Group Blog
All Blog
<<< "ไตรลักษณ์" >>>








“ไตรลักษณ์”

พระพุทธเจ้าทรงเป็นโลกวิทู ผู้รู้โลก

 ทรงรู้ถึงสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ต้องสัมผัส

 ต้องเจอกัน และทรงรู้จักวิธีปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้

ที่เรียกว่าโลกธรรม ๘ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

ซึ่งมีทั้งเจริญและเสื่อมควบคู่กันไป เป็น ๔ คู่ด้วยกัน

 ได้แก่การเจริญลาภ เจริญยศ สรรเสริญ สุข

เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นของคู่กัน

โลกธรรม ๘ นี้มีทั้งได้มีทั้งเสีย บางทีก็ได้เงินได้ทองมา

 บางทีก็ต้องเสียเงินเสียทองไป บางทีก็ได้รับเลื่อนชั้น

เลื่อนตำแหน่ง บางทีก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง

 บางทีก็ได้รับการชมเชย บางทีก็ได้รับการตำหนิติเตียน

บางทีก็มีความสุข บางทีก็มีความทุกข์

นี่คือส่วนประกอบของชีวิตของพวกเรา

ถ้ารู้ทัน รู้ว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย มีเกิดก็ต้องมีดับ

 ก็จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เวลาที่ได้อะไรมา

ก็จะได้ไม่หลงระเริงกับสิ่งที่ได้มา

 ต้องทำความเข้าใจเสมอว่า

ถึงแม้จะไม่มีสิ่งที่ได้มาในวันนี้

 ก็ยังอยู่ได้ มีความสุขได้

ถ้าไม่ไปหลงยึดติดกับสิ่งที่ได้มา

แต่ถ้าไม่ได้คิดไว้ก่อน เวลาได้อะไรมาก็ดีอกดีใจ

 มีความสุขกับสิ่งที่ได้มาจนติดนิสัยไป

 เหมือนกับติดยาเสพติดหรือติดสิ่งอื่นๆ

 เช่นบุหรี่สุรายาเมา เราก็ไม่ได้เกิดมากับสิ่งเหล่านี้

 เมื่อก่อนไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยกินเหล้า ก็อยู่ได้

 แต่พอเริ่มสูบบุหรี่แล้ว เริ่มเสพสุราแล้ว

 ก็ติดเป็นนิสัย พอวันใดไม่ได้สูบบุหรี่ ไม่ได้เสพสุรา

 ก็จะไม่สบายใจ เป็นความทุกข์ขึ้นมา

 ถ้าจะสูบบุหรี่ เสพสุรา ต้องมีความแน่ใจว่า วันไหนไม่มี

 ก็ต้องอยู่ได้ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะเสพ

โดยไม่เกิดความทุกข์ ก็ต้องฝึกด้วยการเสพบ้าง

 ไม่เสพบ้าง สูบบุหรี่สัก ๓ วันแล้วก็หยุดไป ๓ วัน

 แล้วค่อยกลับมาสูบใหม่ ฝึกทั้ง ๒ ด้าน

 ฝึกกับการมีและฝึกกับการไม่มี

 เพื่อจิตใจจะได้รู้จักวิธีปรับตัว

ให้รับกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

 นี่คือการปฏิบัติธรรม

 ให้รู้ทันกับสิ่งเหล่านี้ แล้วสามารถปล่อยวางได้

เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องมี

 เช่นเงินทอง ทุกคนต้องมีไว้ใช้

 เพียงแต่ต้องระมัดระวัง

 ไม่ให้ติดจนเดือดร้อน เวลาไม่มีเงินไม่มีทอง

 จริงอยู่ที่ต้องมีเงินทองไว้

สำหรับซื้ออาหารและปัจจัย ๔

 แต่ก็อย่าไปซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็น

 เงินทองจะได้ไม่ขาดมือ

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาโลกธรรม ๘

 เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเผชิญ ต้องสัมผัสกัน

 ถ้ามีปัญญารู้เท่าทันว่า มันไม่แน่นอนนะ

สิ่งต่างๆที่เราสัมผัสวันนี้

วันพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้สัมผัสก็ได้

 วันนี้มีความสุข พรุ่งนี้ก็มีความทุกข์ได้

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนวิธีที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้

คือให้หาสิ่งที่ดีกว่านี้ ซึ่งมีอยู่ในตัวของเราแล้ว

 คือความสุขภายในที่เกิดจากการทำบุญทำทาน

 รักษาศีล และภาวนา เพราะเมื่อได้ทำแล้ว

 จะทำให้จิตใจสงบตัวลง เพราะได้รับการชำระ

 กิเลสตัณหาต่างๆจะถูกกำจัดไปทีละเล็กทีละน้อย

 ทุกวันนี้ที่เราต้องออกไปเกี่ยวข้องกับโลกธรรม ๘

ก็เพราะอำนาจของกิเลสตัณหานี้เอง

 เมื่อกิเลสตัณหาสร้างความหิว

สร้างความต้องการขึ้นมา

 ก็ต้องออกไปหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

 แต่ถ้าไม่มีกิเลสตัณหาผลักดันให้ออกไป

 ก็ไม่ต้องไปไหน อยู่เฉยๆ

 อยู่ในความสงบก็มีความสุขแล้ว

 เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

 เป็นความสุขที่ชนะความสุขอื่นๆทั้งหมด

 รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง

ก็อยู่ที่รสแห่งความสงบนี้เอง

 ถ้าทำจิตใจให้สงบได้แล้ว

 ต่อไปก็จะไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัย

ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเป็นเครื่องอยู่อีกต่อไป

ดังครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่พวกเรากราบไหว้กัน

 ท่านไม่ได้มีความจำเป็นกับลาภยศสรรเสริญสุขเลย

 ได้ลาภมามากน้อยก็เอาไปทำประโยชน์ใ

ห้กับโลกอีกต่อหนึ่ง เพราะท่านพร้อมที่จะให้อยู่เสมอ

 จิตใจของท่านไม่ได้ยึดติดกับอะไร เรื่องปัจจัย ๔

 ก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากศรัทธาญาติโยมอยู่แล้ว

 บิณฑบาตก็มีอาหารรับประทานทุกวัน

จีวรก็มีคนถวายอยู่ประจำ กุฏิศาลาที่พักก็มีอยู่พร้อม

 ท่านมีครบทั้ง ๒ ส่วน

 คือ มีสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

ได้แก่ปัจจัย ๔ แล้วก็มีความสุขความอิ่มใจ

 ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม

จากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา

ที่จะพาไปสู่ความสุขที่แท้จริง

ให้สามารถอยู่เหนือโลกธรรมทั้ง ๘ ได้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่สามารถทำอะไรกับจิตใจได้

 ใครจะถวายเงินเป็นล้านเป็นแสน ก็จะไม่รู้สึกดีอกดีใจ

 ใครจะแต่งตั้งให้เป็นอะไร ก็เฉยๆ

เพราะจิตไม่หิวกับเรื่องเหล่านี้แล้ว

 เหมือนกับเวลารับประทานอาหารอิ่มเต็มที่แล้ว

ใครจะเอาอาหารวิเศษขนาดไหนมาให้กินอีก ก็กินไม่ลง

ถ้าจิตใจได้รับการขัดเกลา ได้รับการชำระ

ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาอย่างต่อเนื่องแล้ว

 จิตใจจะมีความสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา

 ไม่เพียงแต่เวลานั่งทำสมาธิเท่านั้น

 ถ้าได้ทำวิปัสสนาจนสามารถชำระความโลภ โกรธหลง

ให้ออกจิตจากใจได้แล้ว แม้ในขณะที่เดินเหิน

ขณะที่คุย ขณะที่ทำอะไรต่างๆ จิตก็ยังสงบอยู่

 จิตไม่ได้มีอารมณ์กับอะไร

ซึ่งต่างกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติ

 ความสงบของจิตจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ถ้าได้เข้าถึงขั้นปัญญา ถ้าอยู่ในขั้นสมาธิ

ก็จะสงบเฉพาะในขณะที่นั่งสมาธิ

นั่งหลับตาแล้วบริกรรมพุทโธๆๆทำจิตให้รวมลง

 เมื่อรวมลงแล้ว จิตก็สงบ

 แต่พอถอนออกมาจากสมาธิแล้ว

กิเลสก็จะออกมากับสมาธิ

ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่

 แต่ถ้าได้เจริญวิปัสสนา พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย

เช่นโลกธรรมทั้ง ๘ ให้เห็นว่า

เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จิตก็จะปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด อะไรจะเกิดก็เกิด

 อะไรจะดับก็ดับ เมื่อเป็นอนิจจัง

 ก็ต้องเป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปหวัง คนเราเวลาผิดหวัง

 มีความเสียใจ ก็เป็นความทุกข์ อนัตตา

ก็หมายถึงไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเรานั่นเอง

ไม่สามารถบังคับให้อยู่กับเราไปตลอด

เช่นสามีของเราจะต้องอยู่กับเราไปตลอด

สมบัติของเราจะต้องอยู่กับเราไปตลอด

เรื่องเหล่านี้เราบังคับไม่ได้ วันดีคืนดี ก็จากไปได้

 จึงเรียกว่าอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา

จึงควรใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย

ว่าเป็นอนัตตาอยู่เสมอ

ตั้งแต่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ที่เราเห็น ที่เราได้ยิน ที่เราได้เสพสัมผัสว่า

มาแล้วก็ไป เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 เวลาเห็นภาพก็มีทั้งที่ชอบและไม่ชอบ

จะไปบังคับก็ไม่ได้

จะให้เห็นแต่ภาพที่ชอบอย่างเดียวก็ไม่ได้

 เพราะในโลกนี้มีภาพอยู่หลายชนิดด้วยกัน

มีคนหลากหลายชนิดด้วยกัน เวลาเห็นคนหนึ่งก็ดีใจ

 พอเห็นอีกคนหนึ่งก็เสียใจ ไม่ชอบอกชอบใจ

 ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ใจก็จะแกว่งไปแกว่งมา

ถ้ามีปัญญาก็ย่อมรู้ว่าเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้

จะห้ามไม่ให้เห็นคนนี้ก็ไม่ได้

 อยากจะให้เห็นคนนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้

ก็ต้องเห็นไปตามเหตุตามปัจจัย

เมื่อเข้ามาในรัศมีของสายตา ก็ต้องเห็น

 ถ้าไม่อยากเห็นก็ต้องหลับตา

 แต่หลับตาแล้วก็ยังอยู่ในใจ

เพราะไปยึดไปติด จึงต้องตัดความยึดติดให้หมด

 ด้วยการยอมรับความจริง ถึงแม้จะไม่ชอบ

ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

 เมื่อต้องเจอก็ต้องทำใจให้เป็นปกติ

 ไม่รังเกียจ ไม่ยินดี ถ้าไปรังเกียจ หรือไปยินดี

 ก็จะเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

ยินดีก็อยู่เฉยๆไม่ได้ เพราะอยากจะวิ่งเข้าหาสิ่งที่ชอบ

 ถ้ารังเกียจก็อยากจะวิ่งหนี ถ้าทำเป็นเฉยๆ

 ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ก็อยู่เฉยๆได้ เป็นอุเบกขา

นี่ก็คือการพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็ปล่อยวาง

 ให้เขาเป็นไปตามเรื่องของเขา

 ฝนจะตกหรือไม่ตกก็ไม่เป็นไร

 เรานั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวเกิดฝนตกลงมา ก็ปล่อยให้ตกไป

 เรามีกิจกรรมอะไรก็ทำของเราไป

 เมื่อยังออกจากศาลานี้ไม่ได้ ก็ต้องรอให้ฝนหยุดก่อน

เมื่อหยุดแล้วค่อยไป เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร

จึงต้องเข้าใจว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ควบคุมบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ยึดไม่ติด

 ก็จะไม่ทุกข์ ถ้าไปยึดไปติด

 อยากจะให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วไม่ได้ดังใจ

ก็จะมีความทุกข์ใจ นี่คือการพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย

ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................................

จุลธรรมนำใจ ๒, กัณฑ์ที่ ๒๒๙

วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 04 มกราคม 2562
Last Update : 4 มกราคม 2562 9:58:10 น.
Counter : 395 Pageviews.

0 comment
<<< "ความจริงของชีวิต" >>>










“ความจริงของชีวิต”

พระพุทธศาสนาจึงต้องสอนให้เราเตรียมตัวเตรียมใจ

ไว้รับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จะได้ไม่เสียใจ

กับความผิดหวัง เวลาไม่ได้ดังใจก็ไม่เป็นไร

ยังมีชีวิตอยู่หาใหม่ได้ เมื่อก่อนไม่มีสิ่งนี้ เราก็อยู่ได้

 มีความสุขได้ ตอนนี้อยากได้แต่ไม่ได้มา ก็ไม่เป็นไร

 ถ้าได้มาก็ต้องเตือนเราว่า สิ่งต่างๆที่อยากได้นั้น

 อาจจะไม่ได้มาเสมอไป

 เพราะไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้

 เราอยู่ในโลกที่ไม่มีความแน่นอน ไม่สมหวังเสมอไป

 เราต้องพร้อมที่จะผิดหวัง จะได้รู้สึกเฉยๆ

ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้

 เวลาผิดหวังก็จะทุกข์ทรมานใจ จะคิดทำในสิ่งที่ไม่ดี

 ประชดผู้อื่นด้วยการทำร้ายตัวเอง

 ทำตัวสำมะเลเทเมาเป็นต้น

ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 มีแต่จะซ้ำเติมตัวเราให้ทรุดลงไปให้เสื่อมลงไป

 ถ้าได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ

 ที่สอนให้รู้ว่า จะต้องพลัดพรากจากกัน

 สักวันหนึ่งอาจจะต้องไปอยู่ที่อื่น

 ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้

ไม่เป็นไร เพราะคนอื่นที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่

 เขาก็อยู่กันได้ อยู่ที่ใจเราเท่านั้นว่าพร้อมหรือไม่

 ถ้าพร้อมแล้วอยู่ที่ไหนกับใครก็ได้

นี่คือความจริงของชีวิต จะต้องมีการจากกัน

จากสิ่งนั้นไปจากสิ่งนี้ไป จากคนนั้นไปจากคนนี้ไป

 แต่ในขณะเดียวกันก็จะได้พบกับสิ่งใหม่ๆ

พบคนใหม่ เวลาได้พบก็อย่าไปหลงคิดว่า

จะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด

ต้องคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องจากกันอีก

 ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ มีการจากกัน มีการพบกัน

 แล้วก็จากกันอีก สลับกันไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

 ต้องคิดว่าเป็นเหมือนฝนตกแดดออก

 ฝนเดี๋ยวก็ตกเดี๋ยวก็หยุด เดี๋ยวก็กลับมาตกอีก

เดี๋ยวก็หยุดอีก ถ้าพร้อมที่จะรับกับฝน เราก็ไม่เดือดร้อน

 ฝนจะตกหรือไม่ เช่นเดียวกับการพบกันและจากกัน

 ถ้าพร้อมที่จะพบกับใคร อยู่กับใคร จากใครไป

รับรองได้ว่าจะไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศกเสียใจ

 ไม่เสียใจ ไม่ผิดหวัง เพราะไม่ได้หวัง

 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำอะไร

ก็ทำไปตามความสามารถ ได้อะไรมามากน้อย

ก็พอใจกับสิ่งที่ได้มา

 และพร้อมที่จะเสียไปเมื่อถึงเวลา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

กำลังใจ ๓๙ กัณฑ์ ๓๔๙

วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 02 มกราคม 2562
Last Update : 2 มกราคม 2562 9:40:30 น.
Counter : 447 Pageviews.

0 comment
<<< "ปีใหม่" >>>










“ปีใหม่”

วันนี้เป็นวันสิ้นปี จึงอยากให้ท่าน

ได้เอาเวลาวันสิ้นปีนี้มาคิดบัญชี

ว่าปีนี้ทั้งปีได้ทำอะไรตามที่พระพุทธเจ้า

ทรงสั่งสอนบ้างหรือเปล่า

 พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ ข้อใหญ่ๆ

๑.ให้ละการกระทำบาปทั้งปวง

๒.ให้สร้างบุญสร้างกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม

๓.ให้กำจัดความโลภความอยากให้หมดไปจากจิตจากใจ

ถามตัวเราเองว่า เราได้ทำมากน้อยเพียงไร

ถ้ายังทำไม่มากพอ ก็ขอให้ปีใหม่นี้

เริ่มทำกันให้มากขึ้นไปเถิด เพราะไม่มีอะไร

ที่จะมีคุณค่ามีประโยชน์กับจิตใจเรา

 มากกว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.

อาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

“บัญชีใจ”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 01 มกราคม 2562
Last Update : 1 มกราคม 2562 9:15:19 น.
Counter : 348 Pageviews.

0 comment
<<< "ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง" >>>











"ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง"

ร่างกายที่เราใช้ในการหาลาภยศ สรรเสริญ

 หรือหารูปเสียงกลิ่นรสก็เช่นเดียวกัน

ร่างกายของพวกเราก็อนิจจังเหมือนกัน

เกิดแล้วก็ต้องแก่และต้องเจ็บต้องตายไป

แล้วตายเวลาแก่เวลาเจ็บก็เป็นเวลาทุกข์กัน

ไม่มีใครอยากแก่ ไม่มีใครอยากเจ็บ

 ไม่มีใครอยากตายกัน แต่ไม่มีใครหลีกเลี่ยง

ความแก่ความเจ็บความตายได้

 เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการมาเกิด

 ถ้าไม่อยากจะแก่จะเจ็บจะตาย

ก็ต้องไม่กลับมาเกิดเท่านั้น

 และการที่จะไม่กลับมาเกิดได้

ก็ต้องทำใจให้มีความสุข

ทำใจให้หายจากความอยากต่างๆ

 ความอยากต่างๆทำให้ใจไม่มีความสุข

 ก็ทำให้ใจต้องกลับมาหาความสุข

จากลาภยศสรรเสริญ

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะชนิดต่างๆ

 แต่ถ้าเรามาสร้างความสุขให้แก่ใจ

ได้พอใจมีความสุขแล้ว

 ใจก็ไม่ต้องใช้ความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

ความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะ

 ใจก็ไม่ต้องกลับมาหาลาภยศสรรเสริญ

 หารูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะอีกต่อไป

ใจก็ไม่ต้องกลับมาเกิดมามีร่างกาย

พอมามีร่างกายแล้วก็ต้องมามีร่างกาย

ที่จะต้องแก่ต้องเจ็บและก็ต้องตายไป

 เวลาแก่เวลาเจ็บเวลาตาย ใจก็ทุกข์

กับความแก่ความเจ็บความตาย

นี่คือความจริงของพระพุทธศาสนา

 ของคำสอนของพระพุทธเจ้า

ให้เรารู้จักวิธีหาความสุขกันอย่างถูกต้องอย่างแท้จริง

 ต้องหาความสุขด้วยการทำใจให้สงบกัน

 อย่าไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะกัน

 เพราะมันจะนำพาไปสู่ความทุกข์ในลำดับต่อไป

เวลาที่ลาภยศสรรเสริญเสื่อมไป

 เวลาที่ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นเสื่อมไป

 ความทุกข์ก็จะเข้ามาแทนที่

แต่ถ้าเรามาสร้างความสุขทางใจ

ความสุขที่เกิดจากความสงบของใจกันได้

เราจะมีความสุขตลอดเวลา

 เพราะความสุขที่ได้จากความสงบนี้

จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เพราะเราจะรู้จัก

วิธีสร้างมันแล้วก็จะรู้จักวิธีรักษามันให้คงอยู่ไ

ปกับใจของเราได้อย่างถาวร

 เป็นความสุขที่เป็นอกาลิโก ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด

ความสุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย

ได้รับกันนั้น ตอนนี้ก็ยังมีอยู่กับใจของพระพุทธเจ้า

 กับใจของพระอรหันต์สาวก

 ใจของท่านไม่ได้ตายไปกับร่างกายของท่าน

 แต่ท่านไม่มีร่างกายที่จะมาติดต่อ

กับพวกเราได้แล้วเท่านั้นเอง

 เพราะใจของท่านไม่ต้องการมีร่างกายแล้ว

 ไม่จำเป็นที่จะต้องมีร่างกายแล้ว

 ท่านจึงไม่ได้กลับมาเกิดมาสอนมาบอกพวกเรา

ให้รู้ความจริงอันนี้

ท่านก็เลยต้องทิ้งพระธรรมคำสอน

ทำหน้าที่แทนท่าน

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะจากพวกเราไป

 ก่อนที่ร่างกายของท่านจะตายไป

 ท่านก็พูดสอนฝากไว้ว่า

 พวกเธอจะไม่ได้อยู่ปราศจากศาสดา

 ปราศจากครูบาอาจารย์ เพราะว่าคำสอนของเรานี้

จะเป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเธอต่อไป

ขอให้พวกเธอเข้าหาพระธรรมคำสอนของพวกเรา

 แล้วพวกเธอจะไม่ปราศจากการมีครูอาจารย์

 พวกเธอจะมีอาจารย์คอยสั่งคอยสอน

คอยบอกให้พวกเธอได้ไปสู่การหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลาย

 พาให้พวกเธอไปสู่ความสุขที่ถาวรที่เราได้รับ

 จะเป็นความสุขเช่นเดียวกันกับที่พวกเธอจะได้รับ

 นี่คือสิ่งที่พวกเราจะต้องมีศรัทธามีความเชื่อ

 เชื่อว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใด

 สามารถให้ผลได้เช่นเดียวกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb' พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 31 ธันวาคม 2561
Last Update : 31 ธันวาคม 2561 8:57:48 น.
Counter : 394 Pageviews.

0 comment
<<< "หน้าที่ของปัญญา " >>>













“หน้าที่ของปัญญา”

ชาตินี้เราได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา

 จึงถือว่าเป็นโอกาสอันเลิศอันประเสริฐ

 เพราะมีธรรมะมีแสงสว่างนำทาง มีแผนที่บอกทาง

 ให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง มีธรรมะคอยเตือนใจ

 คอยสอนใจ ไม่ให้หลงระเริงไปกับการหยุดพักผ่อน

ตามสถานีบริการ เพราะเป็นความสุขเพียงชั่วคราว

 พอออกเดินทางต่อไปความสุขต่างๆก็จะหมดไป

ถ้าไม่มีแผนที่ ไม่มีธรรมะบอกทาง

 เราก็จะหลงทางวนเวียนกลับมาที่เก่า กลับมาเกิดใหม่

 กลับมาแก่มาเจ็บมาตายใหม่

 กลับมาหลงกับความสุขเล็กๆน้อยๆ

 ที่ได้จากการมีร่างกาย มีตาหูจมูกลิ้นกาย

 ที่ใช้เสพความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ที่เป็นความสุขเพียงเล็กน้อย

ที่มีความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่แถมมาด้วย

เพราะเป็นความสุขชั่วคราว

ที่ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอ

ที่สร้างความอยากใหม่ให้เกิดขึ้นอีก

 เวลาเกิดความอยากก็จะเกิดความทุกข์ใจ

เกิดความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย

ไม่สบายใจ ที่ทำให้ต้องเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอยู่เรื่อยๆ

เป็นเหมือนติดยาเสพติด ต้องเสพอยู่เรื่อยๆ

ถึงจะมีความสุข เวลาไม่ได้เสพ

 ก็จะเศร้าสร้อยหงอยเหงา หงุดหงิด ไม่สบายใจ

ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

 เพราะความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทุกข์นั่นเอง

 ทุกข์ที่เกิดจากความอยาก เกิดจากความหิวของใจ

 ที่ไม่มีวันอิ่มไม่มีวันพอ กับการเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

เวลาที่ได้มาเกิดในโลกที่ไม่มีธรรมะ

ก็จะหลงกับการแสวงหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เพื่อให้ความสุขกับตน เพราะไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่า

 เป็นความทุกข์มากกว่าเป็นความสุข

 ชีวิตของมนุษย์ที่ไม่มีธรรมะ

 ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้

 จะเป็นชีวิตที่มีความสุขเล็กๆน้อยๆ

กับการได้เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 และมีความทุกข์มากๆเวลาไม่ได้เสพ

แต่พอมีพระพุทธศาสนามาปรากฏ

 ก็จะมีผู้บอกให้รู้ว่า การเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้

 เป็นโทษ ไม่ใช่เป็นคุณ เพราะต้องเสพอยู่เรื่อยๆ

 เวลาที่ไม่ได้เสพก็จะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ

 จึงควรหยุดเสพ ควรหาความสุขที่เสพได้ตลอดเวลา

 โดยที่ไม่ต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นเครื่องมือ

 ก็คือความสุขที่ได้จากการภาวนา การทำใจให้สงบ

 ด้วยการเจริญสติ ควบคุมความคิดปรุงแต่ง

 พอจิตใจสงบแล้ว ก็จะพบกับความสุข

ที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลาย เป็นความสุข

ที่เราสามารถผลิตขึ้นมาได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเวลาใด ไม่ว่าร่างกายจะอยู่ในสภาพใด

 เป็นปกติหรือเจ็บไข้ได้ป่วย มีทรัพย์หรือไม่มีทรัพย์

 ความสุขที่เกิดจากการเจริญสติทำใจให้สงบนี้

ไม่ต้องใช้ร่างกาย ไม่ต้องใช้เงินทองเป็นเครื่องมือ

 เช่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยต้องนอนอยู่บนเตียง

ก็ยังสามารถภาวนาได้ เจริญสติได้ ทำใจให้สงบได้

 มีความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้

นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ถาวร

 ความสุขที่เอาติดตัวไปด้วยได้

ใจสามารถนำความสุขนี้ไปได้

 เวลาที่จะต้องออกจากร่างกายไป

 ความสุขนี่แหละที่จะเป็นบ้านของเรา

 ถ้ารักษาความสุขนี้ให้อยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้หมดไป

 ด้วยการภาวนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเจริญสติ

 เพื่อทำให้เกิดสมาธิ แล้วก็ใช้ปัญญา

รักษาสมาธิรักษาความสงบ

เวลาที่จิตออกมารับรู้เรื่องราวต่างๆ

 มารับรู้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 มารับรู้เรื่องความคิดปรุงแต่งต่างๆ

ก็ให้ปัญญาคอยสกัด ไม่ให้กิเลสมาหลอกมาล่อ

 ให้ไปผลิตความทุกข์ขึ้นมาภายในใจ

ถ้ามีปัญญาก็จะสามารถระงับ

ความโลภความอยากต่างๆได้

 เพราะปัญญาจะชี้บอกให้เห็นว่าสิ่งที่โลภที่อยากนั้น

 ไม่ได้เป็นความสุข เป็นความสุขเพียงเล็กน้อย

 แต่เป็นความทุกข์เสียมากกว่า

 เวลาอยากหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ปัญญาก็จะบอกว่า เป็นเหมือนเสพยาเสพติด

 เสพแล้วจะไม่อิ่มไม่พอ

 กลับจะหิวจะอยากเสพมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 เวลาไม่ได้เสพก็จะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ

นี่คือหน้าที่ของปัญญาที่จะคอยสอนใจ

 ให้เห็นว่าสิ่งที่อยากจะเสพนั้น ไม่เที่ยง ไม่อิ่มไม่พอ

ไม่สามารถสั่งให้มีอยู่ได้ตลอดเวลา

 บางเวลาก็มี บางเวลาก็ไม่มี

 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

 เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่นิ่ง

 ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเจริญมีเสื่อม มีมามีไป

 นี่คือหน้าที่ของปัญญา

ที่จะคอยสอนใจไม่ให้ไปอยากกับสิ่งต่างๆ

 ไม่ให้อยากกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ไม่ให้อยากกับลาภยศสรรเสริญ

ไม่ให้อยากมีอยากเป็น ไม่ให้อยากไม่มีอยากไม่เป็น

 เพราะความอยากเหล่านี้จะทำลายความสงบ

 ทำลายสมาธิที่ได้จากการเจริญสติ

พอปรุงแต่งไปในทางสมุทัย ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมา

 ความสุขที่ได้จากความสงบก็จะถูกทำลายไป

 แต่ถ้ามีปัญญามาสกัดทุกครั้งที่เกิดความอยาก

 ก็จะระงับความอยากได้ ความสงบก็จะกลับคืนมา

 ถ้าปัญญาทันกับความอยาก ทันกับกิเลสทุกประเภท

 ก็สามารถสกัดความอยาก สกัดกิเลสทุกประเภทได้หมด

 พอไม่มีกิเลสไม่มีความอยาก มาผลิตความทุกข์ให้กับใจ

 ใจก็จะมีความสุขไปตลอดเวลา

 ใจได้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถึงบ้านแล้ว

บ้านที่มีความสุขทุกรูปแบบ ก็คือปรมังสุขังนี่เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

กำลังใจ ๖๑,กัณฑ์ที่ ๔๕๔

วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 30 ธันวาคม 2561
Last Update : 30 ธันวาคม 2561 6:59:57 น.
Counter : 457 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ