หน้าที่ของปัญญา
ชาตินี้เราได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา
จึงถือว่าเป็นโอกาสอันเลิศอันประเสริฐ
เพราะมีธรรมะมีแสงสว่างนำทาง มีแผนที่บอกทาง
ให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง มีธรรมะคอยเตือนใจ
คอยสอนใจ ไม่ให้หลงระเริงไปกับการหยุดพักผ่อน
ตามสถานีบริการ เพราะเป็นความสุขเพียงชั่วคราว
พอออกเดินทางต่อไปความสุขต่างๆก็จะหมดไป
ถ้าไม่มีแผนที่ ไม่มีธรรมะบอกทาง
เราก็จะหลงทางวนเวียนกลับมาที่เก่า กลับมาเกิดใหม่
กลับมาแก่มาเจ็บมาตายใหม่
กลับมาหลงกับความสุขเล็กๆน้อยๆ
ที่ได้จากการมีร่างกาย มีตาหูจมูกลิ้นกาย
ที่ใช้เสพความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ที่เป็นความสุขเพียงเล็กน้อย
ที่มีความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่แถมมาด้วย
เพราะเป็นความสุขชั่วคราว
ที่ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอ
ที่สร้างความอยากใหม่ให้เกิดขึ้นอีก
เวลาเกิดความอยากก็จะเกิดความทุกข์ใจ
เกิดความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย
ไม่สบายใจ ที่ทำให้ต้องเสพ
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอยู่เรื่อยๆ
เป็นเหมือนติดยาเสพติด ต้องเสพอยู่เรื่อยๆ
ถึงจะมีความสุข เวลาไม่ได้เสพ
ก็จะเศร้าสร้อยหงอยเหงา หงุดหงิด ไม่สบายใจ
ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
เพราะความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทุกข์นั่นเอง
ทุกข์ที่เกิดจากความอยาก เกิดจากความหิวของใจ
ที่ไม่มีวันอิ่มไม่มีวันพอ กับการเสพ
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
เวลาที่ได้มาเกิดในโลกที่ไม่มีธรรมะ
ก็จะหลงกับการแสวงหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
เพื่อให้ความสุขกับตน เพราะไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่า
เป็นความทุกข์มากกว่าเป็นความสุข
ชีวิตของมนุษย์ที่ไม่มีธรรมะ
ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้
จะเป็นชีวิตที่มีความสุขเล็กๆน้อยๆ
กับการได้เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
และมีความทุกข์มากๆเวลาไม่ได้เสพ
แต่พอมีพระพุทธศาสนามาปรากฏ
ก็จะมีผู้บอกให้รู้ว่า การเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้
เป็นโทษ ไม่ใช่เป็นคุณ เพราะต้องเสพอยู่เรื่อยๆ
เวลาที่ไม่ได้เสพก็จะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ
จึงควรหยุดเสพ ควรหาความสุขที่เสพได้ตลอดเวลา
โดยที่ไม่ต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นเครื่องมือ
ก็คือความสุขที่ได้จากการภาวนา การทำใจให้สงบ
ด้วยการเจริญสติ ควบคุมความคิดปรุงแต่ง
พอจิตใจสงบแล้ว ก็จะพบกับความสุข
ที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลาย เป็นความสุข
ที่เราสามารถผลิตขึ้นมาได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเวลาใด ไม่ว่าร่างกายจะอยู่ในสภาพใด
เป็นปกติหรือเจ็บไข้ได้ป่วย มีทรัพย์หรือไม่มีทรัพย์
ความสุขที่เกิดจากการเจริญสติทำใจให้สงบนี้
ไม่ต้องใช้ร่างกาย ไม่ต้องใช้เงินทองเป็นเครื่องมือ
เช่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยต้องนอนอยู่บนเตียง
ก็ยังสามารถภาวนาได้ เจริญสติได้ ทำใจให้สงบได้
มีความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้
นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ถาวร
ความสุขที่เอาติดตัวไปด้วยได้
ใจสามารถนำความสุขนี้ไปได้
เวลาที่จะต้องออกจากร่างกายไป
ความสุขนี่แหละที่จะเป็นบ้านของเรา
ถ้ารักษาความสุขนี้ให้อยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้หมดไป
ด้วยการภาวนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเจริญสติ
เพื่อทำให้เกิดสมาธิ แล้วก็ใช้ปัญญา
รักษาสมาธิรักษาความสงบ
เวลาที่จิตออกมารับรู้เรื่องราวต่างๆ
มารับรู้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
มารับรู้เรื่องความคิดปรุงแต่งต่างๆ
ก็ให้ปัญญาคอยสกัด ไม่ให้กิเลสมาหลอกมาล่อ
ให้ไปผลิตความทุกข์ขึ้นมาภายในใจ
ถ้ามีปัญญาก็จะสามารถระงับ
ความโลภความอยากต่างๆได้
เพราะปัญญาจะชี้บอกให้เห็นว่าสิ่งที่โลภที่อยากนั้น
ไม่ได้เป็นความสุข เป็นความสุขเพียงเล็กน้อย
แต่เป็นความทุกข์เสียมากกว่า
เวลาอยากหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ปัญญาก็จะบอกว่า เป็นเหมือนเสพยาเสพติด
เสพแล้วจะไม่อิ่มไม่พอ
กลับจะหิวจะอยากเสพมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เวลาไม่ได้เสพก็จะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ
นี่คือหน้าที่ของปัญญาที่จะคอยสอนใจ
ให้เห็นว่าสิ่งที่อยากจะเสพนั้น ไม่เที่ยง ไม่อิ่มไม่พอ
ไม่สามารถสั่งให้มีอยู่ได้ตลอดเวลา
บางเวลาก็มี บางเวลาก็ไม่มี
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่นิ่ง
ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเจริญมีเสื่อม มีมามีไป
นี่คือหน้าที่ของปัญญา
ที่จะคอยสอนใจไม่ให้ไปอยากกับสิ่งต่างๆ
ไม่ให้อยากกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ไม่ให้อยากกับลาภยศสรรเสริญ
ไม่ให้อยากมีอยากเป็น ไม่ให้อยากไม่มีอยากไม่เป็น
เพราะความอยากเหล่านี้จะทำลายความสงบ
ทำลายสมาธิที่ได้จากการเจริญสติ
พอปรุงแต่งไปในทางสมุทัย ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมา
ความสุขที่ได้จากความสงบก็จะถูกทำลายไป
แต่ถ้ามีปัญญามาสกัดทุกครั้งที่เกิดความอยาก
ก็จะระงับความอยากได้ ความสงบก็จะกลับคืนมา
ถ้าปัญญาทันกับความอยาก ทันกับกิเลสทุกประเภท
ก็สามารถสกัดความอยาก สกัดกิเลสทุกประเภทได้หมด
พอไม่มีกิเลสไม่มีความอยาก มาผลิตความทุกข์ให้กับใจ
ใจก็จะมีความสุขไปตลอดเวลา
ใจได้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถึงบ้านแล้ว
บ้านที่มีความสุขทุกรูปแบบ ก็คือปรมังสุขังนี่เอง.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
............................
กำลังใจ ๖๑,กัณฑ์ที่ ๔๕๔
วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ