Group Blog
All Blog
<<< "การพลัดพราก" >>>










“การพลัดพราก”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธศาสนิกชน

 ให้หมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่าเราเกิดมาแล้ว

ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ล่วงพ้นการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้

 นี่คือความจริงของชีวิต ของทุกๆชีวิต

ไม่ว่าจะสูงจะต่ำ จะรวยจะจน จะฉลาดหรือโง่

 จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

ถ้าไม่พิจารณาอยู่เนืองๆ ใจจะหลงจะลืม

จะคิดว่าจะอยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด

 พอถึงเวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกัน

ก็จะเกิดความทุกข์ใจ เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

 แต่ถ้าหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ จะไม่หลงจะไม่ลืม

 จะเตรียมตัวเตรียมใจ จะไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ

กับบุคคลต่างๆ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว

จะต้องจากกันอย่างแน่นอน

นี่คือ “ธรรม” ที่สำคัญ

 เพราะจะปกป้องจิตใจไม่ให้ทุกข์

กับการพลัดพรากจากกัน จากการสูญเสียสิ่งต่างๆไป

 การพิจารณาก็ควรพิจารณาสิ่งต่างๆ

 หรือบุคคลต่างๆ ที่เรารัก หรือเราชัง

 เพราะสิ่งที่เรารัก บุคคลที่เรารักหรือสิ่งที่เราชัง

 สิ่งที่เรารักนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเรานั่นเอง

 สำหรับสิ่งที่เราไม่รักไม่ชัง บุคคลที่เราไม่รักไม่ชังนี้

ไม่ค่อยเป็นปัญหา เขาจะมาเขาจะไปไม่มีปัญหาอะไร

แต่คนที่เรารักสิ่งที่เรารัก ถ้าเขาจากเราไป

 เราจะเดือดร้อนเราจะวุ่นวายใจ

หรือสิ่งที่เราชังบุคคลที่เราชัง เวลาจะต้องอยู่กับเขา

 เราก็วุ่นวายใจไม่สบายใจ เราต้องพิจารณาว่า

ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องจากเราไปอยู่ดี

ในขณะที่เขาอยู่เราไม่สามารถที่จะให้เขาไปได้

 เราก็ต้องทำใจ สำหรับคนที่เรารักหรือสิ่งที่เรารัก

 ถ้าเขาอยู่กับเรา เราก็จะดีใจและมีความสุข

 แต่เราก็จะไม่สามารถสั่งให้เขาอยู่กับเราไปได้ตลอด

 ไม่ช้าก็เร็ว ไม่เขาก็เรา จะต้องไปต้องจากกันไปอยู่ดี

นี่คือสิ่งที่เราต้องหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

ถามตัวเราเองว่า เรารักใครเราชอบใคร

 เราอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆใช่ไหม

 แต่เขาจะอยู่กับเราไปนานๆได้หรือเปล่า

 หรือเราจะอยู่กับเขาไปนานๆได้หรือเปล่า

 เรากับเขาจะไม่มีวันจะต้องจากกันหรืออย่างไร

 ถ้ามันมาถึงวันนั้น วันที่จะต้องมีการจากกัน

 เราจะทำใจอย่างไร ถ้าเราคอยหมั่นสอนใจเตือนใจ

 ถึงความเป็นจริงอันนี้ว่า

จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา

เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นญาติสนิทมิตรสหาย

 หรือเป็นสิ่งของต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ

 สุข ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย

เป็นสิ่งที่จะต้องมีการพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน

 ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ถ้าเราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 เราจะเตรียมตัวเตรียมใจ และตัดใจของเรา

 หัดอยู่แบบไม่ต้องมีเขาให้ได้

 ไม่ต้องมีลาภ ยศสรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องมีสามีภรรยา

 ไม่ต้องมีบุตรธิดา ไม่ต้องมีญาติพี่น้อง

อยู่ตัวคนเดียวนี่แหละดีที่สุด

 แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไป

 การอยู่คนเดียวนี้ก็หมายถึงว่า

 แม้แต่ไม่มีร่างกายก็ยังอยู่ได้ ไม่เดือดร้อน

 แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไปเช่นเดียวกัน

 แล้วการที่เราจะอยู่คนเดียวได้

โดยที่ไม่ต้องมีบุคคลต่างๆ ไม่ต้องมีสิ่งต่างๆ

 เราต้องมี “ธรรม” เท่านั้น

ถึงจะทำให้เราอยู่คนเดียวได้ อยู่ตามลำพังได้

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เราต้องมีธรรมเป็นที่พึ่ง

 ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ

 ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ ไม่ต้องพึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ

 ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งสามีพึ่งภรรยา พึ่งบุตรธิดา

 พึ่งญาติสนิทมิตรสหาย พึ่งร่างกายของเราเอง

 เพราะเขาเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ถาวร

ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องจากเราไป

 แล้วเวลาที่เขาจากเราไป

เราไม่มีที่พึ่ง เราจะทำอย่างไร

 เราก็ต้องเดือดร้อน จนกว่าเราจะหาที่พึ่งใหม่ได้

 เช่น สามีจากไป ถ้ายังต้องการมีสามี

ก็ต้องไปหาสามีใหม่ ลูกจากไป ถ้ายังอยากจะมีลูก

ก็ต้องหาลูกมาใหม่ ถ้าคลอดเองไม่ได้

ก็ไปขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก

 เพราะเรายังพึ่งสิ่งเหล่านี้

เพื่อมาให้ความสุขกับเรานั่นเอง

 เพราะว่าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง

ไม่มี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่ง

ถ้าเรามี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งแล้ว

 เราไม่ต้องพึ่งอะไร ไม่ต้องพึ่งใคร

ไม่ต้องพึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ

 ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติ

ไม่ต้องพึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ไม่ต้องพึ่งร่างกายคือชีวิตอันนี้

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สละให้หมด

สละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

สละอวัยวะคือความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 และให้สละชีวิต สละร่างกายอันนี้

ถ้ามันต้องไปให้มันไป ไม่ต้องไปพึ่งมัน

มันไม่ใช่เป็นที่พึ่ง มันเป็น ภารา หะเว ปัญจักขันธา

 มันเป็นภาระที่ใจจะต้องแบก

ตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย

ผู้ฉลาดนี้จึงไม่กลับมาเกิด ไม่กลับมาแบก

 ภารา หะเว ปัญจักขันธา อันนี้

 ไม่มาแบกขันธ์ รูปขันธ์นี้ เพราะว่ามันเป็นทุกข์นั่นเอง

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๘

"การพลัดพราก"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 มกราคม 2562
Last Update : 18 มกราคม 2562 8:39:55 น.
Counter : 393 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ