Group Blog
All Blog
<<< " เรามีทางเลือก " >>>










“เรามีทางเลือก”

ถ้าเอาความสุขภายนอก

ก็ต้องมีความทุกข์ตามมาทีหลัง

 ถ้าเอาความสุขภายในก็ต้องมีความทุกข์มาก่อน

ไม่มีใครได้ความสุขภายในใจโดยไม่ต้องทุกข์

 นอกจากผู้ที่ได้บำเพ็ญมามากพอแล้ว

ได้ทุกข์มามากพอแล้วในอดีต มาถึงขั้นสุดท้าย

เพียงแต่ได้ยินได้ฟังก็เข้าอกเข้าใจ

อย่างพระปัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนา

ของพระพุทธเจ้าเพียง ๒ ถึง ๓ ครั้ง

ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

แต่ก่อนที่จะถึงขั้นนั้นได้

ก็ต้องตะเกียกตะกายทรมานตน

 ตัดรูปเสียงกลิ่นรสออกบวชเป็นฤๅษีชีไพร

ควบคุมจิตใจให้อยู่ภายใต้การดูแลของสติ

จนสามารถทำให้จิตสงบนิ่งได้

 แต่ไม่มีปัญญาหรือสัมมาทิฐิ

ที่จะดับความอยากความโลภได้เท่านั้นเอง

 ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า

พอมีพระพุทธเจ้ามาปรากฏ

ก็เหมือนกับต้นไม้ที่รอน้ำ

 พอฝนตกปั๊บก็ออกดอกออกผลได้เลย

นี่แหละคือความสุขที่มีอยู่ในโลกนี้

ที่ใจสามารถสัมผัสได้ มีอยู่ ๒ รูปแบบด้วยกัน

 คือความสุขภายนอกกับความสุขภายใน

 ถ้าเอาความสุขภายนอกก็ต้องทุกข์ไปตลอด

 เวียนว่ายตายเกิดไปตลอด ถ้าเอาความสุขภายใน

 ก็ทุกข์ตอนต้น ตอนที่ต่อสู้กับกิเลส

พอกิเลสตายหมดแล้ว

ก็จะไม่มีความทุกข์หลงเหลืออยู่เลย

 จะมีความสุขไปตลอด

ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

 เพราะไม่มีกิเลสชักจูงไป ทั้งหมดนี้เริ่มจากการฟัง

ถ้ามีระบบเสียงที่ดี ฟังได้อย่างชัดเจน

 ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์

 ฟังแล้วจะได้นำเอาไปพินิจพิจารณา นำเอาไปปฏิบัติ

 เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป

ปีนี้เป็นปีที่ ๔ แล้วนะ เกือบจะจบปริญญาตรีแล้ว

 เตรียมตัวสอบได้แล้วนะ เตรียมหาห้องสอบได้แล้ว

 ไม่อย่างนั้นก็เรียนกันไม่จบสักที

อ่านในพระไตรปิฎกมีแต่บรรลุตรงนั้นบรรลุตรงนี้กัน

 พวกเราไม่คิดเลยหรือว่าเขาบรรลุกันได้อย่างไร

 พวกเราทำไมจึงยังไม่บรรลุกัน

 เพราะเราไม่ปฏิบัติตามที่ได้ยินได้ฟัง

ฟังแล้วก็หายไป เข้าหูซ้ายออกหูขวา

ฟังแบบทัพพีในหม้อแกง ทำแต่ทานอย่างเดียว

 ศีลก็ยังขาดอยู่ ภาวนานี้แทบจะไม่ได้ภาวนาเลย

 สติไม่ค่อยได้เจริญกัน แล้วจะไปถึงไหนกัน

 อย่าไปโทษใครเวลาเราทุกข์ เวลาเราเดือดร้อน

 ต้องโทษตัวเราเอง ที่ไม่หาที่พึ่ง ที่ไม่รีบสร้างที่พึ่ง

พอมีเรื่องอะไรมากระทบก็ทุกข์วุ่นวายกัน

ถ้าได้สร้างสติสร้างสมาธิสร้างปัญญาแล้ว

ไม่ว่าอะไรจะมากระทบกับใจ จะไม่เป็นปัญหาเลย

 ขันธ์ ๕ จะเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหา

ร่างกายจะแก่จะเจ็บจะตายอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหา

 เวทนาจะเป็นชนิดไหนก็ไม่เป็นปัญหา

 เรื่องราวต่างๆของคนนั้นคนนี้ก็จะไม่เป็นปัญหา

ต้องตัดลาภยศสรรเสริญสุขให้ได้

 อย่าไปอยากรวยอยากมีตำแหน่งสูงๆ

อยากให้ผู้อื่นสรรเสริญยกย่องเยินยอ

 อย่าหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

แต่ให้อยากทำบุญให้ทานอยากรักษาศีล

 อยากหาที่สงบสงัดวิเวกอยู่คนเดียว

ให้ยินดีในสิ่งที่ควรยินดี คือยินดีในธรรม

 ไม่มีอะไรน่ายินดียิ่งกว่ารสแห่งธรรม

ไม่มีอะไรจะชนะรสแห่งธรรม

 การยินดีในรสแห่งธรรมนี้เป็นการยินดีที่เลิศที่สุด

 อย่าไปยินดีกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ให้ยินดีกับความสงบของใจ

ถ้าตั้งใจทำจริงๆไม่ยากหรอก

เพียงไม่กี่วันก็น่าจะได้ผล.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................................

กำลังใจ ๔๕, กัณฑ์ที่ ๓๙๗

วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๒








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 มกราคม 2562
Last Update : 25 มกราคม 2562 12:37:28 น.
Counter : 224 Pageviews.

0 comment
<<< " ต้องตายแน่ๆ " >>>









"ต้องตายแน่ๆ"

จะเป็นร่างกายของเราเองหรือร่างกายคู่ครองของเรา

 ร่างกายของลูกเรา ร่างกายของบิดามารดา

 ร่างกายของญาติสนิทมิตรสหาย เป็นของไม่เที่ยง

 มันทำมาจากดินน้ำลมไฟ

 เกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

 ให้คิดอย่างนี้เรื่อยๆเพื่อไม่ให้ลืม

 เพราะเรามักจะลืมกัน พอเราไม่คิดปั๊บ

 เราก็คิดว่าเขาไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

 แล้วพอเขาแก่เราก็ตกใจ เขาเจ็บเราก็ตกใจ

 เวลาเขาตายเราก็ตกใจ

เพราะเราคาดไม่ถึงว่าเขาจะตาย

 แต่ถ้าเราคิดอยู่เรื่อยๆ เราก็คาดว่าเขาต้องตายแน่ๆ

 เพียงแต่ว่าเขาจะตายเมื่อไหร่

เห็นเขาก็ถามตัวเองว่าเมื่อไหร่มันจะตาย

 เพราะมันต้องตายแน่ๆ

ไอ้ที่ไม่แน่ก็คือเมื่อไหร่แค่นั้นเอง

ตายวันนี้หรือตายพรุ่งนี้ ตายเดือนหน้าหรือปีหน้า

 หรือสิบปีข้างหน้า แต่ที่แน่นอนก็คือ

เขาต้องตายแน่นอน เช่นเดียวกับร่างกายของเรา

 ก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าเราเตรียมตัวเตรียมใจ

รับกับความตายของร่างกายได้

 เวลาร่างกายจะตายก็จะไม่ทุกข์ ไม่ตื่นเต้นตกใจ

ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคร้ายรักษาไม่หาย

 ก็ไม่เป็นไรหมอเราเตรียมตัวตายมานานแล้ว

เพียงแต่วันนี้ให้หมอยืนยันอีกที ใช่ไหม

 จะได้ทำมรดก ทำพินัยกรรม จะได้ไปอยู่วัดได้แล้ว

 คนบางคนรู้จะตายนี่ คิดถึงวัดขึ้นมาทันที

 เวลายังไม่ตายนี้ไม่ยอมเข้าวัด

เพราะยังอยากจะใช้ร่างกายพาไปเที่ยวโน่น

พาไปดูไปฟังไปเล่นไปทำอะไรกัน

แต่พอรู้ว่าร่างกายนี้จะหมดสภาพแล้วใช้ไม่ได้แล้ว

 ทีนี้อยากจะเข้าวัดแล้ว อยากจะไปทำใจให้สงบแล้ว

 มันอาจจะสายเกินไป เพราะว่าการจะทำใจให้สงบนี้

 มันไม่ใช่เป็นของง่ายๆ

 ควรจะหัดทำเสียตั้งแต่บัดนี้ไปจะดีกว่า.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 มกราคม 2562
Last Update : 25 มกราคม 2562 12:24:54 น.
Counter : 229 Pageviews.

0 comment
<<< "ใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน" >>>










“ใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน”

เพราะธรรมนี้เป็นของที่มหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

 ใครได้เรียนรู้ได้สัมผัสได้ปฏิบัติแล้ว

 จะเข้าใจเรื่องของชีวิตของเราดีขึ้น

จะไม่สงสัยว่าเกิดได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน

 ตายแล้วใครตายหรือเปล่าอะไรอย่างนี้

 มันไม่มีความสงสัย มันไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย

 เหมือนกับเวลาเราอยู่ในที่มืดนี่เราคิดผีนู่นผีนี่มาใช่ไหม

 พอเปิดไฟโอ้จิ้งจกมันวิ่งไปวิ่งมา ทำนองนั้นน่ะ

เนี่ยใจเราตอนนี้มันมืดบอดเหมือนอยู่ในที่มืด

มันเลยหวาดกลัวไปหมด หวาดกลัวว่า

ไอ้นั่นจะเกิดไอ้นี่จะเกิด สิ่งนั้นจะมาทำร้ายเรา

อะไรเราอย่างนี้ มันเป็นความหลงทั้งนั้นแหละ

 ถ้าเปิดไฟหน่อยบอกโอ้ยมันไม่มีเราตรงไหนนี่

 แล้วมันจะมีใครมาทำอะไรเราได้ ไม่มี มันไม่มี

 ไอ้สิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรามันก็ไม่ใช่เป็นเรา

 ร่างกายเนี่ยพวกเราคิดกันว่ามันเป็นเรากันทั้งนั้น ใช่ไหม

ถึงกลัวกันเหลือเกิน กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวแก่กัน

 เพราะไม่มีไฟ เหมือนอยู่ในที่มืดน่ะ

 พอหนูมันวิ่งบนเพดานก็บอกว่าผีมาแล้ว

 พอลมพัดหน่อยก็โอ้ยมาแล้ว มันคิดไปต่างๆนานา

 ตามความรู้สึกนึกคิด มันไม่ใช่เป็นความจริงหรอก

มันเป็นของปลอมทั้งนั้น ใจเราหลอกตัวเราเอง

 ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะได้ปฏิบัติธรรมะแล้วนี่

มันจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย

 เพราะว่ามันไม่มีอะไรเป็นเรา

ร่างกายมันก็เป็นดินน้ำลมไฟร่างกายมันก็เป็นธาตุ

 อาการ ๓๒ ลองค้นดูร่างกายมันมีอะไร

 พระพุทธเจ้าให้ศึกษาดู ก็มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

 เห็นไหม เนื้อ นี้เรามองไม่เห็น

อยู่ใต้ผิวหนังเราไม่เห็นแล้ว

เห็นแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เท่านั้นเอง ๕ อาการ

 แต่หลังจากนั้นแล้วไม่รู้ข้างในมีอะไร

ท่านบอกให้ศึกษาดู มีอีก ๒๗ อาการด้วยกัน

รวมทั้งหมด ๓๒ ที่เห็นข้างนอกนี้มีอยู่ ๕

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนี่ย ๕

 ใต้ผิวหนังก็เนื้อแล้วก็เอ็นใช่ไหม

เอ็นก็กระดูก เนื้อกับเอ็นมันก็กระดูก

มันก็รัดกันไว้ด้วยเอ็น

 แล้วก็หลังจากนั้นก็มีอวัยวะต่างๆ

 มีม้าม มีหัวใจ มีตับ มีปอด มีพังผืด

มีลำใส้ใหญ่ลำไส้น้อย มีอาหารเก่าอาหารใหม่

อยู่ในลำไส้นั่น แล้วก็มีเยื่อในสมองศรีษะ

อันนี้เป็นอาการอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย

 มันไม่มีตัวเราในนั้น ตัวเราอยู่ตรงผมหรือเปล่า

 ถ้าเป็นเรา เราตัดผมไปเราก็ไปกับผมแล้วซิ

ทำไมเรายังอยู่เนี่ย เห็นไหมเนี่ย

โกนหัวแล้วผมหายไปหมดแล้ว

ตัวเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถอนฟันไปแล้วเป็นไง

 หายไปหรือเปล่า ตัวเราหายไปหรือเปล่า ก็ไม่หาย

 ไม่มี มันไม่ได้เป็นเรา เราเพียงแต่มาครอบครองมัน

 มาเป็นเจ้าของ เหมือนกับเราไปซื้อตุ๊กตามาเนี่ย

 เราก็ไปคิดว่าไอ้ตุ๊กตานี้เป็นเรา เท่านั้นเอง

พราะว่าเราไม่มีรูปร่างหน้าตา

 เราไม่เห็นไม่เคยเห็นหน้าตาตัวเราเอง

ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยจะเห็นก็เห็นแต่หน้าตาของร่างกาย

 ก็เลยไปคิดว่าร่างกายเป็นเรา

 แต่ถ้ามาศึกษาแล้วมาได้ยินได้ฟังคำสอนจากบรมมาครู

 จากพระพุทธเจ้า พุทธเจ้าบอกว่าเราไม่ได้เป็นร่างกาย

 เราเป็นใจ ผู้รู้ผู้คิด แต่ที่ไม่มีรูปร่างหน้าตา

 ไม่มีขนาดกว้างยาวหนา

เรามาซื้อตุ๊กตาตัวนี้จากพ่อแม่เรา

พ่อแม่เราผลิตตุ๊กตาขาย เราก็มาขอซื้อตุ๊กตาตัวนี้

 มาได้ร่างกายอันนี้ เป็นเหมือนกับมาขี่ม้าอย่างนี้

ร่างกายนี้สมมุติว่าเป็นม้า เราก็เป็นคนขี่

 เราเป็นคนสั่งให้ร่างกายเดินไปไหนมาไหน

 ให้ลุกให้ยืนให้นั่งให้นอนให้กินให้ดื่ม เราเป็นคนสั่ง

 ถ้าไม่มีเราร่างกายมันทำอะไรเองไม่ได้

 เห็นไหมตอนที่คนตายนี้ ไม่มีใจผู้รู้ผู้คิด

 ที่จะมาสั่งให้ร่างกายทำนู่นทำนี่

เพราะร่างกายกับใจแยกกันไปคนละทาง

 เพราะว่าร่างกายมันไม่หายใจ พอร่างกายตาย

ใจที่เคยสั่งร่างกายให้ทำอะไรต่างๆ ก็สั่งไม่ได้

 สั่งไม่ได้ก็เลยไปดีกว่า เท่านั้นเอง

ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

ใจผู้รู้ผู้คิด ผู้ที่กำลังฟังธรรมนี้คือใจ

โดยอาศัยเสียงเข้าไปที่หูก่อน

 เสียงนี้เข้าไปที่หูของร่างกาย แล้วใจก็มีวิญญาณมารับ

 ตัวที่มารับเสียงนี้เราเรียกว่าโสตวิญญาณ

 โสตะ แปลว่าโสต แปลว่าหู รูปที่เข้ามาทางตา

ใจก็เอาจักขุวิญญาณมารับรูปไปให้ใจ

 เป็นเหมือนบุรุษไปรษณีย์ มารับข่าวสารจากร่างกาย

 มารับรูป มารับเสียง มารับกลิ่น มารับรส

มารับความสัมผัสที่มาสัมผัสตามร่างกายต่างๆ

 เห็นไหมพออะไรมาแตะร่างกายกายหน่อยนี่รู้เลย

 รู้ว่าแข็งหรือนุ่ม รู้ว่าร้อนหรือเย็น ผู้รู้ไม่ใช่ร่างกาย

 ผู้รู้คือใจ โดยอาศัยวิญญาณมารับข้อมูล

มารับข่าวสาร แล้วก็ไปรายงานให้กับใจ

ว่าเฮ้ยตอนนี้มีรูปแล้วนะ รูปคนนี้เป็นใคร

 ใจก็ต้องมานั่งคิดแล้วเคยเห็นคนนี้หรือเปล่า

 มีอยู่ในความจำหรือเปล่า

 ถ้าไม่มีไม่รู้จักก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

จะดีใจหรือเสียใจก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี

 แต่ถ้าจำได้ว่าไอ้คนนี้เคยมาขโมยเงินเรานี่

มาทุบตีเรานี่ มันรู้ว่าไอ้คนนี้ไม่ดีแล้ว

 มันก็จะเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา

หรือถ้าว่าคนนี้มันเคยมาช่วยเรา เคยเอาเงินมาให้เรา

 เคยเอาข้าวของมาให้เรา

 มันก็จะเกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง

 มันก็จะรู้สึกดีใจ เอ้ะคนนี้เขาดีกับเรานะ

 มันก็เลยเกิดเวทนาคือสุขหรือไม่สุข

ถ้าเห็นรูปที่ดี จำได้ว่าเป็นรูปที่ดีก็ดีใจ

ถ้าเห็นรูปแล้วจำได้ว่ามันไม่ดีก็ไม่ดีใจ เสียใจ

ถ้าจำไม่ได้ไม่รู้ว่าเป็นรูปดีหรือไม่ดีก็เฉยๆ

 ก็จะเกิดความรู้สึกเฉยๆขึ้นมา

 พอเกิดความรู้สึกแล้วมันก็คิดแล้วซิ แล้วจะทำยังไง

 ถ้าไม่ดีก็เดินหนีดีกว่า ใช่ไหม

ไอ้คนนี้มาแล้วเดี๋ยวมันมีเรื่องกับเราอีกแล้ว

อย่าไปเจอหน้ามันดีกว่า เดินหนีไปดีกว่า

 อันนี้ก็ความคิดแล้ว ความคิดสั่งให้ร่างกายถอยดีกว่า

 ถ้าเขาดีก็รู้ว่าเขาดี ก็เดินเข้าหาเขาดีกว่า

เขาอาจจะเอาอะไรมาให้เราอีกแล้ว

 นี่แหละไม่ใช่ร่างกาย ใจ

ใจเป็นผู้รับรูปเสียงกลิ่นรสเข้ามา

แล้วก็มาแปลรูปเสียงกลิ่นรสว่าดีหรือไม่ดี

 แล้วพอรู้ว่าดีหรือไม่ดีก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมา

 ถ้าดีก็เกิดความสุขใจขึ้นมา

 พอเห็นหน้าตาแฟนนี่สุขใจขึ้นมา

 พอเห็นหน้าตาเจ้าหนี้นี่ทุกข์ใจขึ้นมา

 แต่เห็นแฟนนี่กระโดดวิ่งใส่เลยใช่ไหม

 ถ้าเห็นเจ้าหนี้ก็หามุมหลบแล้ว (หัวเราะ) ใ

จเนี่ยเป็นผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ

 หลังจากที่ร่างกายรับข้อมูลมาให้ส่งมาให้ใจแล้ว

ใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน

มารวมกันตอนที่พ่อแม่สร้างร่างกายขึ้นมาในท้อง

 พอมีเชื้อของพ่อมาผสมกับเชื้อของแม่

ร่างกายมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา

 ช่วงนั้นก็ใจที่ต้องการได้ร่างกาย

ก็มาขอรับเป็นเจ้าของเป็นเจ้าภาพ

 แล้วก็รอให้ร่างกายนี้เจริญเติบโตมีอวัยวะครบ ๓๒

 แล้วก็อยู่ในท้องต่อไปไม่ได้ก็คลอดออกมา

 ใจก็ขี่ร่างกายมาตั้งแต่อยู่ในท้อง

 เป็นเจ้าของร่างกายนี้มาตั้งแต่อยู่ในท้อง

 แล้วก็ไม่มีใครรู้ไม่มีใครสอน

หรือทุกคนก็สอนว่าร่างกายนี้เป็นใจ

 ใจเป็นร่างกายไป ใจก็เลยรักเลยหวงเลยห่วงร่างกาย

 เพราะต้องการใช้ร่างกายพาไปหาความสุขต่างๆ

พาไปเที่ยว พาไปกิน พาไปดื่ม

ต้องมีร่างกายถึงจะทำได้ ฉะนั้นก็เลยรักหวงห่วง

 กลัวร่างกายมันจะเป็นอะไรไป

เพราะถ้ามันเป็นอะไรไปก็จะไปหาความสุขไม่ได้

ถ้าไม่สบายจะไปเที่ยวก็ไม่ได้ จะไปกินเลี้ยงก็ไม่ได้

ฉะนั้นต้องกลัวความเจ็บไข้ได้ป่วยกัน

 ไม่อยากให้มันเจ็บไข้ได้ป่วย กลัวความแก่กัน

 เพราะแก่แล้วมีแต่คนรังเกียจ

ไม่มีใครอยากจะคบค้ากับคนแก่ใช่ไหม

ชอบจะคบกับคนหนุ่มคนสาว

เลยไม่มีใครอยากจะแก่กัน

 ผมหงอกก็ต้องย้อมให้มันดำ

หนังเหี่ยวก็ต้องดึงให้มันตึง เพื่อจะได้ดูไม่แก่

 เพื่อจะได้เข้าสังคมกับเขาได้

 เพราะถ้าแก่แล้วเขารังเกียจ สังคมเขารังเกียจคนแก่

 ถามว่าอีแก่นี่มาทำอะไร (หัวเราะ)

 ไม่เจียมเนื้อเตรียมตัวบ้าง

มาเต้นแร้งเต้นกาในดิสโก้ได้หรือเปล่าคนแก่

 คนแก่ต้องไปวัดโน่น เนี่ยแหละคือใจมาใช้ร่างกาย

พาไปหาความสุขต่างๆ ใจเลยต้องการร่างกาย

ที่หนุ่มที่สาวที่แข็งแรงมีสุขภาพดี

 ถึงจะสามารถพาไปไหนมาไหนได้

พอมีร่างกายแข็งแรงแล้วก็ยังต้องมีอย่างอื่นอีก

 ต้องหาเงินน่ะซิ จะไปเที่ยวมันไม่มีเงิน

มันก็ไปเที่ยวไม่ได้ทีนี้ก็เลยต้องวุ่นแล้ว

ต้องไปเรียนหนังสือไปหาความรู้

เพื่อเวลาเรียนจบมีความรู้สูงๆ จะได้ทำงานมีรายได้

 พอมีรายได้ทีนี้มีเงินแล้ว ทีนี้เที่ยวได้แล้ว

 มีเงินซื้ออะไรอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้

 คนเราจึงนอกจากรักร่างกายแล้วก็ไปรักเงินต่อ

เงินนี้สำคัญเพราะว่าจะซื้อความสุขต่างๆได้

ต้องมีเงินซื้อ ถ้าไม่เช่นนั้นก็เอาความสุขฟรีก็ไม่มีอะไร

 ความสุขฟรีๆนี้มันไม่สุขเลย

 ต้องความสุขแบบเสียเงินมันถึงจะสุข

ก็เลยต้องดิ้นรนหาเงินหาทองกัน เหนื่อยยากกัน

 เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นอกจากหาเงินหาทองมา

 ต้องมาเลี้ยงปากเรื่องท้องด้วย

 ร่างกายถ้าขาดเงินซะอย่างตาย ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน

 ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าเช่าบ้าน

เจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีเงินรักษา เดี๋ยวก็เป็นตายได้

 เนี่ยร่างกายมันก็เลยกลายเป็น

กองทุกข์ขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว

 เพราะความที่เราไปพึ่งมันไปหวังให้มันทำอะไรให้กับเรา

 เราเลยต้องมาทำอะไรให้กับมันเยอะแยะไปหมด

 เราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการเลี้ยงดูรักษาร่างกาย

 แล้วประโยชน์สุขที่เราได้จากการมีร่างกายก็นิดเดียว

ตอนเวลาได้ไปเที่ยวกัน เช่นปีใหม่ที่ผ่านมานี้

ได้ไปเที่ยวกัน ปีหนึ่งก็แค่ ๓-๔ วัน

เสร็จแล้วก็ต้องมาทำงานเป็นเดือน

กว่าจะมีเงินไปเที่ยวอีก เนี่ยร่างกาย

ความจริงแล้วมันให้ความทุกข์กับเรา

มากกว่าให้ความสุข แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไง

 เมื่อเกิดมาแล้วเมื่อมีร่างกาย

 มันก็ต้องใช้มันต้องอาศัยมันไป

 เพราะถ้าให้อยู่บ้านเฉยๆ มันก็หงุดหงิดรำคาญใจ

ซึมเศร้าอีก ก็เลยต้องยอมลำบากมา

กับการเลี้ยงดูร่างกาย

 ยอมลำบากกับการหาเงินหาทอง

เพื่อที่จะได้มาซื้อความสุขต่างๆ

 แล้วก็เป็นความสุขประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 มกราคม 2562
Last Update : 22 มกราคม 2562 9:12:08 น.
Counter : 284 Pageviews.

0 comment
<<< " ทำทานแบบเต็มร้อย" >>>











“ทำทานแบบเต็มร้อย”

ขอให้พวกเราทุ่มเทศรัทธาและความเพียร

ให้กับการศึกษาและการปฏิบัติเถิด

 พยายามดึงตัวเราออกจากความหลง

ออกจากการเดินทางไปสู่ลาภ ยศ สรรเสริญ

ไปสู่ความสุขทางตา หู จมูก ลิ้นกาย

 ให้เดินทางไปสู่ทางทาน ศีล ภาวนากัน

ให้ทำทานให้มากขึ้นไปตามลำดับ

ควรจะเปรียบเทียบเมื่อสิบปีก่อนเราทำทานเท่าไหร่

สิบปีนี้สิบปีผ่านไปแล้ว

 เราทำทานได้เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่

 เมื่อก่อนทำร้อยละสิบ

เดี๋ยวนี้ยังทำร้อยละสิบอยู่หรือเปล่า

 รักษาศีลเมื่อก่อนนี้ได้ร้อยละสิบ

 เดี๋ยวนี้ยังรักษาศีลได้ร้อยละสิบอยู่หรือเปล่า

 เมื่อก่อนภาวนาได้ร้อยละสิบ

 เดี๋ยวนี้เรายังภาวนาได้ร้อยละสิบอยู่หรือเปล่า

ให้ดูตรงเหตุ ถ้ายังร้อยละสิบ

ผลมันก็ยังร้อยละสิบอยู่นั่นแหละ

 มันจะให้เป็นร้อยได้อย่างไร ถ้าเหตุมันไม่เต็มร้อย

 ถ้าเมื่อก่อนนี้ร้อยละสิบวันนี้ร้อยละร้อย

อย่างนี้ซิถึงจะน่าฟัง เมื่อก่อนเคยทำทานร้อยละสิบ

 เดี๋ยวนี้ได้ทำทานร้อยละร้อย

คือมีเท่าไหร่ก็ให้หมดบริจาคไปหมด

ไม่มีเงินทองหลงเหลือติดตัว

 แล้วก็มาอยู่แบบนักบวชแล้ว

นี่คือการทำทานเต็มร้อย เต็มแบบที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ทำกัน

 ท่านทำร้อยเต็มร้อย ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองไว้ซื้อข้าวของ

 ซื้ออาหาร ซื้ออะไรต่างๆแล้ว ท่านอยู่แบบผู้ขอแล้ว

 อยู่กับการให้ของผู้อื่นแล้ว.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๘








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 มกราคม 2562
Last Update : 22 มกราคม 2562 8:42:20 น.
Counter : 420 Pageviews.

0 comment
<<< "ปฎิบัติจริงจะได้เห็นผลจริง" >>>










“ปฏิบัติจริงจะได้เห็นผลจริง”

คนเราถึงแม้จะเกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกัน

 พอโตขึ้นมาก็มีความแตกต่างกัน

 บางคนก็เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า

บางคนก็กลายเป็นโจรไป ไม่ได้มาจากพ่อจากแม่

 เพราะพ่อแม่ก็สอนให้ลูกเป็นคนดีเหมือนกัน

 แต่กรรมของเขาเป็นตัวที่ผลักดัน

ให้เขาไปในทิศทางที่เขาได้สะสมมา

 ถ้าสะสมในทิศทางที่ไม่ดี

 ก็จะผลักให้เขาไปทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อไป

 เพราะเป็นความเคยชิน ทำแล้วง่าย

เหมือนคนที่ถนัดมือซ้าย ก็จะใช้มือซ้าย

คนที่ถนัดมือขวาก็จะใช้มือขวา

 แต่เปลี่ยนได้ถ้าเห็นว่าไม่ถูกไม่เกิดประโยชน์

 ถ้าเห็นว่าใช้มือซ้ายแล้วสู้คนใช้มือขวาไม่ได้

 ก็หัดใช้มือขวาไป ใหม่ๆจะรู้สึกไม่ถนัด

 พอใช้ไปเรื่อยๆก็จะถนัด เช่นเดียวกับการทำความดี

หรือทำความชั่ว คนที่เคยทำความชั่วมา

จะทำความชั่วง่าย พูดโกหกนี้จะเร็วสะดวก

 หยิบข้าวของๆคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตก่อน

 จะทำได้ง่ายทำได้รวดเร็ว

ถ้ามารู้ในภายหลังว่าไม่ดีไม่เจริญ

อยากจะเป็นคนดี อยากจะเจริญ ก็ต้องฝึกนิสัยใหม่

 เวลาพูดอะไรก็ต้องระมัดระวัง

มีสติมีปัญญาคอยกลั่นกรอง

ว่าสิ่งที่จะพูดนั้นถูกผิดอย่างไร จริงหรือเท็จ

 ถ้าพูดความจริงไม่ได้ก็พูดเรื่องอื่นแทน

 หรือไม่พูดเลย จะได้ไม่ต้องพูดปด

 ข้าวของๆคนอื่นก็เช่นเดียวกัน ไม่ถือวิสาสะ

 ถ้าอยากได้ก็ต้องคิดก่อนว่าของนี้มีเจ้าของ

 ถ้าอยากได้ก็ต้องขออนุญาตก่อน ทำให้ถูกต้อง

 ฝึกทำได้ ต่อไปก็จะเป็นนิสัย ก็จะทำง่าย

ดังมีคำพูดว่า คนดีทำดีง่าย คนชั่วทำดียาก

คนดีทำชั่วยาก คนชั่วทำชั่วง่าย เพราะความเคยชิน

 ถ้าเคยชินกับการทำความชั่วย่อมทำชั่วง่าย

 ถ้าเคยชินกับการทำความดีย่อมทำดีง่าย

ชีวิตของเราก็อยู่ตรงนี้เอง อยู่ที่ทำดีละบาป

 กำจัดโลภโกรธหลง ที่เป็นต้นเหตุ

ของความวุ่นวาย ของความทุกข์

ของความชั่วทั้งหลาย ถ้ารู้ว่ายังทำดีไม่ครบ

 ก็พยายามทำให้ครบ ถ้ารู้ว่ายังทำบาปอยู่

 ก็ต้องพยายามตัด ถ้ารู้ว่ายังมีโลภโกรธหลงอยู่

ก็ต้องพยายามกำจัด

สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือสติ ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไร

 กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร

เพราะจะนำไปสู่การทำดีละบาป กำจัดโลภโกรธหลง

 พอคิดปั๊บก็ต้องถามตัวเองเลยว่า

 ความคิดนี้นำไปสู่การทำความดีหรือเปล่า

นำไปสู่การละบาปหรือเปล่า

นำไปสู่ความโลภความโกรธความหลงหรือเปล่า

 ถ้าไม่มีสติก็จะทำไปอย่างอัตโนมัติ ทำไปตามนิสัย

 เห็นอะไรอยากได้ก็หยิบมาเลย

โดยไม่ไตร่ตรองก่อน พอจะพูดโกหกก็จะพูดไปเลย

 เพราะขาดสติ ถ้าฝึกสติแล้วสติจะเร็วกว่าความคิด

 จะทันความคิด จะรู้เลยว่า

กำลังคิดไปทางโลภทางโกรธทางหลงหรือไม่

 ไปในทางดีหรือไม่ ก็จะสามารถควบคุมบังคับใจ

ให้ไปในทาง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ไปได้

คือทำดีละบาป กำจัดโลภโกรธหลง

ผลก็จะดีตามมา จิตใจจะร่มเย็นเป็นสุข

 จิตใจจะสูงขึ้น จิตใจจะพ้นจากอบาย

 จากความเป็นเปรตเป็นเดรัจฉานเป็นสัตว์นรก

จะเป็นแต่มนุษย์เป็นเทพเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้า

 นี่คือความเจริญที่แท้จริง ต้องเจริญที่จิตใจ

ไม่เจริญที่ลาภยศ สรรเสริญสุข

ที่พวกเราถูกความหลงหลอกให้ไปเจริญกัน

 ทำให้ต้องทำบาป ต้องโกหก ต้องทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 เพราะคิดว่าลาภยศสรรเสริญสุขเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง

 ต้องมีลาภยศสรรเสริญสุขถึงจะมีความสุขถึงจะเจริญ

 เพราะทางโลกวัดกันด้วยลาภยศสรรเสริญสุข

ถ้าได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เลื่อนขั้น ได้เงินเดือนเพิ่ม

ก็ว่าเจริญ มีเงินทองมากขึ้น มีคนสรรเสริญ

มีความสามารถในการหาความสุข

ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 มีบ้านใหญ่โต มีรถราคาแพงๆ กินอาหารราคาแพงๆ

 ใส่เสื้อผ้าราคาแพงๆ ก็ว่าเป็นความเจริญ

 แต่ไม่เห็นว่าใจอาจจะเสื่อมลงไปจากมนุษย์

ไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรตแล้วก็ได้

 ถ้าหามาอย่างไม่ถูกศีลถูกธรรม เบียดเบียนผู้อื่น

 ทำบาปทำกรรม ใจก็จะตกต่ำ

 แต่มีลาภยศสรรเสริญสุขมากขึ้น

 เพราะไม่มีธรรมะ มองไม่เห็นใจ

ไม่เห็นตัวที่ต้องรับผลของการกระทำก็คือใจ

 จึงต้องฝึกสติตามพระมหาสติปัฏฐานสูตรนี้

 ลองไปอ่านดูแล้วลองไปปฏิบัติดู

ถ้าปฏิบัติได้จะเห็นผล

ถึงแม้จะทรงแสดงให้แก่พระภิกษุก็ตาม

 แต่ไม่ได้หมายความว่า

ฆราวาสจะนำเอาไปปฏิบัติไม่ได้

 เพราะฆราวาสกับพระภิกษุก็เป็นคนเหมือนกัน

 มีร่างกายมีใจเหมือนกัน ต้องอาศัยธรรมะ

เป็นเครื่องพัฒนาเหมือนกัน

 ต่างตรงที่พระภิกษุมีเวลามากกว่าฆราวาส

 ที่จะทุ่มเทให้กับงานทางด้านธรรมะ

ก็ลองไปปฏิบัติดู ฝึกตั้งสติอยู่เรื่อยๆ

 ตั้งแต่ตื่นจนถึงหลับ ให้มีสติเป็นเหมือนกับยาม

เฝ้าดูการกระทำของเรา

 ดูความคิดการพูดการกระทำต่างๆ

 ให้มีสติคอยติดตาม มีปัญญาคอยกลั่นกรอง

 ถ้าปฏิบัติอย่างจริงจัง จะได้เห็นผลอย่างจริงจัง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

จุลธรรมนำใจ ๑๐, กัณฑ์ที่ ๓๗๒

วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 มกราคม 2562
Last Update : 20 มกราคม 2562 11:03:57 น.
Counter : 494 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ