Group Blog
All Blog
<<< " ชีวิตเราไม่แน่นอนจะไปเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ " >>>










“ชีวิตของเราไม่แน่นอน

   จะไปเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้”

ความสุขที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

 เป็นความสุขที่เหนือความสุขอื่นใดในโลกนี้

สุขที่ได้จากการสัมผัส

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะก็ดี

 ได้เงินได้ทองมาก็ดี

ได้รับตำแหน่งได้รับยศต่างๆก็ดี

ได้รับการสรรเสริญก็ดี

 จะสู้กับความสุขที่ได้จากความสงบของใจไม่ได้

 เมื่อได้สัมผัสกับความสงบแบบนี้แล้ว

 จะยินดีทุ่มเทเวลาให้กับการปฏิบัติอย่างเต็มที่เลย

 ถ้าไม่ได้ปฏิบัติสูงกว่านี้

ตายไปก็ได้ไปสู่พรหมโลก

 เพราะจิตมีฌานเป็นสมบัตินั่นเอง

ความสงบนี้เรียกว่าฌาน เป็นสมบัติของพรหม

 แต่ถ้าอยากจะไปสูงกว่านั้น

คือไม่อยากจะกลับมาเกิดอีกเลย

ก็ต้องเจริญวิปัสสนาภาวนา

ถ้ายังไม่ได้เจริญวิปัสสนาภาวนา

ถึงแม้ได้ไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม

 ก็ยังต้องกลับมาเกิดใหม่อีก

 เมื่อบุญที่ได้ทำไว้เสื่อมหมดไป

จิตก็จะหยาบลง

 ก็จะเคลื่อนลงจากสวรรค์ชั้นพรหม

สู่สวรรค์ชั้นเทพ

 เมื่อบุญของสวรรค์ชั้นเทพหมดไป

ก็จะเคลื่อนลงสู่มนุษยโลก มาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

 มาแก่มาเจ็บมาตายใหม่ ต้องบำเพ็ญกันใหม่

 ถ้าได้เจริญวิปัสสนาภาวนาแล้ว

 จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ภพชาติน้อยลงไปเรื่อยๆ

 ถ้าได้ขั้นที่ ๑ คือโสดาบัน ด้วยการพิจารณา

ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นไตรลักษณ์

 เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เช่นร่างกายของเรา

ก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

 มีการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา เป็นทุกข์

ตื่นขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว ทุกข์ด้วยความหิวอาหาร

 ต้องให้อาหาร ต้องอาบน้ำอาบท่า

ต้องแต่งเนื้อแต่งตัว ต้องคอยดูแลรักษา

นี่ก็เป็นความทุกข์

ตายไปก็กลายเป็นดินน้ำลมไฟไป

 เป็นธาตุ ๔ ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน

 ถ้าพิจารณาจนเห็นว่าเป็นอย่างนี้แล้ว

 ก็จะบรรลุธรรมขั้นแรก เป็นพระโสดาบันขึ้นมา

อานิสงส์ของพระโสดาบันก็คือ

จะมีภพชาติเหลือไม่เกิน ๗ ชาติ

ไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป

 ถึงแม้ในอดีตเคยทำบาปทำกรรมมา

มากน้อยเพียงไรก็ตาม

 แต่เมื่อได้เป็นโสดาบันแล้ว

 จะเกิดในสุคติเท่านั้น ไม่เป็นเทพก็เป็นมนุษย์

ไม่เกิน ๗ ชาติ พอกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

ก็จะบำเพ็ญต่อโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครบังคับ

 เพราะใจของพระโสดาบัน

มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

 อยู่กับธรรมอยู่แล้ว

 ได้เข้าสู่กระแสของธรรมแล้ว

 กระแสที่จะนำไปสู่พระนิพพาน

ก็จะปฏิบัติต่อไปได้เลย

ไม่ว่าจะมีอาจารย์หรือไม่ก็ตาม

 ถ้ามีอาจารย์ก็จะเร็วหน่อย

 ถ้าไม่มีอาจารย์ก็ช้าหน่อย

 แต่ไม่หลงทางแล้ว ไปถูกทางแล้ว

 จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ไม่เกิน ๗ ชาติ

 ถ้าขั้นไปอีกขั้นหนึ่งเรียกว่าขั้นสกิทาคามี

 ด้วยการเจริญอสุภกรรมฐาน พิจารณาจนเห็น

ความไม่สวยงามของร่างกาย

 เป็นเหมือนศพเดินได้

 ใต้ผิวหนังมีโครงกระดูกมีอวัยวะต่างๆ

 ที่ไม่สวยไม่งามซ่อนเร้นอยู่

 พอไม่หายใจก็กลายเป็นซากศพไป

 ถ้าเห็นว่าเป็นซากศพเดินได้

ซากศพที่หายใจได้

ก็จะมีความยินดีน้อยลงไป

เป็นพระสกิทาคามีขึ้นมา

 ทำกามตัณหาให้เบาบางลงไป

แต่ยังไม่หมดสิ้นไป

 ก็จะมีภพชาติเหลืออีกเพียง ๑ ชาติเท่านั้น

 ถ้าเจริญอสุภกรรมฐาน

จนตัดกามตัณหาจนหมดสิ้นไปได้

ไม่อยากมีคู่ครองอีกต่อไป

 ก็จะกลายเป็นพระอนาคามี

เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓

ไม่ต้องกลับมาเกิดในกามโลกกามภพ

 คือภพของมนุษย์ภพของเทพอีกต่อไป

 จะไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม

ชั้นสุทธาวาส มีอยู่ ๕ ชั้นด้วยกัน

 และจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด

 ถ้าบำเพ็ญต่อไปในขณะที่เป็นมนุษย์

จนกำจัดอวิชชาได้ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์

 ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

 นี่คือวิปัสสนาภาวนา เป็นธรรมขั้นสูงสุด

 เป็นธรรมที่จะตัดภพตัดชาติ

 ตัดการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างราบคาบ

 ธรรมขั้นทานศีลกับสมถภาวนา

ไม่สามารถตัดภพชาติได้

 ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก

 ถ้าอยากจะให้หลุดพ้น

ก็ต้องเจริญขั้นวิปัสสนาด้วย

 แต่ก่อนจะไปถึงขั้นวิปัสสนาได้

 ก็ต้องไต่เต้าจากขั้นต่ำขึ้นไป จากการให้ทาน

 ไปสู่การรักษาศีล สู่การบำเพ็ญสมถภาวนา

จนจิตใจมีความสงบแล้ว

ถึงจะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

 จะข้ามขั้นไปไม่ได้ เหมือนกับอยู่ชั้นอนุบาล

จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเลยไม่ได้

 ต้องเข้าสู่ชั้นประถมก่อน แล้วก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยม

แล้วจึงจะเข้าสู่ชั้นอุดมศึกษาเข้ามหาวิทยาลัย

 การบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติ

ในทางพระพุทธศาสนาก็เป็นเช่นนั้น

 ต้องก้าวไปตามขั้นของตน

อยู่ขั้นไหนก็ก้าวจากขั้นนั้นไป

 ถ้าอยู่ขั้นศีลแล้ว ก็ก้าวสู่ขั้นภาวนาได้เลย

ถ้ายังอยู่ขั้นทาน ก็ต้องเข้าสู่ขั้นศีลก่อน

 ไม่เช่นนั้นจะภาวนาไม่ได้ ถ้ายังรักษาศีลไม่ได้

 เวลาภาวนาจะมีนิวรณ์ มีความวิตกกังวลต่างๆ

 จะไม่สามารถทำใจให้สงบได้

ถ้ายังรักษาศีลไม่ได้

 ก็ต้องทำบุญให้ทานให้มากๆก่อน

 ถ้าทำบุญให้ทานด้วยจิตที่เมตตากรุณาแล้ว

ก็ไม่อยากจะเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะมีศีลขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่พุทธศาสนิกชน

จะตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญกันในพรรษานี้

จะให้เวลามากต่อการปฏิบัติ

 เพราะชีวิตของเราไม่แน่นอน

 จะไปเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครกำหนดได้

ว่าจะไปวันนั้นหรือไปวันนี้

 จะไปอายุเท่านั้นอายุเท่านี้

เรากำหนดไม่ได้

เพราะเป็นเรื่องของบุญของกรรม

 เป็นเรื่องของอนิจจังทุกขังอนัตตา

 เราจึงไม่ควรประมาท

 เมื่อมีเวลามีโอกาสที่จะบำเพ็ญได้

 เข้าวัดได้ ก็ขอให้มุ่งไปที่วัดกัน

ไปบำเพ็ญกัน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง

 เพราะวันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเราก็ได้

ดังที่ท่านทั้งหลายได้มาบำเพ็ญกันในวันนี้

 แสดงว่าไม่ตั้งอยู่ในความประมาท

 มีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา

 ที่จะนำพาไปสู่ความสุขและความเจริญ

สู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย

ได้อย่างแน่นอน

การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา

 จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

กำลังใจ ๓๙, กัณฑ์ที่ ๓๕๗

วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2561 15:13:33 น.
Counter : 442 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ