Group Blog
All Blog
<<< "วัฎฎะของธรรมชาติทั้งหลาย" >>>









“วัฏฏะของธรรมชาติทั้งหลาย”

ศีล ก็คือการประพฤติที่ดีงามทางกาย ทางวาจา

ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นและตนเอง

 เช่น ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์

 ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง

 เสพสุรายาเมา นี่คือศีล ถ้าเป็นศีลของนักบวช

ก็มีละเอียดเข้าไปถึง ๒๒๗ ข้อ

 แต่ศีลข้อใหญ่ๆ ก็อยู่ที่ศีล ๕ เป็นหลัก

ถ้าเป็นนักบวชแล้วละเมิดศีล ๕

ซึ่งถือว่าเป็นศีลที่ร้ายแรง เช่น การฆ่ามนุษย์

ก็จะต้องถือว่าเป็นผู้ที่สิ้นจากความเป็นพระไปทันที

 นี่คือศีลที่นักบวชต้องรักษากัน

หรือนักปฏิบัติธรรมจะต้องรักษา

 เพราะศีลเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติ

ศีลเป็นเครื่องสนับสนุนให้เกิดสมาธิ

เพราะผู้ที่มีศีลย่อมสงบกาย สงบวาจา

 เมื่อกายวาจาสงบ ใจก็สงบตามไปด้วย

ทำให้การทำจิตให้สงบที่เรียกว่าสมถภาวนา

หรือการเจริญสมาธิ ก็จะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย

ต่างจากคนที่ไม่มีศีล 

คนที่ไม่มีศีล กายวาจาจะไม่สงบ

 เมื่อกายวาจาไม่สงบ ใจก็จะไม่สงบ

 เพราะใจเป็นตัวที่ต้องทำงานนั่นเอง

เวลาจะเคลื่อนไหวทางกายทางวาจา

 ต้องใช้ใจเป็นผู้สั่งการ ใจต้องคิดก่อน

 เช่นจะไปขโมย ก็ต้องวางแผนก่อน

จะไปทำอะไรก็ต้องใช้ใจเป็นผู้กระทำ

ผู้ที่ไม่มีศีลจึงมีความยากลำบาก

ในการทำจิตใจให้สงบ

สังเกตดูคนที่เป็นมิจฉาชีพ

คนที่ชอบประพฤติตนผิดศีลผิดธรรม

 จะไม่ชอบความสงบ

 จะไม่สามารถทำจิตใจของตนให้สงบได้

เพราะจิตของตนเป็นเหมือนกับก้อนหิน

ที่กลิ้งลงมาจากภูเขา

 มันจะกลิ้งไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด

 แต่ถ้าเป็นคนที่มีศีล มีความสงบกาย สงบวาจา

ก็เปรียบเหมือนกับมีเบรก

 หรือมีเครื่องกีดขวางก้อนหินที่ไหลลงมาจากภูเขา

ให้หยุดได้นั่นเอง ถ้ามีศีลคือความสงบ

ทางกายทางวาจาแล้ว

 ความสงบทางใจก็จะตามมาต่อไป

และเมื่อได้ใช้สติควบคุมกำหนดบังคับ

ไม่ให้จิตไปคิดเรื่องราวต่างๆ

 แต่ให้คิดอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเครื่องล่อ

 เป็นเครื่องดึงจิตให้รวมเข้าสู่ความเป็นหนึ่ง

 เมื่อสามารถดึงเข้าไปสู่ความเป็นหนึ่งได้

 จิตก็จะสงบตัวนิ่งลง แล้วก็จะไม่คิด

ไม่ปรุงอะไรชั่วขณะหนึ่ง หรือนานกว่านั้น

ก็สุดแท้แต่กำลังของสติที่จะดึงจิตไว้

ถ้าสติมีกำลังมากก็จะสามารถดึงจิต

ให้อยู่ในความสงบเป็นเวลานาน 

เมื่อจิตมีความสงบแล้ว

 กิเลสตัณหาที่อาศัยการทำงานของจิต

ก็ไม่สามารถทำงานได้

กิเลสตัณหาก็เปรียบเหมือนกับ

คนที่อาศัยรถยนต์ไปไหนมาไหน

 ถ้ารถยนต์จอดนิ่งอยู่ไม่ไปไหนมาไหน

 คนที่นั่งอยู่ในรถก็ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้

 ก็ต้องนั่งรออยู่ในรถจนกว่ารถจะขับเคลื่อนต่อไป

 ถึงจะไปไหนมาไหนได้ กิเลสความโลภ

 ความโกรธ ความหลงก็เช่นกัน

 ในขณะที่จิตรวมตัวลง สงบตัวลง

ก็จะไม่สามารถทำงานได้

ไม่สามารถไปโลภไปโกรธได้

 เมื่อไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ

 ความหลงอยู่ภายในใจ ใจก็ว่าง ใจก็มีความสุข

 แต่จะเป็นความว่างชั่วคราว

ไม่ถาวร เพราะสมาธิโดยลำพัง

ไม่สามารถทำลายหรือถอดถอนกิเลสตัณหา

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยาก

ห้ออกไปจากจิตจากใจได้

จำต้องอาศัยเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าปัญญา

 คือความรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริง

ของสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ที่จิตยังไม่เห็น

 เพราะถูกความหลงครอบงำอยู่

ทำให้เห็นกลับตาลปัตร เห็นตรงกันข้าม

 เช่น เห็นความเที่ยงแท้ในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้

 เห็นความสุขในกองทุกข์ เห็นตัวตนในสิ่งที่ไม่มีตัวตน

 นี่คือความเห็นของจิตที่มีความหลงครอบงำอยู่

แต่ถ้านำ ปัญญา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว

แล้วนำมาถ่ายทอดให้กับพวกเรา

 ทรงสอนให้เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่จิตไปยึดไปติดอยู่ เช่น ร่างกายของเรา

 หรือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งสิ้น

คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติด ไม่มีตัวไม่มีตน

 นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ผู้ที่มีสมาธิแล้ว

ให้เจริญปัญญาต่อไป ให้พิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ นี้

คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ให้ปล่อยวาง อย่าไปยึดอย่าไปติด

 ให้มองขันธ์ ๕ นี้เป็นเหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง

หรือเมฆก้อนหนึ่งที่ไหลมาไหลไป

 มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

 เมฆก็เกิดขึ้นจากการรวมตัวของไอน้ำ

 เมื่อก้อนเมฆมีน้ำหนักมากก็ตกลงมาเป็นน้ำฝน

 น้ำฝนก็จะระเหยกลับกลายเป็นก้อนเมฆอีก

 นี่คือวัฏฏะของธรรมชาติทั้งหลาย

ร่างกายหรือขันธ์ ๕ ก็เป็นเช่นนั้น

 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 ก็เป็นคล้ายๆ กับเมฆ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

 ร่างกายก็มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

สลายกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ เวทนา

 ความรู้สึก สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

ก็หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมา

 เดี๋ยวสุขบ้าง เดี๋ยวทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง

 สังขาร ความคิดปรุง ก็คิดไป คิดไปแล้วก็ดับไป

 แล้วก็คิดใหม่อีก หมุนเวียนไป

ไม่มีตัวตนในสิ่งเหล่านี้ เมื่อเห็นว่าไม่เที่ยง

 ไม่มีตัวตน จิตก็จะปล่อยวาง

 แล้วก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

กำลังใจ ๑๓, กัณฑ์ที่ ๑๘๔

วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๖








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 ตุลาคม 2561
Last Update : 12 ตุลาคม 2561 4:21:07 น.
Counter : 842 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ