเจ้า

 กลับเห็นว่าเป็นทุกข์

สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นทุกข์

นักปราชญ์กลับเห็นว่าเป็นธรรมดา

 เราเห็นความแก่เจ็บตายเป็นทุกข์

แต่ท่านกลับเห็นว่าเป็นธรรมดา

เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย

ท่านจึงไม่คิดที่จะหนีมัน

พวกเรากลับเห็นมันเหมือนเป็นไฟ

 เราจึงพยายามหนีความแก่

 หนีความเจ็บไข้ได้ป่วย หนีความตายกัน

 แต่หนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น

 เพราะวิธีหนีของเราไม่ได้เป็นการหนี

 แต่เป็นการวิ่งเข้าหามัน พอตายจากชาตินี้ไป

ก็ไปเกิดใหม่อีก ก็ต้องไปเจออีกโดยไม่รู้ตัว

 สิ่งที่พาให้เราไปเกิดใหม่ก็คือ

ความอยากต่างๆของเรานั่นเอง

 อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้

 อยากสัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ

 ที่เป็นตัวฉุดลากเราเข้าหา

การเกิดแก่เจ็บตายโดยไม่รู้ตัว พอเกิดมาแล้ว

เราก็พยายามหนีความแก่ความเจ็บความตาย

 ด้วยวิธีต่างๆกัน

จนกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โตขึ้นมา

เรื่องการรักษาความหนุ่มสาวความสวยงามนี้

 เป็นอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่ของโลก

 มีเมืองหลวงของแฟชั่นเต็มไปหมด

 เพื่อสร้างความสวยความงาม

 เพื่อรักษาความสวยความงาม

 แต่ก็ขัดกับหลักความจริงของร่างกาย

ที่ต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลา

เพราะใจขาดปัญญา ถูกความมืดบอด

คือโมหะความหลง อวิชชา

ความไม่รู้ความจริงครอบงำ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

กำลังใจ ๓๘, กัณฑ์ที่ ๓๗๘

วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๑








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2561 8:59:12 น.
Counter : 402 Pageviews.

0 comment
<<< "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียม" >>>








“พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียม”

เดี๋ยวนี้มีการไปเสนอให้ออกกฏหมาย

บังคับให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

 ไปบังคับทำไม บังคับแล้วมันได้อะไร

 ของอย่างนี้มันบังคับได้ที่ไหน

 เรื่องของศรัทธาความเชื่อ

เขียนไปมันก็เป็นแค่กระดาษเท่านั้นเอง

 ถ้าคนจะเชื่อ มันไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับหรอก

 ในสมัยพระพุทธเจ้าไม่เห็นต้องมีเขียนกฎหมาย

มาบังคับให้คนนับถือศาสนาพุทธกัน

คนเขามาด้วยศรัทธา

ขอให้มีสิ่งดึงดูดจิตใจเขาเท่านั้นแหละ

สิ่งที่จะดึงดูดจิตใจให้เข้าหาพระศาสนา

ก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แท้นะ

ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียม

ตอนนี้เรามีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียม

 เพราะอะไร เพราะไม่มีใครเข้าหากัน

มีพระไตรปิฎกเต็มตู้อยู่ทุกวัด

แต่ไม่มีใครขอยืม

หนังสือพระไตรปิฎกไปอ่านกันเลย

มีแต่ประดับไว้เป็นเครื่องประดับ

 ตู้ก็สวย ปิดทองลงรักอย่างดี

 หนังสือเต็มไปหมด มีครบทั้ง ๔๕ เล่ม

 แต่ไม่มีใครเปิดออกมาอ่านสักเล่ม

นี่ถึงเรียกว่า “ธรรมะเทียม” “พระสงฆ์เทียม”

ก็คือพระสงฆ์ที่ไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้บรรลุนั่นเอง

 เป็นพระที่ยังไม่เป็นพระสุปฏิปันโน

ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล

นี่คือของเทียมที่เรามีกันเยอะแยะไปหมด

เราก็หลงคิดว่าศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองกัน

 มีเผยแผ่ไปทั่วโลก เดี๋ยวนี้ไปประเทศไหน

เดี๋ยวนี้ก็จะมีวัดกัน แต่จะเป็นวัดแบบไหน

ก็วัดเทียมอีกล่ะ วัดที่ไม่มีการศึกษา

 วัดที่ไม่มีการปฏิบัติ วัดที่ไม่มีการบรรลุ

วัดที่มีแต่การสวด วัดที่มีแต่พิธีกรรม

 วัดที่มีแต่การขอ อย่างเมื่อเช้านี้

คนใส่บาตรก็บอกว่า “วันนี้หนูวันเกิด”

 “เอ้า ขอให้สุขให้เจริญ” “สาธุ สาธุ”

ได้แค่นั้นพอใจแล้ว เชื่อจริงๆ นะคนเรานี่

เชื่อว่าพอขอพรแล้ว พระบอก “ขอให้สุขให้เจริญ”

ก็คิดว่าจะสุขจะเจริญจริงๆ ใจสบายขึ้นมา

นี่แหละคือความเชื่อของชาวพุทธเรา

 เชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ไม่มี

 สิ่งที่ศาสนาจะมอบให้แต่กลับไม่ได้กัน

คือ มรรค ผล นิพพาน

การบรรลุอริยบุคคลขั้นต่างๆ นี้ไม่ได้กัน

 เดี๋ยวนี้เห็นว่าการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลนี่

เป็นของสุดวิสัยแล้ว เชื่อไหม ใครเป็น โอ้โฮ

 ต้องเป็นแบบสุดๆ เลย ถึงจะเป็นกันได้

แต่สมัยพุทธกาลเขาเป็นกันอย่างง่ายดาย

 ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เขาก็บรรลุกัน

สมัยก่อนเมืองไทยยังไม่ค่อยมีมหาวิทยาลัยเยอะ

 มีมหาวิทยาลัยที่ดังอยู่ ๒ แห่ง

 คือ จุฬาฯ กับธรรมศาสตร์

ยุคนั้นใครเข้าได้ก็ถือว่า

 โอ้โฮ สุดยอดของคนถึงจะเข้าไปเรียนได้

 แต่เดี๋ยวนี้มีมหาวิทยาลัยเต็มไปหมด

ปริญญาบัตรได้กันเต็มไปหมดเลย

สมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน

 สมัยพุทธกาลนี้ผู้ศึกษามีผู้ปฏิบัติกันมากมาย

 มีผู้บรรลุมรรค ผล นิพพาน

 บรรลุเป็นพระอริยบุคคลกันมากมายกายกอง

จนถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องปกติ

 แต่พอมาถึงสมัยเรา กลับเป็นสมัยที่มันเสื่อม

จากคำสอนจากการปฏิบัติ มันก็เลยเห็นว่า

ใครบรรลุเป็นพระอริยบุคคล

นี่ต้องเป็นแบบ โอ้โฮ สุดๆ ถึงจะเป็นได้ขึ้นมา

เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นพระอริยะกัน

 เป็นแล้วเดี๋ยวก็ถูกเขาหาว่าอวดอุตริก็ได้

 เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเขาจะเชื่ออยู่ดี

เพราะเขาไม่คิดว่าจะมี จะเชื่อได้ต่อเมื่อ

ต้องตายไปแล้วเท่านั้น แล้วไปดูกระดูก

ถ้ากระดูกกลายเป็นพระธาตุ

ทีนี้ถึงจะยอมรับว่า

ยังมีพระอริยบุคคลอยู่ในโลกนี้

 ในความรู้สึกของชาวพุทธทั่วๆ ไปนี้

เขาไม่เชื่อว่ามีพระอรหันต์แล้วนะ

 เขาคิดว่าเป็นเรื่องในอดีต

 เป็นเรื่องในยุคของพุทธกาล

ยุคปัจจุบันนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นกันได้

จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นของที่ยากเกินกว่า

การเรียนหนังสือจบปริญญาตรี โท เอก เลย

เป็นแบบเดียวกัน เป็นขั้นตอนเหมือนกัน

 มีการศึกษามีการทดสอบเหมือนกัน

 กว่าจะได้ปริญญา ก็ต้องศึกษา

ต้องทำการบ้าน ต้องไปสอบ

เมื่อสอบผ่านก็ได้รับปริญญากัน

การปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานก็เหมือนกัน

 ก็ต้องศึกษาแล้วก็ไปทำการบ้านคือไปปฏิบัติ

 แล้วก็ไปทำข้อสอบ การทำการบ้าน

 การทำข้อสอบของศาสนาก็คือการปฎิบัติ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

หนังสือสัมมาทิฏฐิ
“ความเห็นชอบ ความเห็นที่ถูกต้อง”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2561 8:38:25 น.
Counter : 371 Pageviews.

0 comment
<<< "อธิษฐานในเหตุอย่าไปอธิษฐานในผล" >>>








“อธิษฐานในเหตุ

   อย่าไปอธิษฐานในผล”

บุญก็เป็นเหมือนเงินฝากในธนาคาร

 บาปเป็นเหมือนหนี้ที่ต้องใช้

มีเงินในธนาคารก็เบิกมาใช้ได้

 ฉันใดเมื่อทำบุญก็จะได้เสวยบุญ ได้เกิดในสุคติ

 เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า

 ถ้าไปก่อกรรมทำเข็ญก็ต้องไปใช้หนี้ในอบาย

 ไปตกนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นผี

 บุญและบาปเป็นของจริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้

ก็ตรัสรู้เรื่องบุญและบาปนี้แล ไม่ได้ตรัสรู้เรื่องอะไร

 ทรงตรัสรู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

 การกระทำเป็นเหตุ ผลคือความสุขความเจริญ

 ความทุกข์ความเสื่อม

 ภพชาติที่ดีหรือภพชาติที่ไม่ดี

 ก็เกิดจากการกระทำของเรา

ในแต่ละภพในแต่ละชาติ

ในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา

 เช่นวันนี้เรามาทำความดี

 มาทำบุญ สะสมบารมี ก็เหมือนกับเอาเงิน

ไปฝากไว้ในธนาคารบุญ

 เมื่อเราเดินทางไปข้างหน้า

 ก็จะสามารถเบิกเอาบุญ

ที่ได้ฝากไว้ในธนาคารบุญมาใช้ได้

ก็จะไปเกิดดีกว่าเก่าสูงกว่าเก่า

 เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม

เป็นพระอริยเจ้าที่ดีที่สูงกว่าเก่า

เกิดจากการกระทำไม่ได้เกิดจากการปรารถนา

 ถ้าปรารถนาจะไปนิพพาน แต่ไม่ทำบุญให้ทาน

 ไม่รักษาศีล ไม่ตัดกิเลส ไม่ปฏิบัติธรรม

ต่อให้ปรารถนาไปกี่ร้อยภพกี่ร้อยชาติ

ก็จะเป็นเพียงแต่ความปรารถนาเท่านั้น

 เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 เช่นปรารถนาจะมาวัดในวันนี้

 ก็ต้องคิดก่อนว่าวันนี้อยากจะมาวัด

เมื่ออยากแล้วก็ทำในสิ่งที่ทำให้มาวัดได้

เตรียมตัวเตรียมข้าวเตรียมของ

เมื่อถึงเวลาก็ออกจากบ้าน

เดินทางมา ก็จะมาถึงวัดได้

แต่ถ้าอยากจะมาวัดเฉยๆ พอตื่นเช้าขึ้นมา

ก็ไม่อยากจะลุก อยากจะนอนต่อ

ก็เลยไม่ได้มาวัด ถ้านอนต่อป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น

ความปรารถนาจึงไม่ใช่เหตุ

ที่จะพาให้ไปถึงที่หมายได้

 เป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องมาก่อน

ถ้าวันนี้ไม่คิดจะมาวัด

 ตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้จะไปไหนดี

ก็อาจจะไม่ได้ไปไหน

ถ้ามีใครมาชวนให้ไปที่นั้นที่นี่

 ก็อาจจะไปกับเขา

แต่ถ้าได้ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะมาวัด

ถึงแม้จะมีใครมาชวนให้ไปที่อื่น ก็จะปฏิเสธ

 เพราะได้ตั้งใจจะมาวัดแล้วนั่นเอง

 ตั้งใจแล้วก็ต้องทำ

การตั้งใจในภาษาพระเรียกว่าอธิษฐานบารมี

 ให้อธิษฐานในเหตุ อย่าไปอธิษฐานในผล

 อย่าอธิษฐานให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

 เพราะการอธิษฐานขอไม่เป็นเหตุ

ที่จะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ต้องทำเหตุที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา

 อยากจะได้ข้าวของก็ต้องไปที่ร้าน ไปซื้อมา

 ถ้าอยู่ที่บ้านแล้วอธิษฐานขอให้สิ่งของต่างๆมา

 มันก็จะไม่มา ต้องไปซื้อที่ร้าน

 ฉันใดถ้าอยากจะไปสู่ภพชาติที่ดี ไปสู่สุคติ

 ไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่ทุกภพทุกชาติ

 เป็นเทพเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้า

 ก็ต้องเจริญเหตุที่จะทำให้ได้ผลนั้น

คือการสะสมบุญบารมีนี้เอง ไม่ได้อยู่กับอะไร

 อย่างที่พวกเราได้มาทำกันในวันนี้

เรากำลังสะสมบุญบารมี

 จะอธิษฐานหรือไม่ก็ตาม

 ขอหรือไม่ก็ตาม ถ้าทำบุญอยู่เรื่อยๆแล้ว

 เมื่อตายไปก็จะไปเกิดที่ดีอย่างแน่นอน

 จะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม เพราะการทำบุญ

เป็นเหตุให้ไปเกิดในที่ดีนั่นเอง

ไม่อยากติดคุกติดตะรางแต่ไปทำผิดกฎหมาย

ก็ต้องไปติด เพราะการทำผิดกฎหมายเป็นเหตุ

 ถ้าไม่อยากจะติดคุกติดตะราง

เราก็ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย ต้องเคารพกฎหมาย

 นอกจากการมีความตั้งใจที่ดีแล้ว ก็ต้องทำดีด้วย

 ไม่ตั้งใจเฉยๆ อยากจะมาวัด พอถึงเวลาก็ไม่มา

 อยากไปจนวันตายก็ไม่ได้มา

คนบางคนชอบพูดเสมอว่า ไม่ได้มาวัดเลย

 ไม่มีเวลา จะมาได้อย่างไร จะมีเวลาได้อย่างไร

 ถ้าไม่ตั้งใจจะมา ไม่ให้เวลากับการมาวัด

 เอาเวลาไปใช้อย่างอื่นหมด เอาเวลาไปนอน

ไปเที่ยว ไปทำอย่างอื่น

ก็ไม่ได้มาวัด ไม่ได้มาทำบุญ

ไม่ได้สะสมบารมี ไม่ได้ในสิ่งที่อยากจะได้กัน

ได้แต่สิ่งที่ไม่อยากจะได้กัน ถ้าทำบาป

ก็ต้องไปตกนรก เป็นเดรัจฉานเป็นต้น

 จึงควรดูการกระทำของเราเสมอ ในแต่ละวัน

ในแต่ละเวลา ในแต่ละขณะ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่

 กำลังทำบุญสะสมบารมี หรือกำลังทำบาปทำกรรม

 ทำสิ่งที่ไร้สาระ การกระทำของเรา

มี ๓ ลักษณะด้วยกันคือ

 ทำดี ทำชั่ว ทำไม่ดีไม่ชั่ว

 ทำดีก็จะได้ผลดี ทำชั่วก็จะได้ผลชั่ว

ทำไม่ดีไม่ชั่ว ก็จะไม่ได้ผลดีหรือผลชั่ว

 คือจะไม่ได้ไปไหน

 เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไป

 ถ้าอยากจะให้ชีวิตของเราดีขึ้น

มีความสุขมากขึ้น มีความเจริญมากขึ้น

ก็ต้องทำความดี

ถ้าไม่ต้องการให้ชีวิตของเราตกต่ำลง

เราก็ต้องไม่ทำความชั่ว

เพราะหลักกรรมเป็นหลักตายตัว

 จะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่สามารถลบล้างความจริง

ของหลักกรรมได้ ถ้าปฏิบัติดี

ถึงแม้จะไม่เชื่อก็จะได้ผลดี

ถ้าปฏิบัติชั่วถึงแม้จะไม่เชื่อ

ก็จะได้รับผลของความชั่วที่ทำไว้

 จึงควรเชื่อพระพุทธเจ้า

 เชื่อพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

 เพราะได้สัมผัสได้พิสูจน์มาแล้วว่า

 ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริงๆ ทำดีได้ไปเกิดที่ดี

 ไปสวรรค์ ไปพระนิพพาน ทำบาปทำกรรม

ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในอบาย

ไปตกนรก ไปเป็นเดรัจฉาน

สลับกันไปสลับกันมาอยู่เรื่อยๆ

 เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ได้รู้ได้เห็นแล้วนำเอามาสั่งสอนพวกเรา

 ถ้าเชื่อเราก็จะได้กำไร เพราะเมื่อเชื่อแล้ว

เราก็จะปฏิบัติตาม ถ้าไม่เชื่อเราก็จะขาดทุน

จะไม่ได้รับประโยชน์จากพระศาสนา

 จากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะพระพุทธศาสนา

และการได้เกิดเป็นมนุษย์นี้เท่านั้น

ที่จะทำให้เราสามารถสร้างความดี

สร้างบุญและกุศล สร้างบุญบารมี

ให้เราได้ไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต

 คือการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้

 ไม่มีอย่างอื่นที่จะทำได้ ต้องมีทั้งศาสนา

และการได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะถ้ามีศาสนา

แต่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์

ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากศาสนา

 เช่น ได้มาเกิดเป็นสุนัข ได้มาอยู่ในวัด

แต่จะไม่รู้เรื่องพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 จะไม่สามารถปฏิบัติได้

ไม่สามารถสะสมบุญบารมีได้

มีมนุษย์เท่านั้นในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย

 ที่จะสามารถสะสมบุญบารมีได้

 เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปตกนรก

ก็สะสมบุญบารมีไม่ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่ได้

สะสมบุญบารมี เพราะมัวแต่เสวยความสุข

เสวยอาหารทิพย์

มีความสุขอยู่กับอาหารทิพย์ต่างๆ

ก็เลยไม่สนใจที่จะสะสมบุญบารมี

มีมนุษย์นี้เท่านั้นที่จะมีโอกาส

 มีเวลาและมีสติปัญญา

 ที่จะรับรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วนำเอาไปปฏิบัติได้ ภพชาติของมนุษย์

จึงเป็นเหมือนกับปั๊มน้ำมัน

เป็นที่เติมน้ำมัน เป็นที่เติมเสบียง

 จิตใจที่ยังมีความโลภโกรธหลงอยู่ยังต้องเดินทาง

ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ถ้าต้องการไปที่ดี

 ไปด้วยความสุขความอิ่มหนำสำราญใจ

 ก็ต้องแวะเติมน้ำมันเติมเสบียง

ถ้าไม่เติมก็เหมือนเกิดมาเป็นมนุษย์

แล้วไม่ทำบุญทำทาน รักษาศีล ภาวนา

ปฏิบัติธรรม มัวแต่หาเงินหาทอง

แล้วก็เอาเงินทองไปกินไปใช้ไปเที่ยวไปดื่ม

ไปหาความสุขจากกามารมณ์

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ

 ถึงแม้จะมีความสุขแต่ก็เป็นความสุขที่ไม่นาน

 เป็นความสุขในขณะที่เสพ พอไม่ได้เสพ

ก็จะว้าวุ่นขุ่นมัวเบื่อหน่าย เศร้าสร้อยหงอยเหงา

 ต้องหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาเสพ

 เป็นเหมือนคนติดยาเสพติด

ไม่มีความสุขถ้าอยู่เฉยๆ

ต้องมีสิ่งนั่นสิ่งนี้มาบำรุงบำเรออยู่เรื่อยๆ

 แต่ถ้าได้ทำบุญอยู่เรื่อยๆ ได้ทำทาน

รักษาศีล ภาวนา ก็จะมีบุญหล่อเลี้ยงจิตใจ

 ทำให้มีความอิ่มหนำสำราญใจ

 ไม่ต้องไปหาสิ่งนั่นสิ่งนี้มาให้ความสุข

มาบำรุงบำเรอจิตใจ เพราะบุญและกุศล

เป็นอาหารที่แท้จริงของใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

กำลังใจ ๓๓, กัณฑ์ที่ ๓๑๒

วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 05 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2561 11:23:22 น.
Counter : 472 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ