Group Blog
All Blog
<<< "สอนใจให้เกิดปัญญา" >>>









“สอนใจให้เกิดปัญญา”

ผู้ปฏิบัติธรรมควรทำงานภายนอกให้น้อยที่สุด

 ทำงานภายในให้มาก งานภายนอกทำเท่าที่จำเป็น

 หลวงตาท่านเข้มงวดกวดขันเรื่องงานภายนอกมาก

 เวลาทำอะไรก็ทำอย่างรวดเร็ว สร้างกุฏิก็มีขอบเขต

 ทำเป็นภารกิจจำเป็นเร่งด่วน ไม่ให้เลยเถิด

พอตกเย็นก็ให้เลิก เพื่อจะได้ไปภาวนาต่อ

ทำจนมืดค่ำจะไม่เหมาะ พอตกเย็นท่านก็ให้หยุด

พรุ่งนี้ค่อยทำใหม่ เพราะงานภายนอก

เป็นเพียงงานสนับสนุน

 แต่พวกเราชอบทำงานภายนอก

จนลืมงานภายในไป บางทีไม่ลืมแต่ทำไม่ได้

 เพราะงานภายในมันยาก มีฝ่ายต่อต้านมาก

 คอยขัดขวางไม่ให้ทำ คอยหลอกล่อ

ให้ไปทำงานภายนอก ชีวิตเรามันสั้นนิดเดียว

 เดี๋ยวก็หมดแล้ว ไม่ควรหมดไปกับงานภายนอก

ควรคิดถึงงานภายในจิตใจ

มาเกิดชาตินี้ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงไป

 ผลของงานภายในจะติดไปกับใจ

 แต่งานภายนอกจะไม่ติด

สร้างวัดใหญ่โตขนาดไหน สวยงามขนาดไหน

 เวลาตายไปใจก็ไม่ได้เอาไปด้วย

อาจจะไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป

 ถูกดึงไว้ด้วยความห่วงความหวง

ไม่รับอานิสงส์ของการสร้างวัด

 เพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นวัดของฉัน

 ถ้าสร้างยังไม่เสร็จจะห่วงจะกังวล

 เลยมาขวางอานิสงส์ของการเสียสละ

 ของการทำบุญให้ทาน

 ไม่ได้ไปเกิดใหม่ไปเสวยบุญ

 เป็นดวงวิญญาณวนเวียนอยู่บริเวณที่ก่อสร้าง

 ไม่ได้ประโยชน์อะไร การได้มาเกิดเป็นมนุษย์

เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว ในบรรดาภพชาติทั้งหลาย

 ที่หนังสือของหลวงตาท่านระบุว่าชาตินี้ดีที่สุดแล้ว

ภพของมนุษย์นี้ดีที่สุดแล้ว เป็นเหมือนปั๊มน้ำมัน

ขับรถแล้วไม่เจอปั๊มก็จะกังวล

น้ำมันหมดเมื่อไหร่ก็ต้องเดิน

ถ้าเจอปั๊มต้องรีบเติมน้ำมันทันที

 รถจะได้วิ่งไปได้เรื่อยๆ

 คนขับก็สบายไม่ต้องเดิน

 บุญกุศลก็เป็นเหมือนน้ำมันเติมรถ

 ทำให้เดินทางได้สะดวกสบาย

 วนเวียนอยู่แต่ในสุคติ

ไม่ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไปตกนรก

 เสวยบุญที่ได้ทำไว้ในขณะที่เป็นมนุษย์

 พอหมดบุญก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

 มาสร้างบุญต่อ ถ้าสร้างบุญอย่างเดียว

ไม่สร้างบาป จิตก็จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ

 เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญ

ตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ในแต่ละภพแต่ละชาติ

ก็บำเพ็ญบุญอย่างเดียว สร้างบารมีทั้ง ๑๐

ที่แสดงไว้ในพระเจ้า ๑๐ ชาติ

ทรงบำเพ็ญบารมีต่างๆ

อุเบกขาบารมีก็ไม่พูดกับใครเลย

 เป็นพระเตมีย์ นิ่งเฉยปล่อยวาง

ใครจะทำอะไรก็ไม่ตอบโต้

ถ้าเปรียบกับคนอื่นพวกเราก็ถือว่า

ได้บำเพ็ญบุญมาพอสมควร

ถึงใฝ่บุญใฝ่ภาวนากัน

 สนใจฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

 มีคนอีกมากที่ไม่เห็นคุณค่า ไม่เข้าใจธรรมะ

 ว่ามีคุณมีประโยชน์อย่างไร

มัวแต่แข่งหาชื่อเสียงกัน

 เป็นนักกีฬาก็แข่งหารางวัล

เป็นพ่อค้าก็แข่งทำมาหากิน

ให้บริษัทใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ

ไปทางนั้นกันหมด ไม่เคยคิดเลยว่า

มีประโยชน์อะไรกับจิตใจของตนบ้าง

 มองไม่เห็น เพราะจิตใจมืดบอด

ไม่เห็นจิตใจของตน เห็นแต่สิ่งที่ได้มา

แล้วก็ดีใจไปชั่วขณะหนึ่ง

 แต่เวลาที่ความทุกข์ ความกังวลความห่วง

 ความหวงแหน ความเสียดาย

 ความอาลัยอาวรณ์

 ความเสียใจรุมล้อมจิตใจ กลับมองไม่เห็น

พอเกิดขึ้นมาจนทนไม่ไหว

ก็ไปแก้โดยวิธีที่ไม่ถูก

 ไปซ้ำเติม เพราะไม่ได้แก้ที่ปัญหาที่ใจ

แก้ที่ภายนอก ไปเปลี่ยนทรงผมใหม่

 เปลี่ยนชุดใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่

 เปลี่ยนบ้านใหม่เปลี่ยนฮวงจุ้ยใหม่

ขยับโต๊ะขยับอะไร แก้ไม่ถูกจุดเลย

 ต้องแก้ที่ใจ กลับไม่แก้ ใจมันมืดบอด

 ไม่เข้าใจว่าชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา

 มีเหตุมีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ

 เวลาขึ้นก็อยากจะให้ขึ้นไปตลอด

 ไม่ยอมให้ลงเลย พอลงก็อยากจะให้รีบๆขึ้น

 ก็ต้องไปหาซินแส ไปหาหมอดู

 อย่างตอนนี้ก็กลายเป็นเหยื่อ

ของพวกที่ผลิตจตุคามรามเทพกัน

 ไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนเลย เป็นพุทธแท้ๆ

 มงคลสูตร ๓๘ ประการนี้อ่านกันบ้างหรือเปล่า

 มงคลสูตรนี่แหละเป็นสูตรสำเร็จ

ที่ทำให้เกิดสิริมงคล

 ให้พบกับความสุขความเจริญที่แท้จริง

ไล่ไปตั้งแต่ต้นจนถึงพระนิพพานเลย

 แสดงไว้ในมงคลสูตร

 เบื้องต้นท่านก็สอนให้คบบัณฑิต

 คือคนฉลาด คนฉลาดที่สุดในโลกนี้

ก็คือพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ รู้จริงเห็นจริง

ไม่รู้แบบความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

แบบพวกด็อกเตอร์ ที่ถูกวางยาจนเป็นบ้าไป

 ถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าไป เพราะความหลง

 แพ้นารีพิฆาต เพราะรู้ไม่จริง ไม่ทันเกมกิเลส

ทั้งของคนอื่นและของเรา เรามีความโลภ

เขาเอาเหยื่อมาล่อ เราก็หลง พอหลงตามเขา

ก็เปิดช่องให้เขาได้ทำร้ายเรา

 เป็นความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร

อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นบัณฑิต

 การคบบัณฑิตจึงไม่ได้หมายถึงคนที่จบปริญญา

 หรือคนที่ได้รับปริญญาที่เขาแจก

 เรียกตัวเองว่าด็อกเตอร์

เป็นด็อกเตอร์หรือด็อกก็ไม่รู้

ติดในยศสรรเสริญ ดุษฎีบัณฑิต

ก็เป็นการสรรเสริญนั่นเอง

 ยกย่องว่าบุคคลนี้เป็นคนเก่งคนฉลาด

 ไม่ต้องเรียนก็ยินดีมอบปริญญาให้

คนมอบก็เป็นคนโง่เหมือนกันถึงมอบให้

 คนฉลาดจริงๆกลับไม่มอบให้

เพราะไม่รู้ว่าคนฉลาดที่แท้จริงเป็นอย่างไร

วัดความฉลาดที่ผลงาน คือการหาเงินหาทอง

 ถ้าหาเงินเก่งก็ฉลาด ได้ตำแหน่งสูงๆ

 ได้เป็นนายกฯ ก็ถือว่าเป็นคนเก่งคนฉลาด

 แต่คนฉลาดที่แท้จริงกลับไม่เห็นกลับไม่รู้

 คนฉลาดที่แท้จริงเป็นอย่างไร

มักจะเป็นคนธรรมดาๆ ถ้าไม่มีคนบอกจะไม่รู้

เพราะไม่มีปัญญาไปวัดความฉลาด

ของคนฉลาดที่แท้จริงได้

เหมือนกับนิทานในพระไตรปิฎก

ที่ญาติโยมคงเคยได้ยิน ที่เอามาเขียน

ในเรื่องกามนิตวาสิฏฐี

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้า

ทรงเดินทางไปเมืองหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมีศรัทธา

อยากจะไปกราบ ไปสนทนาธรรม

ไปรับความรู้จากพระพุทธเจ้า

แวะพักแรมกลางทาง

 เป็นที่เดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่

 ก็เลยไปกราบไปสนทนาธรรมะ

แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้า

 ทรงถามว่าจะไปไหน

 เขาตอบว่าจะไปหาพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้แสดงตน

 สนทนาธรรมไป ปัญหาธรรมะที่ถาม

เป็นเรื่องอจินไตย จึงไม่ทรงตอบ

 ก็เลยไม่ประทับใจในการสนทนาธรรม

 พอรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางไปกันคนละทาง

พระพุทธเจ้าก็เดินทางต่อ

 เขาก็มุ่งไปหาพระพุทธเจ้า

เดินไปกลางทางก็สวนกับพระสารีบุตร

ก็ถามว่าไปไหนมา เขาก็ตอบว่า

จะไปหาพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็ถามไปว่า

ไม่ได้เจอกับพระที่เดินอยู่ข้างหน้าหรือ

 เจออยู่เหมือนกัน แล้วเป็นอย่างไร ก็อย่างนั้นๆ

 พระสารีบุตรก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกเดินทางต่อไป

 คนฉลาดดูคนโง่ออก แต่คนโง่ดูคนฉลาดไม่ออก

 เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า

 คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดนั่นแหละคือคนโง่

เพราะไม่มีโอกาสที่จะฉลาดได้

เมื่อคิดว่าตัวเองฉลาดแล้ว ก็ไม่ต้องเรียนรู้

ไม่ต้องศึกษาอะไรอีกแล้ว

 แต่คนที่รู้ว่าตนยังโง่อยู่ มีโอกาสที่จะฉลาดได้

 ตราบใดที่เรายังไม่พ้นทุกข์

ก็อย่าไปคิดว่าฉลาดเป็นอันขาด

ถ้าฉลาดจริงต้องไม่ทุกข์กับอะไร

ต่อให้เรียนจบคัมภีร์พระไตรปิฎก

เช่นพระโปฐิละ พระพุทธเจ้าเจอหน้าทีไร

ก็บอกว่าใบลานเปล่าๆ อยู่ไปเปล่าๆ ตายไปเปล่าๆ

 ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเรียนอย่างเดียว

ไม่ได้เอาไปปฏิบัติ ไม่ได้ชำระไม่ได้ตัดกิเลส

 ไม่ได้ทำลายสมุทัยความอยากต่างๆให้หมดสิ้นไป

 ยังต้องทุกข์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่

 หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน

หลายๆครั้งเข้า เจอทีไรก็ตรัสอย่างนี้ทุกครั้ง

 ก็เลยเกิดความสำนึกขึ้นมาว่า

พระพุทธเจ้าทรงอุตส่าห์เมตตาเราขนาดนี้

 ต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เลยพิจารณาตัวเองดู

ก็เห็นว่ายังไม่ได้ปฏิบัติ ก็เลยคิดว่า

ถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติแล้ว ถ้าดีจริง

พระพุทธเจ้าก็คงไม่ว่าเราเป็นใบลานเปล่า

ก็เลยออกไปหาสำนักปฏิบัติ

 ซึ่งเป็นสำนักที่มีพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

 ตั้งแต่พระเถระจนถึงสามเณร

เป็นพระอรหันต์ทั้งสำนักเลย

ท่านก็ไปกราบพระที่อยู่ในศาลาพร้อมกันหมดเลย

ไปกราบพระหัวหน้าแล้วก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์

 พระหัวหน้าท่านก็บอกว่ามีพรรษาน้อยกว่า

ความรู้ก็รู้น้อยกว่า ไม่ได้รู้พระไตรปิฎกจัดเจนนัก

จึงปฏิเสธที่จะสอน ต้องไปศึกษากับองค์อื่น

ท่านก็ไปกราบองค์ที่ ๒ องค์ที่ ๓

ก็ถูกปฏิเสธไปเรื่อยๆ จนถึงสามเณรองค์สุดท้าย

สามเณรก็เห็นว่าพระผู้ใหญ่ปฏิเสธกันหมด

 แล้วตนจะไปรับได้อย่างไร ก็ทำท่าจะปฏิเสธ

 พระหัวหน้าก็เลยบอกสามเณรว่า

 ไม่สงเคราะห์ท่านเสียหน่อยหรือ

สามเณรก็เลยรับไว้เป็นลูกศิษย์

ก่อนจะสอนก็เอามาใช้เสียก่อน

 ใช้ล้างกระโถนล้างส้วมล้างบาตรซักจีวร

 ให้ไปหยิบข้าวหยิบของที่ตรงนั้นที่ตรงนี้

 บางทีก็ให้ลุยลงไปหยิบของในน้ำ

 พอลงไปได้ครึ่งทางก็บอกเปลี่ยนใจ ไม่เอาแล้ว

 แต่พระโปฐิละก็รู้สึกว่าได้มอบกายถวายชีวิต

ให้กับสามเณรจริงๆ จะสั่งให้ทำอะไรก็ยอม

ยอมรับเป็นอาจารย์ เมื่อสามเณรเห็นว่า

ไม่มีทิฐิเหลืออยู่เลย ถ้าเป็นแก้วน้ำ

ก็เทน้ำเก่าออกไปหมดเลย

ไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียว

 ตอนนั้นถึงจะเติมน้ำใหม่เข้าไปได้

 นิกายเซนจะพูดเรื่องน้ำชาในแก้วว่า

 จะเติมน้ำชาใหม่ ก็ต้องเทน้ำชาเก่าทิ้งไปก่อน

 ไม่เก็บเอาไว้เลย ไม่หลงเหลืออยู่เลย

จึงจะเทน้ำชาใหม่ลงไปใจของเราก็เหมือนกัน

 ถ้ายังยึดติดอยู่กับทิฐิความเห็นของเรา

 ที่ขัดกับคำสอนของครูบาอาจารย์

ความเห็นของเราก็จะต่อต้าน ต้องละทิฐิก่อน

 เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์

 การโต้เถียงกับครูบาอาจารย์จึงไม่มี

มีแต่รับลูกเดียว อาจารย์มีหน้าที่สอน

ลูกศิษย์มีหน้าที่ฟังอย่างเดียว

 ถ้าไปโต้ก็แสดงว่าไม่ได้เป็นลูกศิษย์แล้ว

ถ้าอยากจะโต้หรือไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่าอะไร

ก็ไปหาอาจารย์อื่นก็ได้

 เป็นอาจารย์ของตนเองก็ได้ ไปอยู่องค์เดียว

 ใช้ทิฐิของตนปราบกิเลสดู นี่ก็เหมือนกัน

ก่อนที่จะสอนใครได้ คนสอนต้องมีความมั่นใจ

ว่าคนรับมีใจว่างจากทิฐิต่างๆ

พอที่จะรับคำสั่งสอนได้

ถ้าเป็นเหล็กก็ต้องเผาไฟให้นิ่มเสียก่อน

 แล้วค่อยเอามาทุบตี ให้เป็นจอบเป็นมีด

 ถ้ายังไม่ได้เผาไฟ จะแข็งตียาก

 จิตของคนเราก็เหมือนกัน ถ้ายังไม่ได้ละทิฐิต่างๆ

 ก็จะสอนยาก ครูบาอาจารย์จะไม่สอน

 เวลาพระเณรไปหาครูบาอาจารย์แต่ละองค์นี้

ท่านจะไม่รับง่ายๆ ท่านไม่ได้อยากสอน

อยากให้เป็นลูกศิษย์เลย

มีแต่จะขับไล่ปฏิเสธไม่แยแส

 ดูเพื่อว่ามีทิฐิหรือไม่

 ถ้าต้องการธรรมจากท่านจริงๆ

ก็ต้องลดละทิฐิของเราให้หมด

สมัยก่อนเขาสอนกันอย่างนี้

ทางธรรมะต้องสอนกันอย่างนี้

 ไม่เหมือนกับทางโลก

 ที่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนเขาก็สอน

 จะเรียนหรือไม่เรียน จะฟังหรือไม่ฟัง

 เขาไม่สนใจ เพราะไม่ได้สอนด้วยใจ

ไม่ได้สอนด้วยความบริสุทธิ์ใจ

 สอนด้วยอามิสสินจ้าง ขอให้มีเงินก็เรียนได้

แต่ทางธรรมไม่ได้เน้นไปที่ผลตอบแทน

 เพราะผู้สอนที่รู้จริงๆ ไม่หิวไม่ต้องการอะไร

 ไม่อยากได้อะไร อยากได้อย่างเดียวก็คือ

ให้คนที่มาเรียนได้รู้จริงๆ

ได้ประโยชน์จริงๆ เหมือนกับหมอที่รักษาคนไข้

 สมัยก่อนหมออุทิศตนจริงๆ

 รักษาเพื่อให้คนไข้หายจากโรคจริงๆ

ไม่ได้คิดว่าจะมีเงินจ่ายหรือไม่

 รักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ก็พอใจ

มีความสุขใจ เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์

ที่สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ก็อยากจะให้หลุดพ้น

จากทุกข์ภัยต่างๆ สอนด้วยความเมตตาจริงๆ

เอาใจใส่จริงๆ จึงต้องดูใจของลูกศิษย์ก่อนว่า

 พร้อมที่จะรับจริงๆหรือไม่

 ถ้าไม่พร้อมสอนไปก็ลำบาก

 คนที่จะเป็นลูกศิษย์

ต้องพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่าง

 เพื่อธรรมะอย่างเดียว ต้องสละได้แม้แต่ชีวิต

 หลวงปู่ขาวบอกว่านิพพานอยู่ฟากตาย

ถ้าไม่ยอมตายจะไม่ได้ไปนิพพาน

ถ้ากลัวตายจะไปไม่ถึง จะกอดอยู่กับร่างกาย

ไม่ต้องกลัวตาย เพราะความตายรอเราอยู่แล้ว

 กลัวไม่กลัวก็เอาเราแน่

แต่ถ้าไม่กลัวก็จะข้ามไปได้

 ไม่สามารถทำร้ายใจได้

 ไม่ทำให้ใจของเราทุกข์ได้

 ถ้ากลัวเพียงแต่คิดถึงก็ทุกข์แล้ว

 ยังไม่ทันเจอตัวมันเลย เหมือนกับเสือ

เพียงแต่ได้ยินเสียงก็สั่นแล้ว ยังไม่เห็นตัวเลย

 ถ้าไม่กลัวมันเสียอย่าง จะไม่ทำให้เราทุกข์ได้เลย

เมื่อสามเณรเห็นว่าใช้ได้แล้ว

จึงสอนธรรมะให้กับพระโปฐิละ

 ยกตัวอย่างเรื่องจอมปลวก

ที่มีตัวกระปอมอาศัยอยู่

 จอมปลวกมีทางเข้าออกอยู่ ๖ ทางด้วยกัน

 ถ้าอยากจะจับกระปอม

ก็ให้ปิดทางเข้าออกเสีย ๕ ทาง

เหลือไว้ทางเดียว แล้วเฝ้าอยู่ตรงนั้น

จะออกทางอื่นไม่ได้

 เหมือนกับกิเลสโลภโกรธหลง

 มีทางเข้าออกอยู่ ๖ ทางเหมือนกัน

 คือทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถ้าอยากจะจับกิเลส

ก็ต้องปิดเสีย ๕ ทาง ปิดตาหูจมูกลิ้นกาย

 คือให้มีอินทรีย์สังวร สำรวมตาหูจมูกลิ้นกาย

 อย่าไปดูไปฟังไปดมไปลิ้มรสไปสัมผัสด้วยกาย

ในสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส เช่นไปอยู่ในป่า

ก็จะเป็นการสำรวมไปโดยอัตโนมัติ

 เพราะภาพที่เห็นด้วยตาไม่ทำให้เกิดกิเลส

 ไม่เหมือนกับไปชอปปิ้ง พอเห็นแล้วตาลุกวาว

 ใจลุกวาว ไอ้นั่นก็ดีไอ้นี่ก็ดี อยากจะได้

 ความอยากก็คือกิเลส เห็นอาหารชนิดต่างๆ

ก็อยากรับประทาน

 จึงให้ปิดให้สำรวมทวารทั้ง ๕ ไว้

 วันพระให้เข้าวัด ถืออินทรีย์สังวร

ไม่ดูหนังฟังเพลง

 ไม่อ่านหนังสือที่ทำให้เกิดกามารมณ์

 อ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรม

 มีสติเฝ้าอยู่ที่ประตูเข้าออกของกิเลส คือที่ใจ

 เฝ้าดูใจ ดูความคิด กิเลสจะมากับความคิด

 ที่คิดได้ ๓ ทาง คิดทางกุศล คิดทางอกุศล

 คิดทางที่ไม่ใช่กุศลหรืออกุศล

 คิดทางกุศลเป็นมรรค เช่นคิดว่าภาวนาดีกว่า

 เดินจงกรมดีกว่า นั่งสมาธิดีกว่า

 ถ้าคิดทางอกุศลก็เป็นกิเลส

คิดว่าไปคุยกับคนนั้นกับคนนี้ดีกว่า

 ถึงจะอยู่ในวัดกิเลสก็ยังเกิดขึ้นได้

 แทนที่จะภาวนาก็แวบไปหาคนนั้นหาคนนี้

 ไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุยเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมะ

คุยเรื่องทางโลก ทำให้จิตฟุ้งซ่านไม่สงบ

ถ้าจะคุยก็ให้คุยเรื่องธรรมะ

 คุยเรื่องมักน้อยสันโดษ เรื่องความเพียร

เรื่องสถานที่ที่สงบสงัดวิเวก

 เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา

ต้องคอยเฝ้าดูใจที่จะคิดไปได้ ๓ ทาง

ทางมรรค ทางกิเลสทางตัณหา

ทางที่ไม่ใช่มรรคไม่ใช่กิเลส

 ให้คิดไปทางมรรคอย่างเดียว

ให้คิดยินดีในความวิเวก

การไม่คลุกคลีกัน เมื่อ ๒ วันก่อน

หนังสือพิมพ์ได้เขียนถึงพระโมคคัลลาน์

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระโมคคัลลาน์ให้ปฏิบัติ

 คือไม่ให้ยินดีกับการคลุกคลีกัน

ให้ยินดีกับการอยู่ตามลำพัง

ไม่ให้ชูงวง เหมือนช้าง คือไม่ให้เบ่ง

ว่าเป็นคนระดับนั้นระดับนี้

 มีตำแหน่งระดับนั้นระดับนี้

ต้องต้อนรับแบบนั้นแบบนี้

ถ้าไม่ได้รับการต้อนรับก็จะเสียใจ

 ต้องทำตัวเป็นเหมือนพื้นปฐพี

 จะต้อนรับแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น

 แต่ที่จะเน้นก็คือการไม่คลุกคลีกัน

นักปฏิบัติต้องรักความวิเวก รักการอยู่ตามลำพัง

 จะได้ปฏิบัติได้เต็มที่ จะได้ดูใจ

 เวลาอยู่ที่วิเวกจะทำให้มีอินทรีย์สังวร

 กิเลสทางตาหูจมูกลิ้นกายก็จะไม่เป็นปัญหา

เหลืออยู่ทางเดียวก็คือใจ ตอนนั้นจะได้จับกิเลส

พอกิเลสโผล่ออกมาก็จะรู้ทันที จะระงับได้เลย

ต่อไปก็จะหายไปหมด หลังจากนั้นไม่นาน

พระโปฐิละก็ได้บรรลุ หลังจากได้รับการสั่งสอน

จากสามเณรอรหันต์ ไม่ยากเลย ปิด ๕ ทาง

 เฝ้าอยู่ทางเดียว ทางที่โลภโกรธหลงเข้าออก

 คือทางใจ พอคิดออกมาทางใจก็จะยินดี

หรือรังเกียจ เป็นความทุกข์ขึ้นมา

ยินดีก็เป็นความทุกข์แบบหนึ่ง

รังเกียจไม่พอใจ ก็เป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง

ชีวิตของเราก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับทวารทั้ง ๖ นี้

 แต่จับกิเลสไม่ได้ จับไม่ทัน

 ตอนไหนเราทุกข์ ร้องไห้ โมโห หวาดวิตก

 เศร้าสร้อยหงอยเหงา ตอนนั้นก็ไม่ทันมันแล้ว

ถ้าทัน ใจต้องเฉยสบาย

 พอโผล่ออกมาปั๊บก็ตัดได้เลย

 ไม่ให้ออกมาสร้างความวุ่นวาย สร้างปัญหา

 ต้องมีสติดูที่ใจ เมื่อเราได้สถานที่สงบสงัดแล้ว

 ก็มีหน้าที่ดูที่ใจเท่านั้น ถ้าจะให้ดีก็อย่าไปเฝ้าดูใจ

 เอาธรรมะอัดเข้าไปเลย

สอนใจให้เห็นความจริงต่างๆ

เพราะมีความหลงเป็นพื้นอยู่แล้ว

 เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความโลภ

เกิดความโกรธ ไม่เห็นว่าสิ่งที่เราโลภเราโกรธ

เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

 มีอะไรบ้างในโลกนี้ที่ไม่ได้มาจากดินน้ำลมไฟ

ก็มีท้องฟ้าเท่านั้น เป็นอากาศธาตุ

แล้วก็ใจที่เป็นธาตุรู้

 นอกนั้นก็เป็นดินน้ำลมไฟหมด

 ร่างกายก็มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป

อาหารก็มาจากต้นไม้ใบหญ้าเนื้อสัตว์ต่างๆ

 สัตว์ก็ต้องกินหญ้ากินผัก

ก็มาจากดินน้ำลมไฟเหมือนกัน

ของสวยๆงามๆต่างๆ

ที่เราหลงอยากได้กันนักกันหนา

 ก็มาจากดินน้ำลมไฟ เสื้อผ้ามาจากไหน

ก็มาจากดินน้ำลมไฟ

เพชรนิลจินดาก็เป็นธาตุดิน

 ไม่มีค่าอะไร แต่ความหลงของพวกเรา

ทำให้มีคุณค่าขึ้นมา พอใส่เพชรสักเม็ดหนึ่ง

 คนก็สรรเสริญเยินยอตาลุกวาว

ทำให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่า นี่คือความหลง

 เห็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าว่ามีคุณค่า

เราจึงต้องสอนใจให้เกิดปัญญา

 เพื่อจะได้ทำลายความหลง

 ให้เห็นว่าของทุกอย่างในโลกนี้

คุณค่าเกิดจากสมมุติกันขึ้นมา

 เด็กๆสมัยก่อนชอบเก็บซองบุหรี่กัน

 แล้วก็ตั้งค่ากัน ซองบุหรี่เกร็ดทองก็ราคาหนึ่ง

 ซองบุหรี่พระจันทร์ก็ราคาหนึ่ง

ซองบุหรี่กรุงทองก็ราคาหนึ่ง

แล้วก็เอามาเล่นพนันกัน

ไม่มีเงินจริงก็ใช่เงินซองบุหรี่นี่แหละ

แย่งเก็บกันตามร้านกาแฟ

พอเห็นก็คิดว่าเป็นเงินเป็นทอง

นี่ความหลงของเด็กๆ ก็ยังหลงกันได้

 ผู้ใหญ่ก็มองว่าเอาไปทำไมซองบุหรี่

 แต่เด็กมันหลงกัน

 สมัยนี้จะมีของแถมมากับซองขนม

 มีฉลากชิงโชค ผู้ใหญ่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร

 เพราะไม่ได้ติดตามข่าว ว่าขนมชนิดนี้

มีอะไรแถมมาบ้าง ฝาปิดขวดก็เหมือนกัน

 เปิดแล้วก็โยนทิ้งไป

ไม่ได้สนใจเปิดดูที่ใต้ฝาว่ามีรางวัลหรือไม่

มีวัตถุไว้เพื่อสนับสนุนร่างกายเท่านั้นเอง

 ต้องมีดินน้ำลมไฟหล่อเลี้ยงร่างกาย

จึงจะอยู่ได้ แต่อยู่เพื่ออะไร อันนี้สำคัญกว่า

 อยู่เพื่อหลงกับวัตถุ หรืออยู่เพื่อให้รู้ทันวัตถุ

 ให้ปล่อยวางวัตถุ อันนี้ที่สำคัญ

เราจึงต้องพิจารณาให้เห็นว่า

 ทุกอย่างที่เราไปหลงติดอยู่เป็นเพียงวัตถุ

 เป็นของสมมุติ ไม่ใช่ของจริง

ไม่ใช่ความเจริญที่แท้จริง

ไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริง

 สมบัติที่แท้จริงอยู่ในใจ ที่ได้รับการปลดเปลื้อง

จากความกดดันของความหลง

 ที่กดดันให้อยากมีอยากเป็น

ถ้าน้อยหน้าใครจะรู้สึกเสียใจ

ถ้าเขาได้ดีกว่าเรา ได้คะแนนดีกว่า เราก็เสียใจ

ถ้ามีปัญญาก็จะเฉยๆ

เขาดีกว่าก็เป็นความสามารถของเขา

 เขามีมากกว่า ก็เป็นเพียงดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง

 ไม่ได้มีคุณค่าอะไร ต่อให้มีเพชร ๑๐๐ กะรัต

 ก็เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง

 ถ้าไม่หลงก็ไม่มีความหมายอะไร

 ถ้าหลง ก็จะคิดว่ามีคุณค่ามาก

เอาไปแลกเปลี่ยนสิ่งอื่นได้

เพราะยังหลงติดอยู่กับพวกรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

 ยังอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศ

 อยากจะพักโรงแรม ๕ ดาว

 รับประทานอาหารมื้อละแสน

ดื่มไวน์ขวดละแสน

 เพราะความอยากในกามรสนี่เอง

 ทำให้หลงวัตถุต่างๆ

ทุกวันนี้ที่เราออกไปทำมาหากินกัน

 ก็ไปเอาวัตถุมาทั้งนั้น พอสิ้นเดือนก็ได้กระดาษมา

 เอาไปแลกสิ่งที่เราอยากได้ ถ้าไม่อยากดื่มไวน์

ไม่อยากกินเหล้า ไม่อยากเที่ยว

ไม่อยากนอนโรงแรม ไม่อยากมีเสื้อผ้าสวยๆใส่

 แล้วจะเอาเงินไปทำอะไร

ถ้าเป็นพระได้เงินมาจะเอาไปทำอะไร

นอกจากจะเอามาดูแลวัดวาซ่อมแซมกุฏิวิหาร

 หรือสงเคราะห์โลก ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน

 คนที่มีเงินเหลือใช้จึงต้องทำบุญ

คนที่ไม่มีก็ไม่ต้องทำ

 เก็บไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ฉลาด

 มีแล้วเก็บไว้เฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 อาจจะเป็นโทษกับตน ถูกโจรผู้ร้ายปล้นจี้ฆ่า

เพื่อเอาทรัพย์ จึงต้องศึกษาสอนใจ

ให้รู้ทันความหลง พออยากได้เสื้อผ้าชุดใหม่

ก็ต้องคิดเลยว่า เป็นเพียงเครื่องนุ่งห่มเท่านั้น

 มีไว้เพื่อปกปิดร่างกายเท่านั้นเอง

 ตอนนี้ก็มีอยู่เต็มตู้แล้ว

 ชุดเก่าก็ปกปิดได้เหมือนกัน

 มาวิเศษกันทางด้านจิตใจดีกว่า

ด้วยการไม่โลภไม่โกรธไม่ทุกข์

 ดีกว่าใส่เสื้อผ้าสวยๆงามๆแล้วใจร้อนเป็นไฟ

 ใครพูดอะไรไม่ถูกใจก็เป็นเดือดเป็นแค้นขึ้นมา

 จะเกิดประโยชน์อะไร ทำใจให้เย็น

ให้สงบให้สบายให้เป็นอุเบกขา

 ไม่ว่าอะไรจะมาสัมผัสมากระทบ

 จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใจได้เลย

 อย่างนี้แหละจึงจะวิเศษ ถ้ายังถูกกระทบอยู่

ควรพยายามแก้ไข

อะไรที่ทำให้วุ่นวายใจกังวลใจ

 ต้องแก้ให้ได้ แก้ด้วยปัญญา

เพราะปัญหาเกิดจากการขาดปัญญา

 หรือความหลงนี่เอง

มองไม่เห็นว่าสิ่งที่ไปหลงไปกังวล

ก็เป็นแค่ดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง

 ต้องเป็นไปตามเรื่องของเขา

 คือ ๑. เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง

ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของใคร ก็เหมือนกันทั้งนั้น

เดี๋ยวก็ต้องแก่เจ็บตาย

๒. เป็นกรรม เขาไหลไปทางหนึ่ง

 แต่เราพยายามดึงให้ไหลไปอีกทางหนึ่ง

ดึงอย่างไรก็ไม่ไปหรอก

จะไหลไปตามทางของเขา เขาถนัดมือซ้าย

 เราอยากจะให้เขาใช้มือขวา

ถ้าถูกบังคับจริงๆเขาก็อาจจะใช้มือขวา

 พอไม่มีใครบังคับ เขาก็จะกลับไปใช้มือซ้าย

 เขาชอบสีแดง

 เราจะให้เขาชอบสีเขียวได้อย่างไร

 เรื่องของกรรมเป็นอย่างนี้

ต้องยอมรับ จะได้ไม่ทุกข์

 ไม่เช่นนั้นก็จะทุกข์

 เขาเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

แต่เราไม่เห็นอนิจจังไม่เห็นอนัตตา

อนัตตาก็คือกรรมนี่แหละ

การที่เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 ก็เป็นเหมือนอนัตตา

เพราะเราไปควบคุมบังคับไม่ได้

อยากให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้

 ถ้าไม่เห็นอนิจจัง ไม่เห็นอนัตตา เราก็จะทุกข์

 ถ้าเห็นแล้วจะไม่ทุกข์

จึงต้องสอนใจ อัดธรรมะเข้าไปเรื่อยๆ

เพื่อจะได้มีข้อมูลไว้แก้ความหลง

ที่จะแสดงผ่านความโลภความโกรธ

ความโกรธเกิดจากความโลภ

 เวลาไม่ได้อะไรดังใจก็เกิดความโกรธ

 ความโลภเกิดจากความหลง

ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนไปโลภ

 ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย

ถ้าไม่หลงก็จะไม่โลภ เมื่อไม่โลภก็จะไม่โกรธ

 ก็จะไม่ทุกข์ จะสบาย

 มีแต่ความอิ่มความพออยู่ในใจ

วันๆหนึ่งก็อยู่ไปสบายๆ จนกว่าจะหมดหน้าที่

 หมดหน้าที่ก็จบร่างกายเมื่อไม่ทำงานแล้วต้องไป

 ใจก็ไม่ได้ไปไหน ใจก็อยู่ตรงนั้น

ไม่ต้องไปเกิดใหม่ ไม่ต้องไปแก่ไปเจ็บไปตาย

 ไม่ต้องไปทุกข์ไปวุ่นวายกับอะไรอีกต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

กำลังใจ ๓๒, กัณฑ์ที่ ๓๓๕

วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐






ขอบคุณที่มา  fb.  พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 29 ตุลาคม 2561
Last Update : 29 ตุลาคม 2561 10:27:42 น.
Counter : 352 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ