Group Blog
All Blog
<<< "สักแต่ว่ารู้ตามความเป็นจริง" >>>









“สักแต่ว่ารู้ รู้ตามความเป็นจริง”

ไม่ว่าจะทำทานก็ดี รักษาศีลก็ดี

ถ้าเข้าใจถึงหลักของการทำทาน

 ของการรักษาศีลแล้ว ก็จะไม่ยาก

ถ้าทำไปโดยไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม

ก็จะไปลบล้างความหลงไม่ได้

 ความหลงจะต่อต้าน ให้เสียดาย

หามาแทบเป็นแทบตาย ให้ไปทำไม

ทำไมต้องซื่อสัตย์ ในเมื่อผู้อื่นโกงอยู่ตลอดเวลา

 จะคิดอย่างนี้ ไม่คิดถึงผลที่เกิดกับจิตใจ

ว่าเป็นอย่างไร เวลาให้แล้ว

ใจมันโล่งมันสบายมันสุข

 เวลารักษาศีลได้แล้วมันมีความมั่นคง

 ไม่หวาดวิตกกังวล

มีความภูมิใจในความบริสุทธิ์ของตน

 ถ้าทำผิดแล้วจะไม่มั่นใจ

ถึงแม้ใครจะชมจะยกย่องอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก

 เพราะรู้อยู่ในใจว่า

ไม่ได้เป็นอย่างที่ชมอย่างที่ยกย่อง

 เพราะไม่เห็นธาตุแท้ของเรา

 เห็นส่วนที่เราจัดฉาก เราจึงต้องทำทาน

รักษาศีลบำเพ็ญภาวนา เพราะชีวิตนี้มีไว้

เพื่อทำสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเอง

 ถ้าทำแล้วไม่ช้าก็เร็ว

ก็จะได้ถึงจุดหมายปลายทาง

 หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ได้พบกับความสุขที่แท้จริง

ก็ต้องอาศัยชีวิตร่างกายนี้

ถ้าทุ่มเทเวลาได้มากก็จะไปได้เร็ว

 เวลาที่ใช้ในการปฏิบัติก็จะไม่ยาว

 ถ้าปฏิบัติทีละนิดทีละหน่อย

 เวลาที่ต้องปฏิบัติก็จะยาว

 แทนที่จะเป็น ๗ วันก็เป็น ๗ เดือน

 เป็น ๗ ปี เป็น ๗ ชาติไป

 แต่จะไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่เรื่อยๆ

 ตายจากชาตินี้ไปแล้ว ไม่มีใครรับรองได้ว่า

ชาติหน้าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที

อาจจะต้องไปใช้กรรมที่ไหนก่อน

หรืออาจจะไปรับผลบุญที่ไหนก่อน

 ช่วงนั้นก็จะไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล

 มากเท่ากับการได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 เวลาก็จะหมดไปหมดไป ในขณะเดียวกัน

ก็จะติดนิสัยเชื่องช้าเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น

ทำให้การเดินทางยาวนาน

ความทุกข์ก็มากขึ้นไปเรื่อยๆ

แทนที่จะทุกข์กับภพนี้เพียงภพเดียว

 ก็ต้องไปทุกข์อีกไม่รู้กี่ภพ

เกิดแต่ละครั้งก็ต้องเจอปัญหานี้

 เจ็บไข้ได้ป่วย จะผ่าดีหรือไม่ผ่าดี

แต่ถ้าคิดว่าร่างกายนี้มีไว้เพื่อปฏิบัติธรรม

 ควรใช้มันให้เต็มที่

 ถ้าต้องผ่าเพื่อกลับมาทำงานต่อก็ผ่า

อาจจะใช้โอกาสของการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้

 เป็นเหตุทำให้หลุดพ้นเลยก็ได้

ถ้าพิจารณาปล่อยวางร่างกายนี้ได้อย่างแท้จริง

 ปล่อยให้มันตายไปตามธรรมชาติ

ดูแลรักษาไปตามปกติ หายใจไป ดื่มน้ำไป

 กินข้าวไป กินยาไป ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ตาย

 ก็จะได้บรรลุ เช่นพระราชบิดาของพระพุทธเจ้า

 รายละเอียดไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร

 แต่ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงไปโปรด

ตอนที่ใกล้จะสวรรคต ตอนที่ประชวรหนัก

 ทรงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ๗ วันก่อนเสด็จสวรรคต

 พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

วิกฤตก็คือความใกล้ตาย คนเราบางทีจะปล่อยได้

 จะเห็นธรรมะได้ ก็ตอนที่ใกล้ตายนี่เอง

 พอมีคนมาคอยแนะคอยสอนวิธีปล่อยให้เท่านั้นเอง

 พอเข้าใจ พอปล่อยได้ จิตก็หลุด

จิตมันติดกับร่างกาย เหมือนมีกาวตราช้างยึดติดไว้

 ต้องเอาธรรมะมาละลายอุปาทาน

ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕

ในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

เพราะในขณะนั้นต้องปล่อยทั้งหมด

ทั้งรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

รูปก็ต้องปล่อย พิจารณาว่าเป็นแค่ดินน้ำลมไฟ

 เวทนาก็ต้องปล่อย จะทุกข์ขนาดไหน

ก็ปล่อยให้ทุกข์ไป อย่าไปอยากให้มันหาย

จะเป็นทุกขเวทนาก็ให้เป็นไป

จะเป็นสุขเวทนาก็ให้เป็นไป

 จะเป็นไม่สุขไม่ทุกขเวทนา

ก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน

อย่าไปอยากให้มันสุขไปตลอด

 ถ้าอยากก็จะสร้างความทุกข์ซ้อนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง

 คือทุกข์ในอริยสัจ ๔ ทุกข์ที่เกิดจากสมุทัย

ความอยากหรือไม่อยาก อยากให้ทุกข์หายไป

 หรือไม่อยากจะเจอทุกข์ ที่เกิดจาก

ความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

 ทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสียร่างกายไป

 ทุกข์ที่เกิดจากความอยาก

 เกิดจากอุปาทานความยึดติด

 ถ้าไม่มีธรรมะจะมีทุกข์นี้ซ้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 เป็นทุกข์ที่ทรมานรุนแรง มากกว่า

ทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

 ทุกข์ที่เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย

 ก็เหมือนกับตอนที่นั่งสมาธิ เจ็บปวดตามร่างกาย

 แต่ที่รู้สึกทุกข์มากกว่านั้น

 ก็เพราะใจอยากให้มันหาย

 อยากจะหนีจากความทุกข์นั้นไป

ก็เกิดความทุกข์ทรมานขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง

 ซึ่งรุนแรงกว่าความเจ็บปวดของร่างกาย

 เพราะบางเวลาเราก็ทนนั่งได้

 เช่นเวลานั่งดูหนัง นั่งเล่นไพ่นี้ นั่งได้ทั้งคืน

 ไม่อยากจะลุก มันก็เจ็บเหมือนกัน

 แต่ใจไม่มีความอยากลุก

 ไม่มีความอยากให้ความเจ็บหายไป

 เพราะมีสิ่งอื่นมาล่อใจอยู่

เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่กำลังดูกำลังสัมผัสอยู่

 ความทุกข์ในอริยสัจ ๔ ที่เกิดจากความอยาก

 จึงไม่เกิด ทำให้นั่งได้ทั้งคืนทั้งวัน

หรือเวลานั่งรถนี่ ถ้ารถวิ่งอยู่นั่งเท่าไหร่ก็นั่งได้

 พอรถจอดนี่นั่งได้เดี๋ยวเดียว

จะรู้สึกหงุดหงิดกระสับกระส่าย

เพราะไม่มีอะไรให้ดู

เวลารถวิ่งไปมีอะไรให้ดูอยู่เรื่อยๆ

มีรูปต่างๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็เพลิดเพลินไป

 ความอยากคือสมุทัยจึงไม่เกิดขึ้นมา

 ก็นั่งได้อย่างสบาย

ปัญหาของพวกเราอยู่ที่ความทุกข์ใจนี่เอง

 ทุกข์ที่เกิดจากความอยาก

 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกาย

 เราจึงต้องมาฝึกทำใจให้รับกับความทุกข์

ทางร่างกายให้ได้ เวลานั่งสมาธิแล้ว

เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ก็อย่าไปขยับมัน

 ปล่อยให้มันเจ็บไปตามเรื่องของมัน

มันเจ็บของมันเองได้ก็ให้มันหายของมันเองได้

 ไม่ต้องไปทำอะไร

เชื่อในหลักของไตรลักษณ์คืออนิจจัง

ไม่ว่าอะไรก็ตาม มีการเกิดขึ้น

ตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา

 เมื่อสักครู่นี้ไม่มีทุกขเวทนา

 ตอนนี้มีทุกขเวทนาเกิดขึ้นแล้ว

เดี๋ยวทุกขเวทนาก็ต้องดับไปเอง

ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของเขา

 พิจารณาให้เห็นว่าการปล่อยวาง

ดีกว่าการไปยุ่งกับมัน

 เพราะเวลาเราไปยุ่งไปอยากให้มันหาย

จะเพิ่มความทุกข์ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง

 นี่คือความทุกข์ที่เราต้องการที่จะดับ

 ซึ่งเราดับได้ด้วยปัญญา เมื่อเห็นชัดแล้วว่า

 อยู่เฉยๆปล่อยให้เป็นตามเรื่องของเขา

 ความทุกข์กลับไม่รุนแรงเท่ากับ

เวลาที่อยากให้มันหายไป

ต้องพยายามหาอุบายทำไม่ให้ใจอยาก

จะบริกรรมพุทโธๆไปก็ได้

อย่าให้ใจคิดถึงความเจ็บของร่างกาย

 ให้อยู่กับพุทโธ เหมือนกับเวลาเราดูหนัง

 ก็อยู่กับการดูหนัง

ความเจ็บปวดของร่างกายจะไม่มารบกวนใจ

 เราก็อย่าให้ความเจ็บปวดของร่างกายมารบกวนใจ

 ด้วยการบริกรรมพุทโธๆไป หรือสวดมนต์ไป

 เพื่อไม่ให้ใจไปคิดถึงความเจ็บปวดของร่างกาย

จะพิจารณาดูร่างกายแยกออกมาเป็นส่วนๆ

 แยกกายออกจากเวทนาจากจิตก็ได้

ให้เห็นว่าเป็นคนละส่วนกัน ให้เห็นว่า

ร่างกายเป็นเพียงดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง

 เป็นเหมือนศาลาหลังนี้

มันก็ตั้งอยู่ของมันได้มาหลายปีแล้ว

 ไม่เห็นมันเดือดร้อนอะไร

 ร่างกายเป็นเหมือนศาลา

นั่งเพียงชั่วโมง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น

 จะไปเดือดร้อนอะไร มันไม่เดือดร้อน

 ผู้ที่เดือดร้อนไม่ใช่กาย ผู้ที่เดือดร้อนคือใจ

 ใจไปเดือดร้อนกับความเจ็บปวด

ที่เกิดขึ้นจากการนั่งเท่านั้นเอง

ต้องแยกว่าหน้าที่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของใจ

ใจไม่มีหน้าที่มายุ่งกับร่างกาย

 ใจมีหน้าที่รับรู้ว่าร่างกายเป็นอย่างนี้

 แล้วปล่อยวางตามความเป็นจริง

 เหมือนกับปล่อยวางศาลาหลังนี้

 เราไม่ยุ่งกับศาลาหลังนี้ เราก็ไม่วุ่นวาย

ถ้านั่งคิดว่ามันจะพัง ใจก็จะวุ่นวายขึ้นมา

 ถ้าไม่คิดไม่กังวลกับมันเราก็นั่งได้อย่างสบาย

 ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน

 มันจะเจ็บจะปวดอย่างไร

 ก็ปล่อยให้มันเจ็บไป

 ร่างกายไม่รู้เรื่องความเจ็บปวด

 เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนซุง

 ถ้ามันรู้ เวลาตายไปเอาไปเผา มันคงดิ้นน่าดู

 แต่มันไม่ดิ้น ตัวที่ดิ้นก็คือใจ

เมื่อไม่มีใจอยู่ในร่างกายแล้วมันก็ไม่ดิ้น

 จะเอาไปสับเอาไปฟัน มันก็ไม่รู้เรื่อง

เราต้องปล่อยวางร่างกาย

คิดว่าเป็นเหมือนซากศพแล้ว

 จะเป็นอะไรก็ให้เป็นไป

 ทุกขเวทนาที่เกิดจากร่างกาย

ก็ปล่อยให้มันเป็นไป เราไปบังคับให้มันเป็นไป

ตามความต้องการของเราไม่ได้ เราก็คือใจ

 เพียงแต่ให้รู้ไว้เท่านั้นเอง ใจเป็นผู้รู้

 หน้าที่ของผู้รู้ก็คือรู้อย่างเดียว

 อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเขา

 ที่มีปัญหามีความทุกข์กันทุกวันนี้

เพราะไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นกัน

อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น

 อยากให้เขาเป็นอย่างนี้

 อยากจะได้สิ่งนั้นอยากจะได้สิ่งนี้

 เป็นเรื่องของใจทั้งนั้น

 ที่ไปสร้างปัญหาให้กับตัวเอง

 ใจไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องยุ่งกับอะไร

จะมีความสุขมากกว่า

เพียงแต่สักแต่ว่ารู้เท่านั้นเอง

 ให้รับรู้ตามความเป็นจริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

กำลังใจ ๓๘, กัณฑ์ที่ ๓๗๘

วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2561 4:57:25 น.
Counter : 563 Pageviews.

1 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอน่าจอมซ่าส์

  
จะไปเดือดร้อนอะไร มันไม่เดือดร้อน

ผู้ที่เดือดร้อนไม่ใช่กาย ผู้ที่เดือดร้อนคือใจ
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 14 พฤศจิกายน 2561 เวลา:6:07:20 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ