Group Blog
All Blog
<<< "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งทางใจ" >>>










“พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

   เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งทางใจ”

หนังสือที่หลวงตามหาบัวเขียนมีอยู่หลายเล่ม

 หรือธรรมที่ท่านแสดงไว้มีอยู่หลายเล่ม

 แต่หนังสือที่สำคัญๆ มีอยู่ ๒ เล่ม คือ

 “ประวัติหลวงปู่มั่น” กับ “ปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน”

 สายหลวงปู่มั่นนี่ อันนี้จะเป็นหนังสือที่เหมาะ

ต่อผู้ที่สนใจต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

 หนังสือประวัติของหลวงปู่มั่นนี้จะแสดงเรื่อง

ความเชื่อในพระพุทธศาสนา

ถ้าได้ศึกษาได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่นแล้วนี้

จะทำให้เรามีความเชื่อ

ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ส่วนหนังสือปฏิปทาฯ นี้

ท่านก็เน้นเรื่องของการปฏิบัติ

เพื่อกำจัดกิเลสตัณหา เพื่อให้จิตใจได้หลุดพ้น

จากความทุกข์ด้วยวิธีการต่างๆ

ของพระอริยสงฆ์แต่ละรูป

พระอริยสงฆ์แต่ละรูปนี้

ท่านก็มีวิธีการปฏิบัติไม่เหมือนกัน

 บางท่านก็ทรมานกิเลสด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน

บางท่านก็เดินจงกรมหลายๆ ชั่วโมง

 บางท่านก็ต้องไปอยู่ในป่าช้า

 บางท่านก็ต้องไปนั่งสมาธิที่หน้าปากเหว

บางท่านก็ไปนั่งสมาธิที่มีเสือเดินผ่าน

เพื่อที่จะเป็นอุบายควบคุมใจให้เข้าสู่ความสงบ

 เพราะฉะนั้นแต่ละองค์นี้ท่านจะฝึกที่ไม่เหมือนกัน

 แล้วก็เอามาบันทึกเอาไว้

ให้อนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเรา

 ผู้ที่ปรารถนาการหลุดพ้นจากความทุกข์

จะได้รู้จักวิธีการปฏิบัติต่างๆ

ของพระอริยสงฆ์แต่ละรูป ว่าท่านปฏิบัติกันอย่างไร

แล้วเราก็จะได้เลือกเอาวิธีที่เหมาะกับจริตของเรา

นี่คือเรื่องของพระอริยสงฆ์ เป็นพระเหมือนกัน

 เป็นพระที่นุ่งห่มเหลืองเหมือนกันกับพระทุกรูป

แต่เหมือนกันที่ร่างกาย แต่ภายในใจนี้ไม่เหมือนกัน

 จะรู้ใจของท่านก็ต้องเข้าหาคำสอนของท่าน

 และการที่จะรู้ว่าคำสอนของท่านนี้จริงหรือไม่จริง

 ตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่

 เราก็ต้องเรียนจากพระพุทธเจ้าก่อน

 เรียนจากพระไตรปิฎกก่อน เรียนให้รู้ว่า

พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรก่อน

 ไม่ต้องเรียนหมดทั้งพระไตรปิฎก

 พระไตรปิฎกถึงแม้จะมีอยู่กว่า ๘๐,๐๐๐ บทนี้

แต่คำสอนนี้จะสรุปอยู่ง่ายๆ ได้ ๒ คำสอน

 ก็คือ ท่านจะสอนอยู่กับเรื่องทุกข์และวิธีดับทุกข์

 หรือสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ทั้งนั้น ทุกข์เกิดได้จากอะไร

 ทุกข์เกิดจากกิเลสตัณหา ทุกข์ดับได้ด้วยอะไร

 ทุกข์ดับได้ด้วยมรรค มรรค ๘ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 หรือ ทาน ศีล ภาวนา นี่เอง

 นี่พอเราศึกษาคร่าวๆ เราก็จะได้รู้ว่า

การปฏิบัติของเรานี้ปฏิบัติเพื่ออะไร

 ปฏิบัติเพื่อกำจัดความทุกข์

 ความทุกข์ที่เกิดจากตัณหาความอยาก ๓ ประการ

คือ “กามตัณหา” ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรส

“ภวตัณหา” ความอยากมีอยากเป็น

“วิภวตัณหา” ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น

 นี่คือสิ่งที่เราจะต้องกำจัด และวิธีที่จะกำจัดก็คือ “มรรค”

ก็ต้องมีศีล ตอนต้นก็เริ่มที่ศีล ๕ แล้วต่อไปด้วยศีล ๘

ถ้ายังรักษาศีล ๕ ไม่ได้ ก็แสดงว่า

เรายังไม่ได้ทำทานทำบุญพอ

 เรายังโลภอยากได้เงินได้ทองอยู่

จึงทำให้เรารักษาศีล ๕ กันไม่ได้

ถ้าเราไม่โลภหาเงินหาทอง เราก็จะรักษาศีล ๕ ได้ง่าย

 เพราะฉะนั้นถ้าเรายังโลภยังอยากได้เงินอยู่

พอได้เงินมาก็จะเอาไปซื้อของ

ที่เป็นพิษเป็นภัยกับจิตใจ

 เอาไปทำบุญให้หมด ถ้าเอาไปทำบุญแล้ว

ต่อไปมันก็จะไม่โลภอยากได้เงิน

 แล้วมันก็จะทำให้เรารักษาศีล ๕ ได้

นี่คือหน้าที่ของการทำทานทำบุญ

เพื่อทำให้เราหยุดโลภหาเงินหาทอง

 เพื่อที่จะทำให้เรารักษาศีล ๕ ให้ได้

พอเรารักษาศีล ๕ ได้แล้ว เดี๋ยวเราก็จะรักษาศีล ๘ ได้

 พอรักษาศีล ๘ ได้ เราก็จะไปภาวนาได้

 ไปฝึกสมถะภาวนา ไปฝึกวิปัสสนาภาวนาได้

ถ้าเราภาวนาได้ทั้ง ๒ ได้ทั้งสมถะภาวนาได้ทั้งวิปัสสนา

 เราก็จะได้วิมุตติได้หลุดพ้นจากกองทุกข์อย่างแน่นอน

นี่คือเรื่องของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ที่พวกเรายึดถือเป็นสรณะ เป็นครูเป็นอาจารย์

เป็นผู้สั่งผู้สอนให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกัน

ว่าปฏิบัติอย่างไร เบื้องต้นก็ต้องเข้าหาพระธรรม

คำสอนจากพระไตรปิฎกก่อน

สองเมื่อเรารู้คร่าวๆแล้วว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร

 ถ้าเราต้องการรายละเอียดต่างๆ อุบายต่างๆ

 เราก็ต้องไปหาพระอริยสงฆ์สาวก

 ที่จะช่วยแจกแจงที่จะแนะแนวทางของการปฏิบัติ

ที่ละเอียดขึ้นไปให้เราได้รู้จัก

 และเราก็จะปฏิบัติอย่างถูกต้อง

 เมื่อเราได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว

 ผลก็คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

ก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับ

 มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ก็คือการหลุดพ้น

จากความทุกข์ขั้นต่างๆนั่นเอง มีอยู่ ๔ ขั้น

 ขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทาคามี

 ขั้นอนาคามี และขั้นพระอรหันต์

 เมื่อได้ถึงขั้นพระอรหันต์ ก็จะได้หลุดพ้นอย่างถาวร

 เมื่อได้หลุดพ้นถาวรก็เรียกว่า “นิพพาน” นั่นเอง

 มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็นผลที่จะเกิดจาก

การที่เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

 เป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา

ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ

เราจึงต้องทำหน้าที่ของชาวพุทธ คือจะต้องศึกษา

จากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

ผู้อื่นเราก็ศึกษาได้ เพราะถ้าเรายังมีความจำเป็น

ที่จะต้องอาศัยความรู้จากผู้อื่นอยู่

 ก็อาศัยไปแต่ขอให้รู้ว่าความรู้ของผู้อื่นนี้

ดับความทุกข์ในใจเราไม่ได้

ถ้าเราอยากจะดับความทุกข์ในใจ

 อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 เราต้องหาจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

 เพราะไม่มีใครรู้นอกจาก

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

จึงขอฝากเรื่องการมี

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

 เป็นที่พึ่งทางใจ เป็นครูเป็นอาจารย์นำทางเรา

ไปสู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้

ให้ท่านได้นำไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ

เพื่อความสุขและความเจริญที่จะตามมาต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2562 8:20:47 น.
Counter : 528 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ