เป้าหมายที่แท้จริง
ของการไปอินเดีย
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงให้พุทธศาสนิกชน
เดินทางไปตามสังเวชนียสถานต่างๆ
ก็เพื่อให้เกิดศรัทธาความเชื่อ เกิดฉันทะวิริยะ
ที่จะศึกษาและปฏิบัติตาม
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อเปิดใจให้สว่าง ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ
จะได้สร้างสิ่งที่เป็นคุณและกำจัดสิ่งที่เป็นโทษ
จะได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์
ไม่ต้องวุ่นวายกับการเปลี่ยนแปลง
ของสิ่งต่างๆในโลกนี้
คนที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
จะไม่วุ่นวายกับอะไรทั้งสิ้น อะไรจะมีก็มีไป
อะไรจะสูญก็สูญไป แต่ใจจะไม่ไปดีอกดีใจ
เสียอกเสียใจ กับการมาและการไปของสิ่งต่างๆ
เพราะมีปัญญารู้ทันว่านี่คือความจริง
ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไปดีใจหรือเสียใจ
ก็เหมือนเป็นการทำโทษตนเอง
คือสร้างความทุกข์ให้กับใจ
ไม่มีใครอยากจะทุกข์กัน จึงต้องปล่อยวาง
ยอมรับความจริง ต้องอยู่กับความจริงให้ได้
นี่คือเป้าหมายของการไปอินเดีย
ไปตามสังเวชนียสถานต่างๆ
ถ้ากลับมาแล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติดีขึ้น
ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการไปเที่ยวเฉยๆ
เหมือนกับไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
ถ้ากลับมาแล้ว พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
เคยสำมะเลเทเมาก็เลิกสำมะเลเทเมา
เคยเที่ยวเตร่ก็เลิกเที่ยวเตร่
ไม่มีศีลมีธรรมก็มีศีลมีธรรม
ก็ถือว่าเป็นประโยชน์
ตรงกับความปรารถนาของพระพุทธเจ้า
ถ้าไม่สำมะเลเทเมาอยู่แล้ว มีศีลมีธรรมอยู่แล้ว
จะไปที่อินเดียหรือไม่ก็ไม่สำคัญอย่างไร
ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ ไม่มีความแตกต่างกัน
เพราะมีศีลมีธรรม มีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา
ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว
ครูบาอาจารย์ต่างๆของพวกเรา
จึงไม่ค่อยมีปรากฏว่าท่านไปอินเดียกัน
หลวงปู่ต่างๆนับแต่หลวงปู่มั่นลงมา
ก็ไม่ได้ไปอินเดีย
ท่านไม่ต้องไป เพราะท่านเห็นธรรมอยู่ในใจแล้ว
เข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้ว
ไม่ลังเลสงสัย ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
เหมือนกับพวกเรา ที่ยังต้องไปเห็นสถานที่จริง
ถึงจะเชื่อว่า มีพระพุทธเจ้ามาประสูติ
มาแสดงพระธรรมเทศนาจริงๆ
ดังนั้นไม่ว่าจะไปหรือไม่ ก็ขอให้เข้าใจว่า
เป้าหมายของการไปก็เพื่อให้มีศรัทธาความเชื่อ
ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ให้มีอิทธิบาท ๔
มีฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา ที่จะศึกษา
และปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจ้า
เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ต่างๆ
ที่เกิดจากความโลภความโกรธความหลง
เกิดจากความอยากทั้ง ๓ คือ
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ
นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของการไปอินเดีย
ของการไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์
ตามสถานที่ต่างๆ
ของการมาฟังเทศน์ฟังธรรมที่นี่ ก็อยู่ที่ตรงนี้
คือกำจัดความทุกข์ที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป
จึงควรให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ให้ดูที่ใจเป็นหลัก
ถ้าเกิดความโลภความโกรธความหลงเมื่อไหร่
ก็ให้เรารู้ว่านี่แหละคือศัตรู เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด
ด้วยการปฏิบัติทานศีลภาวนานี่เอง
มีเงินทองมากน้อยก็อย่าไปเสียดาย
ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้
ก็เอาไปทำบุญทำทานเสีย
ศีลก็พยายามรักษาไว้ให้ดีให้บริสุทธิ์
ภาวนาก็พยายามทำให้มาก เจริญสติอยู่เรื่อยๆ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงหลับเลย อย่าให้เผลอสติ
ให้มีสติคอยเฝ้าดูกายวาจาใจอยู่เสมอ
อย่าห่างไกลจากกายวาจาใจ
อย่าไปในอดีตอย่าไปในอนาคต
อย่าไปที่ใกล้ที่ไกล ให้อยู่ที่ตรง ๓ สถานที่นี้
อยู่ที่กายวาจาใจ แล้วจะรู้ว่า
อะไรกำลังเกิดขึ้นภายในใจ
ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็จะได้กำจัดได้
ถ้ามัวไปอยู่ที่อื่น มัวไปคิดถึงคนโน้นคนนี้
แล้วก็วุ่นวายใจขึ้นมา
ก็จะไม่รู้สึกตัวว่าไฟกำลังเผาใจ
แต่ถ้ามีสติจะรู้เลยว่า ไปคิดถึงคนนั้นแล้ว
ก็เกิดความกังวลขึ้นมา
ก็จะรีบระงับดับความกังวลทันที
ด้วยปัญญาก็ได้ หรือด้วยสมาธิก็ได้
ถ้าใช้สมาธิก็บริกรรมพุทโธๆไป
เลิกคิดถึงเรื่องของคนนั้นไป
ถ้าใช้ปัญญาก็ต้องพิจารณา
ปล่อยเขาไปตามเรื่องของเขา เขาอยู่ตรงนั้น
เราอยู่ตรงนี้ ไปคิดวุ่นวายกับเขาทำไม
ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าคิดอย่างนี้
ก็จะดับความทุกข์ดับความกังวลได้
ถ้าไม่มีสติก็จะมัวแต่คิดถึงเขา
ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใหญ่ ยิ่งห่วงใหญ่
แต่ไม่รู้ว่าปัญหาคือความทุกข์ความกังวลอยู่ที่นี่
มัวไปกังวลกับเขาที่อยู่ที่ตรงโน้น
อาจถึงกับลากสังขารร่างกายไปหาเขา
เพื่อไปแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาจริงอยู่ที่ใจเรา
ดับตรงที่ใจเราเท่านั้นก็หมดเรื่อง
เขาจะเป็นอะไร ก็ปล่อยให้เป็นไป
เรื่องก็จบ แต่เราแก้ไม่เป็น ไม่แก้ที่ใจเรา
กลับไปแก้ที่ข้างนอก
เพราะไม่ดูกายวาจาใจของเรา
เพราะไม่มีสตินั่นเอง นี่คือการภาวนา
ให้ดูที่กายวาจาใจ ดูว่าสุขหรือทุกข์
ถ้าทุกข์ก็รีบดับเสีย ไม่ต้องไปดับที่คนนั้นคนนี้
เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ดับที่ใจ ดับความอยากต่างๆ
จึงขอให้พยายามสร้างฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา
สร้างศรัทธา ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม
กับผู้รู้ เข้าหาครูบาอาจารย์อยู่เรื่อยๆ
เพื่อความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
ในทางธรรมต่อไป
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.............................
กำลังใจ๓๘, กัณฑ์ที่ ๓๗๖
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๐
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ