ไม่ควรสงสัยในคำสอน
แต่ควรน้อมเข้ามาสู่ใจ
พวกเรามีทางเลือก จะไปทางไหน
จะลงต่ำหรือจะขึ้นสูงก็ได้
ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระรูปหนึ่งรูปใด
พระพุทธเจ้ากับพระนั้น
มีหน้าที่สอนบอกเราเท่านั้น
ว่าทางที่จะไปสู่ความสุขความเจริญนั้น
อยู่ในทิศทางใด ทางที่จะพาเราไปสู่ความต่ำ
ความเสื่อมเสีย ความหายนะนั้นอยู่ทิศทางไหน
ท่านเพียงมีแต่หน้าที่บอกเราเท่านั้น
ถ้าเรารู้แล้วเชื่อแล้วปฏิบัติตาม
ก็จะเป็นบุญของเรา ถ้าไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตาม
ก็จะเป็นโทษกับเรา ไม่ได้เป็นโทษกับผู้บอกทาง
เพราะผู้บอกทางได้ไปถึงที่ต้องการจะไปแล้ว
เขารู้อยู่แก่ใจของเขาแล้ว
แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เราเชื่อได้
เราต้องเสี่ยงดูเอา
ว่าสิ่งที่เขาบอกเรานั้น จริงหรือไม่จริง
ถ้าเราลองทำตามที่เขาบอก
เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เขาบอกนั้น
จริงหรือไม่จริงอย่างไร
ถ้าไม่ลองดู ก็จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาบอกนั้น
จริงหรือไม่จริงอย่างไร
เหมือนกับเวลาไปหาหมอ
แล้วหมอให้ยามารับประทาน
ถ้าไม่รับประทานยา ก็ไม่รู้ว่า
ยานั้นรักษาโรคให้หายไปได้หรือเปล่า
ถ้ารับประทานอย่างน้อยก็จะรู้ว่า
ยารักษาโรคได้หรือไม่
ถ้ารักษาไม่ได้ ก็ไปขอให้หมอเปลี่ยนยาได้
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ายาที่หมอให้มานั้น
เป็นยาที่ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้
ฉันใด คำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็เป็นเหมือนยารักษาโรคใจ
คือรักษาโรคของความทุกข์
รักษาโรคของการเวียนว่ายตายเกิด
เกิดแก่เจ็บตายของเราได้
ถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาศึกษา
มาพินิจพิจารณา แล้วนำไปปฏิบัติ
เราจะรู้ถึงผลที่จะปรากฏขึ้นมา
ไม่ต้องรอถึงเวลาที่ตายไป
ถึงจะรู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีผลหรือไม่อย่างไร
เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าสามารถพิสูจน์ได้
ในภพนี้ในชาตินี้ ถ้าทำความดี
รักษาศีลปฏิบัติธรรมแล้ว ความสุขภายในใจ
จะมีมากขึ้นหรือน้อยลง จะเห็นได้ทันที
และเมื่อปฏิบัติธรรมมากยิ่งๆ ขึ้นไป
จะเริ่มเห็นตัวจิต ตัวที่ไปเวียนว่ายตายเกิด
ตัวที่มาเกิดและตัวที่จะไปเกิดใหม่
เมื่อปฏิบัติธรรมจนเห็นตัวจิตแล้ว
ต่อไปจะไม่สงสัยเลยว่ากรรมมีจริงหรือไม่
การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่
เพราะมันเห็นที่ตัวจิตนี่แหละ
ในขณะนี้เรามีจิตอยู่กับเรา แต่เราไม่เห็นจิต
เห็นเพียงแต่ร่างกาย
ทั้งๆ ผู้ที่เห็นร่างกายนี้ก็คือตัวจิตเอง
แต่ตัวจิตไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้
เหมือนกับเราไม่สามารถมองเห็นหน้าของเราได้
ต้องอาศัยกระจกส่องหน้าจึงจะเห็นได้
การที่จะเห็นตัวจิตก็ต้องอาศัยการปฏิบัติธรรม
คือการปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาเท่านั้น
จึงจะทำให้เห็นตัวจิตได้ ถ้าปฏิบัติแล้ว
รับรองได้ว่าจะเห็นตัวจิต
เหมือนกับเห็นหน้าตาของเรา
ถ้ามีกระจกส่องหน้าเรา แต่ถ้าไม่มีกระจกส่องหน้า
เราจะไม่รู้ว่าหน้าตาของเราเป็นอย่างไร
ใครจะบอกว่าหน้าตาเราสวยหรือไม่สวย
เราก็จะไม่รู้ เพราะไม่มีกระจกส่องดู
ฉันใดเราก็จะไม่เห็นตัวจิต
ผู้ที่จะไปเวียนว่ายตายเกิด
เพราะไม่มีกระจกส่องดูตัวจิต
กระจกที่ส่องดูตัวจิตนี้เรียกว่าธรรมะ
แว่นส่องใจ แว่นส่องจิต
ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม
โดยอาศัยการทำบุญรักษาศีลเป็นเครื่องสนับสนุน
ให้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม ถ้ายังไม่ทำบุญทำทาน
ยังไม่รักษาศีล การนั่งสมาธิกับการเจริญวิปัสสนา
จะเป็นสิ่งที่ยากมาก เหมือนกับการสร้างบ้าน
ถ้าไม่มีเสาจะสร้างให้บ้านสูงขึ้นไปหลายชั้น
ย่อมเป็นไปไม่ได้
อย่างศาลาหลังนี้ถ้าไม่มีเสาค้ำเพดานค้ำหลังคาไว้
ก็ไม่สามารถสร้างศาลาหลังนี้ได้
ฉันใด การปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีแว่นส่องจิตแว่นส่องใจ
เพื่อจะได้เห็นตัวจิต ก็ต้องอาศัยการทำบุญทำทาน
การรักษาศีล เป็นเครื่องสนับสนุนก่อน
เมื่อได้ทำบุญทำทานรักษาศีลอยู่เป็นประจำ
ต่อไปจิตก็จะเกิดความยินดีที่จะปฏิบัติธรรม
อยากจะมาอยู่วัด อยู่จำศีลสัก ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน
ไหว้พระสวดมนต์นั่งทำสมาธิ เจริญวิปัสสนา
ให้เห็นถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย
ว่าเป็นอย่างไร ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างไร
ว่ากรรมเป็นอย่างไร
นี่แหละคือเรื่องราวของพระพุทธศาสนา
เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสั่งสอนพวกเรา
เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นจิตของพระองค์แล้ว
ทรงรู้แล้วว่าตัวที่จะไปเกิดก็คือตัวจิต
และตัวที่จะส่งจิตไปเกิด ก็คือตัวกิเลสตัณหา
โมหะอวิชชา และตัวที่จะทำให้จิต
ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป
ก็คือตัวสมาธิและวิปัสสนาปัญญา
เราจึงไม่ควรสงสัยในพระธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ควรน้อมเข้ามาสู่ใจ
เพื่อประโยชน์สุขอันสูงสุด
ที่จะเป็นผลตามมาต่อไป คือวิมุตติ
ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.................................
กำลังใจ ๑๒, กัณฑ์ที่ ๑๖๖
วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ