Group Blog
All Blog
<<< "เลือกเดินทางธรรม" >>>









“เลือกเดินทางธรรม”

ทางธรรมนี้เป็นทางยากลาบากในเบื้องต้น

 เพราะเป็นทางที่เราไม่เคยไป

และเป็นทางที่เราต้องสละทางโลก

 การสละทางโลกแล้วมาทางธรรมนี้

 มันทำให้เราทุกข์ทรมานกัน

 เพราะเราเคยหาความสุข

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กัน

 พอเรามาทางธรรมก็ต้องยุติการหาความสุข

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ดังนั้น การมาถือศีล ๘ มาปลีกวิเวก

จึงเป็นสิ่งที่ทรมานใจ

ทางร่างกายไม่มีอะไร ร่างกายสบายจะตายไป

อยู่วัดไม่ต้องแบกหาม ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยยาก

เพียงแต่ให้มาสู้กับกิเลสตัณหาเท่านั้นเอง

 แต่มันกลับเป็นความเหนื่อยยาก ทางจิตใจ

ที่บุคคลส่วนใหญ่ไม่อยากจะทำกัน

 เพราะส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า เขาไม่มีโอกาส

ได้ศึกษาจากผู้รู้จริงเห็นจริง

ไม่เคยได้ฟังธรรมของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

 ก็เลยไม่เห็นคุณค่าของการปฏิบัติ

ที่ต้องทุกข์ยากลำบาก ก็เลย ไม่มีความยินดี

ในการที่จะเข้าหาธรรมกัน

 กลับมีความยินดีกับการหาลาภ ยศ สรรเสริญ

การหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กัน

 เพราะยังมีความ สามารถที่จะหาได้

เพราะร่างกายยังแข็งแรง

แต่เขาไม่ได้มองถึงอนาคตของ ร่างกาย

ว่าต่อไปร่างกายก็จะต้องแก่ลงไปเรื่อยๆ

 แล้วก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วในที่สุดก็ต้องตายไป

ถ้าเขาเห็นอย่างพระพุทธเจ้าเห็นนี้

 เขาก็อาจจะเปลี่ยนทางเดินของเขาก็ได้

เพราะการเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย

ของพระพุทธเจ้านี่แหละที่ทำให้

พระองค์เปลี่ยนทางเดินจากการเดินในทางโลก

 ทางไปสู่การเป็นพระมหา จักรพรรดิ

พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนมาทางที่จะไป

สู่การบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 แต่เป็นทางที่พระองค์จะต้อง ทุกข์ยากลำบาก

ในทางการกินอยู่และทางจิตใจ

ทางร่างกายก็อยู่แบบขอทาน

แต่ก่อนพระองค์เคยอยู่ในพระราชวัง

 แต่พอออกบวชก็ต้องอยู่แบบขอทาน

 อยู่ตามมีตามเกิด อยู่ตามป่าตามเขา

เพราะเป็นที่เหมาะสมต่อการบาเพ็ญสมณธรรม

 เป็นที่เหมาะสมต่อการทำจิตใจให้สงบ

 และ ต้องเจริญปัญญา

พระองค์ก็เลยต้องเสด็จออกจากพระราชวัง

ที่มีความสุขทางด้านลาภ ยศ สรรเสริญ

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 แล้วก็ไปอยู่แบบเดียวดายตามลาพัง

 อยู่โดยปราศจาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ

 ถ้าพระทัยไม่มีความหนักแน่นมุ่งมั่น

ต่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น

จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย

พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะเสด็จออก

จากพระราชวังไปได้ แต่เนื่องจากมีความเห็นภัย

 ในความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่จะตามมา

 พระองค์จึงยอมทนทุกข์ทรมาน

กับการอยู่แบบ ขอทานอยู่ในป่าในเขา

 อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยว

 ด้วยความพยายามที่จะบำเพ็ญ และปฏิบัติ

 จึงทำให้พระองค์สามารถที่จะบรรลุธรรม

และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

 กลายเป็นสรณะเป็นที่พึ่งให้แก่โลกมาจนถึง บัดนี้

เวลา ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว

 ถ้าเราไม่มีการเสียสละของพระพุทธเจ้า

การเลือกเดินทางธรรมของพระพุทธเจ้า

 พวกเราก็จะไม่มีใครมาสั่งมาสอนให้ได้มาปฏิบัติ

 ให้ได้เดินไปในทางธรรมกัน

 เราก็จะติดอยู่กับการเดินในทางโลก

 ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

ชาตินี้จึงเป็นชาติที่โชคดีของพวกเรา

ที่ได้มาพบกับผู้ที่สั่งสอนทางธรรม

นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา

จนกระทั่งถึงพระสาวกทั้งหลาย

ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่มีท่านเหล่านี้

 เราจะไม่สามารถที่จะเดินไปในทางธรรมได้

ด้วยตัวเราเองลำพัง เราต้องมีผู้นำทาง

การได้มาเกิดพบกับพระพุทธศาสนา

จึงเป็นโชควาสนาจริงๆ นานๆ ถึงจะมีโอกาส

ได้พบกับพระพุทธศาสนาสักครั้งหนึ่ง

 โอกาสที่จะได้มาเป็นมนุษย์

และได้มาพบกับพระพุทธศาสนานี้มันแสนจะยาก

 ลำพังพระพุทธศาสนาเอง

 ก็นานๆ ถึงจะปรากฏขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง

แล้วการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ของเรา

ก็ใช้เวลาพอสมควร

กว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แต่ละครั้ง

 เพราะหลังจากที่เราตายไปแล้ว

เราก็ต้องไปใช้บาปใช้บุญที่เราทำไว้

กว่าจะกลับมาก็เป็นเวลาหลายปีด้วยกัน

 จังหวะที่จะได้มาเป็นมนุษย์

และจังหวะที่จะได้พบกับพระพุทธศาสนา

จึงเป็นสิ่งที่ยากมากนี่คือเรื่องเส้นทางของชีวิต

ที่พวกเราสามารถเลือกกันได้

 คือเส้นทางทางโลกกับ เส้นทางทางธรรม

 ถ้าเราต้องการความสุขความสบายในปัจจุบัน

เหมือนกับที่เรามีกันอยู่นี้ เราก็ไปทางโลกกัน

 เราก็ไปหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กัน

 แต่เราต้องรู้ว่าต่อไปมันจะหมด

เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเสื่อมสภาพลง

 หรือเวลาที่เราไม่สามารถที่จะหา

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ มาเสพได้

 เวลานั้นเราก็จะเป็นเหมือนคนที่ติดยาเสพติด

แต่ไม่มียาเสพติดเสพ มันก็จะทุกข์ ทรมานใจไป

 แล้วมันก็จะทำให้เราเวลาตายไปแล้ว

ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาเสพใหม่ มาติดใหม่

 เพราะเหตุที่ทาให้เราติดมันยังมีอยู่ในใจ

ก็คือตัณหาความอยากต่างๆ นี่เอง

ถ้าเราไม่กำจัดมัน การเวียนว่ายตายเกิดนี้

จะไม่มีสิ้นสุด มันจะมีต่อไปเรื่อยๆ

 แต่ถ้าเราเลือกมาทางธรรมแล้วเรา

ยอมทุกข์ยากลำบากกับการมาบำเพ็ญ มาอยู่วัด

 มาปลีกวิเวก มาสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย

มาเจริญสติคอยควบคุมความคิด ความอยากต่างๆ

 แล้วพอจิตสงบพอได้สมาธิได้ความสงบแล้ว

 เวลาใช้ปัญญาก็จะสามารถที่จะทำลายตัณหา

ความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

แล้วเราจะ ได้พบกับความสุข

ที่ไม่มีความทุกข์ตามมา

จะมีแต่ความสุขล้วนๆ ไปตลอดไม่มี วันสิ้นสุด

 ท่านถึงเรียกความสุขแบบนี้ว่าบรมสุข

นิพพานัง ปรมัง สุขัง กำลังรอ พวกท่านอยู่

 ขอให้ท่านมีความศรัทธามีความเชื่อ

ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 และมีความจริงจังต่อการศึกษาและการปฏิบัติ

 แล้วพระนิพพานก็จะมาอยู่กับท่าน ต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

“ผู้ไกลจากทุกข์”

 วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาดโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กันยายน 2561
Last Update : 10 กันยายน 2561 6:59:54 น.
Counter : 881 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ