สร้างพลังให้กับใจของเรา
สิ่งที่จะกระตุ้นให้เราต้องเตรียมตัวรับกับเหตุการณ์
ถ้าเราไม่คิดว่าฝนจะตกน้ำจะท่วม เราก็อยู่กันสบาย
แต่ถ้ากรมอุตุฯบอกว่าปีนี้น้ำจะท่วม
ทีนี้เราก็ต้องเตรียมตัวรับกับเหตุการณ์
ถ้าเราอยู่ที่ต่ำ มีของที่เสียหายจากน้ำท่วม
เราก็ต้องขยับขยาย ย้ายข้าวของ
ไม่เช่นนั้น ถ้าเราสามารถก่อกำแพง ก่ออะไรกันน้ำ
ไม่ให้น้ำเข้าบ้านได้ เราก็มีเวลาทำไว้ล่วงหน้าก่อน
พอเวลาฝนตก ก็จะได้ไม่เข้าบ้าน
หรือถ้าเข้าบ้าน เราก็ย้ายของที่จะเสียหาย
ให้อยู่ในที่สูง มันก็ไม่เสียหาย
นี่คือประโยชน์ของการที่จะรู้อนาคต
พวกเราอยากจะรู้เราอยากจะรู้อนาคตกัน
อุตส่าห์ไปหาหมอดูกัน แต่หมอดูก็เหมือนหมอเดา
เหมือนหมอตาบอดดีๆ นี่เอง
เพราะอนาคตที่ควรจะเห็นกลับไม่เห็นกัน
ไปหาหมอดูคนไหน หมอดูเคยบอกไหมว่า
คุณจะแก่ คุณจะเจ็บ คุณจะตาย ไม่บอกหรอก
บอกว่าเดี๋ยวจะมีเงินมา เดี๋ยวจะได้รับรางวัล
เดี๋ยวจะได้ตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้
ชีวิตจะสดใสหรือชีวิตจะมัวหมอง
มีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ไอ้นี่เป็นเรื่องไร้สาระ
ไอ้เรื่องที่จำเป็นสำคัญจริงๆ
เนี่ยพระพุทธเจ้านี่แหละเป็นหมอดูที่วิเศษที่สุด
ทำนายไว้ ๔ ข้อ หนึ่งจะต้องเเก่
สองจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย สามจะต้องตาย
สี่จะต้องพลัดพรากจากกัน จากทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ
หรือคนบุคคลต่างๆ
ต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา
ล่วงพ้นไปไม่ได้
ถ้าอยากรู้อนาคตเนี่ย ไปหาพระพุทธเจ้านี่
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่จะบอกอนาคตให้พวกเรา
เห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
และจะสอนวิธีให้เรารับกับอนาคตได้อย่างสบาย
จะไม่ต้องทุกข์กับความแก่
จะไม่ต้องทุกข์กับความเจ็บไข้ได้ป่วย
จะไม่ต้องทุกข์กับความตาย
จะไม่ต้องทุกข์เวลามีการพลัดพรากจากกัน
ก็คือมาสอนให้พวกเรามาสร้างพลังใจ
ตอนนี้ใจของพวกเราอ่อนแอ
ไม่สามารถรับกับเหตุการณ์ที่สะเทือนใจได้
ก็คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย
การพลัดพรากจากกัน เราไม่มีกำลังใจที่จะรับมัน
พอเจอมันนี่เป็นเหมือนเทียนโดนไฟ
มันจะอ่อนยวบลงไป ใจจะอ่อนไหวทันที
เวลาต้องมาประสบกับเหตุการณ์ที่เราไม่อยากจะเจอ
คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย
การพลัดพรากจากกัน หรือเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ
พระพุทธเจ้าเป็นหมอดูที่วิเศษ ดูอนาคตที่แม่นยำ
แล้วก็ยังสอนวิธีที่จะทำให้เราผ่านพ้น
เหตุการณ์เหล่านี้ไปได้อย่างสบาย
หมอดูเขาก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน
แต่เขาดูบางเรื่อง
เช่น เขาดูว่าอาจจะมีภัยบางอย่าง
ให้แก้ด้วยการไปบริจาคเงินทองให้ที่นั่นที่นี่
แล้วก็จะสะเดาะเคราะห์ได้ เขาก็สอนแบบนั้น
แต่จะจริงไม่จริงนี้เราก็ไม่รู้
แต่ที่ของพระพุทธเจ้านี้จริงแน่ๆ
แล้ววิธีสะเดาะเคราะห์ของพระพุทธเจ้า
ก็ได้ผลดีได้ประโยชน์ดี
ก็คือเราต้องมาสร้างพลังให้กับใจของเรา
พลังของใจเราตอนนี้มีน้อยมาก
สู้รับกับเหตุการณ์ไม่ได้ เวลาเจอเหตุการณ์แล้ว
ก็ร้องห่มร้องไห้กัน โวยวายกัน วุ่นวายใจกัน
เศร้าโศกเสียใจกัน เราต้องมาสร้างพลังของ
วิธีสร้างพลังของใจก็อย่างที่พูด
ในตอนเริ่มต้น เราจะสร้างพัฒนาใจให้มีกำลัง
ให้เป็นพระอริยะนี้
ก็ต้องมีเหมือนกับการก่อสร้างอาคาร
ต้องมีขั้นมีตอน ขั้นตอนแรก
เราก็ต้องมาทำบุญให้ทานกันก่อน
เพื่อที่เราจะได้มีกำลังที่จะรักษาศีล
ละเว้นการกระทำบาป ถ้าเราไม่ทำบุญทำทาน
เราชอบแต่จะเอา อยากได้สิ่งต่างๆ
เราไม่ต้องการที่จะเสียสละสิ่งต่างๆ ให้แก่คนอื่น
เราก็จะไม่สามารถที่จะรักษาศีลได้
เวลาเกิดความอยากได้อะไร
ก็จะพุ่งไปกระทำในสิ่งที่อยากได้อยากทำ
แล้วถ้าไปทำอะไรให้ใครเสียหายเดือดร้อนก็ไม่สนใจ
ไปทำบาป คนที่ต้องการเงินมากๆ นี้
แล้วไม่สามารถหาเงินได้
โดยวิธีที่ไม่ไปสร้างความเสียหาย
เดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น
ก็จะไปทำบาป ไปลักขโมย
บางคนขโมยไม่ได้ก็ปล้นเลย ไปจี้
ไปตามร้านขายทอง ร้านขายของที่มีเงิน
ไปแล้วก็ใช้อาวุธปืนจี้เขา
ถ้าเกิดการต่อสู้ก็อาจจะฆ่าเขาได้
แต่คนที่ทำบุญทำทานอย่างเป็นอาจิณ
คือเป็นนิสัย ทำอยู่เรื่อยๆ
พอมีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้เมื่อไหร่
ก็อยากจะเอาไปทำบุญทำทาน
ไม่มีเงินทองก็อยากจะไปทำงานสาธารณกุศล
อันนี้จะยากต่อการที่จะไปทำร้ายผู้อื่น
เพราะอยากจะทำแต่ความดี
อยากจะให้คนอื่นมีความสุข
ถ้าจะต้องไปทำอะไร
ทำให้คนอื่นเสียหายเดือดร้อนนี้
จะไม่ทำโดยเด็ดขาด เพราะทำแล้วไม่สบายใจ
ไม่เหมือนกับทำความดี
ทำความดีแล้วมีความสุขใจ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.................................
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ