ปล่อยความสุขภายนอก
เพื่อเข้าสู่ภายใน
ปิดทองหลังพระดีกว่า อย่าเอากิเลสเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพิ่งเทศน์ไปเมื่อเช้านี้เองว่า ให้ทำบุญปิดทองหลังพระ
ทำบุญให้ทานด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์
ไม่ต้องการผลตอบแทนจากใครทั้งนั้น
ทำด้วยความเมตตา ปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด
ในสมบัติข้าวของเงินทอง เพราะเห็นว่า
ถ้ามีมากเกินความจำเป็น ก็ไม่เกิดประโยชน์กับตน
กลับจะเป็นทุกข์กับจิตใจ เพราะต้องคอยกังวล
หวงห่วง เสียดายเสียใจ เวลาหายไปหรือถูกขโมยไป
ถ้าเอาไปทำบุญก็จะหมดปัญหาไป
ได้ความสุขทางจิตใจ เพราะได้ทำประโยชน์
ได้สงเคราะห์ได้ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนตกทุกข์ได้ยาก
นี่คือเป้าหมายของการทำบุญให้ทาน อยู่ตรงนี้
อยู่ที่การปลดเปลื้องภาระทางด้านจิตใจ
ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทำบุญ
อาจจะกลับมาเกิดเป็นหมาเฝ้าสมบัติก็ได้
หวงเงินมาก ไม่ยอมทำบุญให้ทาน ไม่ยอมรักษาศีล
ไม่ยอมบอกลูกหลานว่าเงินทองเก็บไว้ที่ไหน
เอาไปฝังดินไว้ที่ตรงไหน ด้วยความผูกพัน
ด้วยความหวง ด้วยความห่วง
ตายไปก็กลับมาเกิดเป็นสุนัขในบ้านของตนเอง
จึงควรทำทานเพื่อให้มีความสุขใจ
ส่วนเรื่องชื่อเสียงแล้วแต่จะเป็นไป
อย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์ เวลาทำบุญ
เขาอยากจะรู้ชื่อก็บอกเขาไป
แต่อย่าไปถือเป็นข้อแม้ ต้องมีชื่อลำดับที่ ๑
ถ้าไม่ได้ลำดับที่ ๑ ก็จะเสียใจ
ลบล้างบุญที่เราควรจะได้ คือความสุขใจ
ควรเห็นความสำคัญของใจเรา ยิ่งกว่าสิ่งอื่น
ยิ่งกว่าตัวเรา ตัวเราเป็นกิเลส เป็นอวิชชา
เป็นความหลง ไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของใจ
ว่าเป็นอะไรกันแน่ จึงหลงสร้างตัวตนขึ้นมาในใจ
แล้วก็ยึดติดในตัวตนนั้น
ทำอะไรก็อยากจะให้ตัวตนดี ถ้ายิ่งทำให้ตัวตนมาก
ก็จะยิ่งทำให้ใจแย่ลงเลวลงมาก
คนที่ทำด้วยความเห็นแก่ตัวมักจะล่มจม
แต่คนที่ทำเพื่อผู้อื่นมักจะเจริญรุ่งเรือง
ทำสำหรับตนเท่าที่จำเป็นก็พอ ทำให้พอเพียง
ร่างกายถ้ามีปัจจัย ๔ พร้อมบริบูรณ์
ก็ถือว่าพอเพียงแล้ว จิตใจถ้าหลุดพ้น
จากกิเลสทั้งปวงแล้ว ก็ถือว่าพอเพียงแล้ว
เช่นพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านมีพร้อมทั้งทางกายและทางใจ
ทางกายท่านก็มีปัจจัย ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์
ทางใจท่านก็มีมรรคผลนิพพาน
ท่านจึงสามารถทำประโยชน์ให้กับโลกได้มาก
เพราะทุกบาททุกสตางค์
ไม่มีตัวตนเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
ได้มาเท่าไรก็ออกไปเท่านั้น
ถ้าจะเก็บไว้ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเท่านั้นเอง
นอกจากนั้นก็ไม่เคยคิดถึงประโยชน์ของตนเลย
ไม่เหมือนทางโลก ที่หาวัตถุข้าวของต่างๆ
มาบำรุงบำเรอกัน อย่างนี้ไม่มีในใจของผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว
ท่านเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งนั้น เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
ในทุกสิ่งทุกอย่าง ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ในตาหูจมูกลิ้นกาย ในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
เห็นหมดทั้งภายนอกและภายใน ว่าเป็นความทุกข์
ถ้าไปยึดติด แม้แต่ความสุขภายในใจ
ที่มีอยู่ก็เป็นความทุกข์ เพราะยังอยู่ภายใต้กฎ
อนิจจังทุกขังอนัตตา
ไม่ใช่เป็นความสุขของพระนิพพาน
ที่เป็นปรมังสุขัง ปฏิบัติไปแล้วมันจะเห็นหมด
ส่วนหยาบส่วนกลางและส่วนละเอียด
ส่วนหยาบก็ภายนอก รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
แสงสีเสียงต่างๆ ไม่ได้เป็นความสุขเลย
สุขเพียงเล็กน้อยแล้วก็ตามมาด้วยความทุกข์
เป็นภาระ ต้องคอยดูแลรักษา
คอยหวงคอยห่วงคอยกังวล
ต้องร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจเสียดาย
เมื่อต้องสูญเสียไป นี่เป็นของภายนอก
เป็นความสุขทางโลก เป็นความสุขหลอกๆ
เป็นความทุกข์กับจิตใจ เป็นสุขกับกิเลส
เวลาได้สัมผัสรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
กิเลสจะดีใจ เหมือนแมงเม่าเห็นแสงไฟ
จะบินเข้ากองไฟทันที แล้วก็จะถูกไฟเผาตายไป
กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา
ที่ไปกระทบกับจิตใจอย่างรุนแรง
นี้เป็นส่วนหยาบ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ส่วนกลางก็เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
เช่นเวทนาทางกายที่เกิดขึ้น สุข ทุกข์
ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติด
ถ้าละเอียดเข้าไปภายใน ก็คือความสุขภายในจิต
เป็นความสุขที่ละเอียดที่สุด
ต้องมีมหาสติมหาปัญญา ถึงจะรู้ถึงจะเห็นว่า
มันก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เปลี่ยนแปลงได้
สุขแล้วจางหายไปได้ ถ้าอยากจะให้สุขไปตลอดเวลา
ก็จะต้องคอยประคับประคอง ยังต้องทำงานอยู่
ยังต้องรักษาความสุขอันนี้อยู่
ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงจะไม่ต้องรักษา
จะสุขไปตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
พอรู้ทันก็จะปล่อยวาง สุขนี้ก็จะกระจายหายไป
เหลือแต่ความสุขที่อยู่กับความว่าง
นิพพานัง ปรมังสุญญัง นิพพานัง ปรมังสุขัง
เป็นของคู่กัน ความว่างเปล่าที่แท้จริง
กับความสุขที่แท้จริง มันเป็นของคู่กัน
มันเป็นความสุขที่ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรในโลกนี้เลย
ไม่ว่าจะเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
หรือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
เป็นความสุขของธาตุรู้ ของธรรมธาตุ
เป็นความสุขที่พวกเราต้องพยายามไปให้ถึง
เราจึงต้องปล่อยความสุขภายนอก เพื่อเข้าสู่ภายใน.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
........................................
กำลังใจ ๔๓, กัณฑ์ที่ ๓๘๘
วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๑
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ