Group Blog
All Blog
<<< "ทางที่จะนำไปสู่ความสุข" >>>










"ทางที่จะนำไปสู่ความสุข"

พุทโธนี้มีค่ามากกว่าเงินทองกองเท่าภูเขาเสียอีก

 หาได้ง่ายกว่าเสียอีก กลับไม่หากัน

ชอบไปหาของยากๆกันทำไม

ของง่ายๆอยู่กับตัวเราอยู่กับใจเรา

 กลับไม่หากัน ลองพูทโธ พุทโธ ดูสิ

 รับรองได้ว่าถ้าเราสามารถ

มีแต่พุทโธอยู่ในใจเราเพียงอย่างเดียว

 เราจะพบกับความสุขที่ดีกว่าความสุข

ที่เราจะได้จากการมีปราสาทสามฤดู

 มีบ้านอยู่ต่างประเทศ มีบ้านอยู่ที่อเมริกา

 มีบ้านอยู่สวิตเซอร์แลนด์ มีบ้านอยู่ที่กรุงเทพ

เพราะกว่าจะไปถึงบ้านหลังนั้น

ก็เหน็ดเหนื่อยต้องเดินทางกัน

ต้องไปทำหนังสือ ทำพาสปอร์ต ทำวีซ่า

 ต้องจองตั๋วเครื่องบิน อะไรมากมาย

 ไปถึงก็ต้องไปทำความสะอาดบ้านอีก เหนื่อยอีก

ถ้าไม่ทำก็ต้องไปจ้างเขามาทำอีก

 ความสุขที่พวกเราหากันนี้

เป็นความสุขที่แสนจะเหนื่อยแสนที่จะยาก

 แต่ความสุขที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้

เป็นความสุขที่แสนจะง่าย

 แต่พวกเรากลับเห็นว่ามันแสนจะยาก

 เพียงแต่ให้บริกรรมพุทโธ พุทโธ

 คำเดียวนี้จะตายให้ได้

 บริกรรมได้สองสามคำ หายไปละ ไม่รู้ไปไหนละ

ไปคิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ละ คิดถึงขนมละ

 ถึงเครื่องดื่มละ มันเป็นอย่างนี้

พวกเราเลยต้องมาติดอยู่ในกองทุกข์กัน

 ติดอยู่ในกองทุกข์แห่งลาภยศสรรเสริญ

 แห่งรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 แล้วไม่ใช่ทุกข์แต่เฉพาะชาตินี้เท่านั้น

 ตายไปก็กลับมาเกิดใหม่ แล้วก็กลับมาหามันอีก

 แล้วก็กลับมาทุกข์กับมันอีก แต่ชาตินี้พวกเราโชคดี

 เราได้มาพบเจอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ที่ได้รู้ความจริงว่ามีความสุขที่ง่ายกว่า ที่ดีกว่า

 ที่ถาวร ที่ไม่มีความทุกข์

คือความสุขจากการทำใจให้สงบ

 ให้เรามาหาความสุขแบบนี้กัน

 ถ้าเราสามารถทำได้แล้วหาได้แล้ว

เราจะสบายไปตลอด

เราจะไม่ต้องกลับมาหาความสุข

แบบที่เราหากันอยู่อย่างนี้อีกต่อไป

เราไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้

มาหลั่งน้ำตาอย่างที่เรากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่า ปริมาณน้ำตาที่เราหลั่ง

ในแต่ละภพแต่ละชาตินี้ ถ้ามารวมกันแล้วนี้

 มันมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก

คิดดูสิว่าเราร้องไห้กันมา ทุกข์กันมา

มากน้อยเพียงไร

 ขนาดน้ำตานี้มากกว่าน้ำในมหาสมุทร

นี่แหละ คือความทุกข์ที่พวกเรากำลังหากัน

 และจะหาต่อไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด

 ถ้าเราไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

หรือถ้าพบแล้วเราไม่ทำตาม

ที่พระพุทธศาสนาสอนให้เราทำกัน

แต่ถ้าเราได้มาพบศาสนา แล้วเราเชื่อ

ในคำสอนของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

 แล้วเราน้อมนำเอาไปปฏิบัติ รับรองได้ว่า

เราจะไม่ต้องมาหลั่งน้ำตากันอีกต่อไป

ไม่ต้องมาทุกข์ ไม่ต้องมาเศร้าโศกเสียใจ

เพราะพระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวก

ท่านเป็นผู้พิสูจน์แล้ว ท่านเป็นผู้รับประกันแล้วว่า

 ผู้ใดที่ปฏิบัติในแนวทางนี้

จะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้

 บางคนก็สามารถหลุดได้ภายในเจ็ดวันก็มี

 บางคนก็หลุดได้ภายในเจ็ดเดือน

บางคนก็เจ็ดปีเป็นอย่างมาก

นี่คือคำรับประกันของสินค้าของพระพุทธศาสนา

 มีมาตรฐาน อมก. (มอก.) ใครเป็นผู้รับรอง

ก็คือพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

ดูครูบาอาจารย์ที่เราไปกราบไหว้

มีองค์ไหนที่ไม่รับรองไหม

ทุกคนรับรองว่าทางนี้แหละทางเลิศทางประเสริฐ

 ทางที่จะนำไปสู่ความสุข นิพพานัง ปรมัง สุขขัง

 นำไปสู่ความบรมสุขของพระนิพพาน

 อยู่ที่การทำการควบคุมจิตใจของเรานี่เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 ตุลาคม 2561
Last Update : 18 ตุลาคม 2561 9:08:04 น.
Counter : 345 Pageviews.

0 comment
<<< "ให้มีจาคะคือการเสียสละ" >>>









"ให้มีจาคะ คือการเสียสละ”

เพราะคนเรามีสติปัญญาความสามารถต่างกัน

คนที่มีปัญญาน้อย

ก็จะเห็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไร้คุณค่า

 คนที่มีปัญญาถึงจะรู้คุณค่า

เพราะพระธรรมของคำสอนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก

ที่จะเข้าใจได้ เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม

กับความรู้สึกของสัตว์โลกทั้งหลาย

ที่เห็นวัตถุข้าวของเงินทองเป็นสิ่งที่วิเศษ

เป็นสิ่งที่ดี ที่นำความสุขมาให้

แต่ไม่เห็นสิ่งที่เลวร้ายที่ซ่อนอยู่กับความวิเศษ

 คือความทุกข์ต่างๆที่ตามมา

 เพราะจะต้องกังวล ต้องห่วง ต้องหวง

 ต้องเสียดายเสียใจเมื่อสิ่งของต่างๆ

 บุคคลต่างๆ ที่ได้มาต้องจากไป

 เพราะไม่เป็นเหมือนเดิมไปตลอดเวลา

 มีการเปลี่ยนแปลง

 มีการพลัดพรากจากกันไปในที่สุด

 นี้คือสิ่งที่เราคิดว่าวิเศษวิโสกัน

ที่เราแสวงหากัน จึงไม่เห็นคุณค่า

ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่ทรงสอนให้ตัด ให้ละ ความโลภ

ความอยากได้สิ่งต่างๆมากเกินความจำเป็น

เพราะมีเท่าที่จะดูแลอัตภาพร่างกาย

ให้อยู่ได้อย่างสบายก็พอแล้ว

มีมากไปกว่านั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 แต่จะกลายเป็นภาระทางจิตใจไป

เพราะจะต้องคอยดูแลรักษา

 ต้องคอยกังวลคอยห่วงคอยหวง

 เพราะสมบัติของเรามีหน้าที่รับใช้เรา

คือดูแลอัตภาพร่างกายของเรา

ให้อยู่อย่างสะดวกอย่างสบาย

 แต่ถ้ามีมากเกินไปก็แสดงว่าเราไม่ฉลาด

ไม่มีปัญญา เราก็จะกลายเป็นคนรับใช้สมบัติต่างๆไป

 เพราะจะต้องมาคอยดูแลรักษา คอยห่วงคอยกังวล

แต่คนที่มีปัญญาคนฉลาดจะรู้จักใช้สิ่งต่างๆเหล่านั้น

ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ และไม่ให้เป็นภาระทางจิตใจ

 ส่วนใดที่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้

 เพื่อดูแลรักษาอัตภาพชีวิตร่างกายก็เก็บไว้

ส่วนที่เหลือก็ไม่เก็บไว้ให้เป็นภาระ

 เอาไปจำหน่ายจ่ายแจก ไปสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์

 เพื่อนสัตว์ร่วมโลก ดีกว่าเก็บไว้ไม่ได้ทำประโยชน์

 เพราะจะนำมาซึ่งความทุกข์ ความกังวลใจต่างๆ

นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า

ที่ทรงสอนให้พวกเราปฏิบัติกัน

ให้มีจาคะ คือการเสียสละ

 ถ้าไม่มีจาคะไม่มีการเสียสละ

 เราจะไม่สามารถเดินตามแนวทาง

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนได้

เราก็จะไม่ได้รับประโยชน์คือความสุข

ที่เกิดจากการปฏิบัติตาม

 เพราะความตระหนี่ความหวงแหน

จะเป็นศัตรูต่อจาคะการเสียสละ

 แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อมั่น

ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

 เราก็ต้องกล้าที่จะเสียสละ

ในเมื่อสิ่งที่เรามีอยู่นั้น

ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว

 เราก็จะรู้ว่าไม่ได้ทำให้เรามีความสุข

มากขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่

หมดไปก็ไม่ทำให้เราเดือดร้อนอย่างไร

 มีไว้กลับเป็นภาระ เป็นเหตุที่จะสร้างความกังวลใจ

 สร้างความห่วงใย สร้างความเสียอกเสียใจ

 เวลาที่ต้องสูญเสียไป แล้วไม่ช้าก็เร็ว

สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป

 เพราะโลกนี้ไม่ได้เป็นโลกที่จิรังถาวรยั่งยืน

 เรามาแล้วเดี๋ยวเราก็ต้องไป

จะไปด้วยความสุขหรือไปด้วยความทุกข์

ก็อยู่ที่ว่ามีจาคะหรือไม่

ถ้ามีก็จะไปอย่างสบายอย่างสุขใจ

 ไปสู่ที่ดี ไปสู่สุคติ ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์

เป็นเทพ เป็นพรหม

ถ้าไปแบบเสียอกเสียใจเสียดายอาลัยอาวรณ์

เพราะต้องจากสิ่งที่รักไป ก็จะไปสู่ที่ไม่ดี

ไปสู่ทุคติ ไปสู่อบาย

เพราะความทุกข์ของจิตใจเป็นเหตุ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

กำลังใจ ๒๕, กัณฑ์ที่ ๒๖๔

วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 ตุลาคม 2561
Last Update : 17 ตุลาคม 2561 8:33:44 น.
Counter : 530 Pageviews.

0 comment
<<< "ฆ่ากิเลสแล้วจะไปนิพพาน" >>>










"ฆ่ากิเลสแล้วจะไปนิพพาน"

หน้าที่ของเราก็คือฆ่ามัน ฆ่ากิเลส

 ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ติดคุก ไม่ไปนรก ไม่ไปอบาย

 ฆ่ากิเลสแล้วจะไปนิพพาน

ไม่ชอบฆ่ากันกิเลส ชอบไปฆ่าคนอื่นเหรอ

 ชอบฆ่ากิเลสของคนอื่น

ฉะนั้น ต้องพยายามหยุดความอยากต่างๆ ให้ได้

ความอยากนี้เป็นตัวทำให้เกิดความเครียด

ความทุกข์ต่างๆ ขึ้นมา ถ้าเราไม่มีกำลัง

เราก็ต้องออกไปหาที่สร้างกำลัง

ที่ๆ เราอยู่นี้ไม่ได้เป็นที่สร้างกำลัง

แต่เป็นที่สร้างความอยากกัน

 เราต้องไปอยู่ที่ๆ เสริมสร้างกำลัง

ที่จะต้องมาหยุดความอยาก ก็คือต้องที่วิเวก

 ที่อยู่คนเดียว ที่ห่างไกลจากทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทอง ห่างไกลจากบุคคลต่างๆ

 ห่างไกลจากเรื่องราวต่างๆ

เราก็จะได้สร้างกำลังสร้างสติ

สติเป็นเหมือนเบรค

เบรคที่จะหยุดความอยากต่างๆ

 ในเบื้องต้น ถ้ามีสติแล้ว

ขั้นต่อไปก็สามารถที่จะสร้างปัญญาขึ้นมา

เพื่อมาถอดถอนรากของความอยาก

 พอรากของความอยากถูกถอนไปแล้ว

 ทีนี้ความอยากก็จะหมดไป

สตินี้เพียงแต่กดเอาไว้ กดความอยากเอาไว้

 พอเผลอสติ พอปล่อยให้ใจคิดปั๊บ

ความอยากก็ไหลตามออกมา

พอมันไหลตามออกมา

ถ้าอยากจะให้มันหายไปหมดไปก็ต้องใช้ปัญญา

 ถอนรากของความอยาก

 รากของความอยากก็คือความไม่รู้

ว่าการทำตามความอยากนำไปสู่ความทุกข์ต่างๆ

 แล้วพอเราเห็นว่า การทำตามความอยาก

ทำให้เราต้องทุกข์ เราก็จะได้ไม่ทำ

 พอเราไม่ทำตามความอยาก

 ความอยากก็จะหมดกำลังไป

 แล้วเราก็จะไม่มีอะไรมาทำให้เราต้องทุกข์

ทำให้เราต้องเสียใจทำให้เราต้องโกรธ

ทำให้เราต้องน้อยเนื้อต่ำใจน้อยอกน้อยใจ

ทำให้เราไม่ต้องมากังวล ไม่ต้องวิตก

ไม่ต้องหวาดกลัวกับอะไรต่างๆ

 นี่อยู่แค่ตรงนี้เอง อยู่ระหว่างปัญญากับสติ

 ที่จะมาหยุดความอยาก

ที่จะมาถอดถอนรากของความอยาก

 คือความหลง ความหลงก็คือ

เราเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราว่าเป็นของเรา

 เห็นสิ่งที่เรา ไม่สามารถที่จะไปควบคุมบังคับได้

ว่าสามารถควบคุมบังคับได้

มันเลยทำให้เราทุกข์กับสิ่งต่างๆ

 ทุกข์เพราะเราอยากให้สิ่งที่ไม่เที่ยงมันเที่ยง

 ทุกข์กับร่างกายเพราะเราอยาก

ให้ร่างกายไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

 แต่มันก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไป

 เวลาแก่ก็ไม่สุขแล้ว

 เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่สุขแล้ว

 เวลาตายก็ไม่สุข แต่เรามองไม่เห็นว่า

เราไม่สามารถที่จะไปห้ามร่างกาย

ไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายได้

ถึงต้องสอนใจอยู่เรื่อยๆ ว่าร่างกายมันต้องแก่

ต้องเจ็บต้องตาย เป็นธรรมดา

แสดงว่านี่คืออนิจจัง ไม่เที่ยง

ล่วงพ้นความแก่ความเจ็บความตายไปไม่ได้

 หรืออนัตตา ไปทำให้มันไม่แก่

ไม่เจ็บไม่ตายไปไม่ได้

ร่างกายนี้เราไปสั่งมันไม่ได้ สั่งได้บางอย่าง

 สั่งได้ในสิ่งที่มันไม่สำคัญอะไร

 สั่งให้มันเดินสั่งให้มันนอน

สั่งให้มันนั่ง แบบนี้สั่งได้

 แต่ไปสั่งเรื่องที่สำคัญๆ นี้สั่งไม่ได้

 สั่งให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายสั่งไม่ได้

ที่เราต้องมาคิดอย่างนี้บ่อยๆ

 เราจะได้เห็นความจริง ว่ามันไม่เที่ยง

 มันไม่อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับของเรา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 ตุลาคม 2561
Last Update : 16 ตุลาคม 2561 4:49:41 น.
Counter : 442 Pageviews.

0 comment
<<< "ปัญหาีที่ต้องแก้คือปัญหาของใจ" >>>










“ปัญหาที่ต้องแก้คือปัญหาของใจ”

ปัญหาต่างๆในโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยธรรมชาติ

 หรือว่าภัยที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องปกติ

 เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะต้องเกิด

 เราไม่สามารถที่จะไประงับยับยั้งมันได้

ไม่มีพระพุทธเจ้าแม้แต่พระองค์เดียว

มาตรัสรู้แล้วจะมาแก้ไขปัญหาของทางโลก

ไม่เคยมาห้ามไม่ให้พายุเกิด

ไม่เคยมาห้ามไม่ให้มีสงคราม

 ท่านไม่ได้มาแก้ปัญหาเหล่านี้

เพราะมันไม่ใช่เป็นปัญหาที่จะต้องแก้

 ปัญหาที่ต้องแก้ที่แท้จริงก็คือ

ปัญหาของใจของคนเรานี้เท่านั้นเอง

ถ้าคนเราทุกคนแก้ปัญหาของเราได้แล้ว

รับรองได้ว่าปัญหาของคนจะไม่มี

คนเราจะไม่ทะเลาะเบาะแว้ง จะไม่มีสงคราม

 จะไม่มีเรื่องวุ่นวายต่างๆที่เกิดจากคน

 ที่มีปัญหาวุ่นวาย

เพราะเราไม่มาแก้ปัญหาในใจของเรา

 ปัญหาในครอบครัวมันไม่น่าจะเกิด

มันยังเกิดขึ้นได้เลย

ทั้งๆที่ทุกคนที่อยู่ในครอบครัว

ก็รักกันจะตาย แต่ก็ยังเกิดขึ้นมาก็เพราะกิเลส

 ความอยากของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

 คนหนึ่งอยากจะทำอย่างนี้

คนนี้อยากจะทำอย่างนั้น

 ทำไปแล้วก็ไปสร้างความเดือดร้อน

ให้คนนั้นคนนี้เข้า ก็เลยเป็นปัญหาขึ้นมา

ดังนั้น ถ้าเรามีธรรมะ

 แล้วเอาเข้ามาแก้ไขปัญหาในใจของเราได้

รับรองได้ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนกับใคร

 เราจะไม่มีปัญหาอะไรกับใครทั้งสิ้น

 เพราะปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ตัวเราเป็นหลัก

 เมื่อเราไม่มีปัญหาแล้วใครจะมีปัญหากับเรา

 เราก็ไม่มีปัญหากับเขา

ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก

ถ้าเราทำตัวเป็นเหมือนกับเสา

ใครเขาจะมาด่าเรา มันก็เหมือนกับด่าเสา

เราไปนั่งด่าเสาดูสักพักหนึ่ง

 เดี๋ยวเราก็เมื่อยเองแหละใช่ไหม

 พอเขาด่าเรากลับมา

เราก็แสดงอาการไม่พอใจด่ากลับไป

 ก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา

 จึงขอให้เราใช้เวลาของชีวิตนี้

ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

 ด้วยการมาชำระกาย วาจา ใจของเรา

 ดูแลรักษาใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์

 เหมือนกับใจของพระพุทธเจ้า

 แล้วการเกิดมาเป็นมนุษย์

ได้มาเจอพระพุทธศาสนาจะได้คุ้มค่า

 เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................................

กำลังใจ ๒๔, กัณฑ์ที่ ๒๓๘

วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙








ชอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 ตุลาคม 2561
Last Update : 15 ตุลาคม 2561 4:58:16 น.
Counter : 434 Pageviews.

0 comment
<<< "เรื่องของใจไม่เหมือนเรื่องของกาย" >>>










“เรื่องของใจ

  ไม่เหมือนเรื่องของกาย”

ให้รู้ทันว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ ล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

 คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน

 ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้วก็จะไม่หลงกับสิ่งต่างๆ

จะไม่อยากให้สิ่งต่างๆอยู่ไปนานๆ

 เพราะไม่มีอะไรอยู่ไปได้ตลอด

 ร่างกายก็อยู่ไปไม่ตลอด ๘๐ ๙๐ ปีก็ต้องตายไป

 ร่างกายของคนอื่นก็เช่นเดียวกัน

 ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ

ก็ต้องหมดไปเมื่อเราตายไป นี้คือความไม่เที่ยง

ของสิ่งต่างๆที่เรามองไม่เห็นกัน เพราะไม่คิดกัน

ไม่กล้าคิด เพราะกลัวว่า

คิดแล้วจะตายตามความคิดไป

 นี้เป็นความคิดของคนโง่

คนจะตายไม่ตายไม่ได้อยู่ที่คิดหรือไม่คิด

 มีใครไม่ตายบ้างจากการไม่คิดถึงความตาย

ก็ตายด้วยกันทั้งนั้น

 มีแต่คนที่คิดนี้แหละที่จะไม่ตาย

เพราะจะไม่ไปเกิดอีกต่อไป

คนที่คิดจะรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตาย

 ก็จะไม่ยึดไม่ติดกับร่างกาย

จะไม่ไปแสวงหาร่างกายใหม่อีก

 เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะได้มากี่ร่าง ก็ต้องตายทุกร่าง

จึงไม่ไปหาร่างใหม่ เช่นพระพุทธเจ้า

กับพระอรหันตสาวกทั้งหลายท่าน

 หลังจากร่างกายของท่านตายไปแล้ว

ท่านก็ไม่ไปหาร่างใหม่อีกต่อไป

 เพราะท่านคิด ท่านรู้ทันว่า เกิดมาแล้วต้องตาย

 ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อย่าไปเกิด

 ถ้าไม่อยากจะตายก็อย่าไปเกิด

แต่พวกเราไม่คิดกัน

เวลาตายไปแล้วก็ยังอยากจะไปเกิดอีก

 พอไปเกิดแล้วก็ไม่อยากจะตาย

 แต่ก็หนีความตายไม่พ้น

 พอตายแล้วก็อยากจะไปเกิดอีก

ก็จะเป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป

เพราะไม่กล้าคิดถึงเรื่องความตาย

แต่ถ้าคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว

 สอนเราอยู่เสมอว่าเกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา

ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ คิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 ต่อไปจะไม่กลัวตาย ไม่ยึดไม่ติดกับร่างกาย

จะเป็นจะตายก็จะไม่วุ่นวาย นี้คือวิธีทำให้เราฉลาด

 เมื่อฉลาดแล้วก็จะไม่ทุกข์

สาเหตุที่เราทุกข์ก็เพราะเราโง่

 หลงไปยึดไปติดกับสิ่งต่างๆ

 แล้วก็อยากไม่ให้จากเราไป

 พอจากไปก็ร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ

กินไม่ได้นอนไม่หลับ

 ในขณะที่อยู่ก็มีแต่ความกังวล ความหวาดกลัว

 กลัวว่าจะจากเราไป

กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

นี้ก็เป็นเพราะไม่คิดนั่นเอง ไม่คิดถึงความจริง

 ถ้าคิดแล้วใจจะรับได้ เพราะใจไม่ได้เป็นร่างกาย

 ไม่ได้เป็นสิ่งต่างๆ เพียงแต่ไปหลง

ไปยึดไปติดเท่านั้นเอง

 แล้วก็อยากจะให้อยู่กับใจไปตลอด

 แต่พอไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

 ก็เกิดความทุกข์ ความหวาดกลัว

 ความวุ่นวายใจขึ้นมา ถ้าคิดแล้วใจจะฉลาด

 จะไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวายใจ มีอะไรก็มีได้

 หมดก็หมดไป ไม่วุ่นวาย

 เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีมามีไป

 เหมือนวันนี้เรามาเจอกัน เดี๋ยวก็ต้องจากกัน

 ก็ไม่วุ่นวายใจ

 เพราะไม่ได้อยากให้อยู่ด้วยกันไปตลอด

 ถ้าอยาก พอต้องแยกทางกันไป

 ก็จะเสียอกเสียใจ วุ่นวายใจ ก็มีอยู่เท่านี้

ความสุขความทุกข์ของใจ

อยู่ที่ความโง่หรือความฉลาด ถ้าโง่ก็จะทุกข์

 เพราะจะยึดจะติดจะอยากกับสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยๆ

 อยากแล้วก็ไม่ได้สมใจอยาก

 เพราะตรงข้ามกับความเป็นจริง

 แต่ถ้าฉลาดก็จะไม่อยาก จะยินดีตามมีตามเกิด

 มีอะไรก็ยินดี เวลาไม่มีก็ไม่เสียใจ

คนฉลาดจะเป็นอย่างนี้

ถ้าอยากจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่วุ่นวายใจ

 ก็อย่าไปยึด อย่าไปติด

ให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมาได้ไปได้

ต้องการอะไรที่จำเป็นก็หามา

 เมื่อหมดไปก็หาใหม่

 ถ้าหาไม่ได้ก็อยู่แบบไม่มีก็ได้

อยู่แบบไม่มีก็อยู่ได้

 อย่างพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่มีอะไรมากมาย

เหมือนกับเรามีกัน ก็มีเพียงปัจจัย ๔ เท่านั้น

 คือมีกุฏิไว้อาศัยอยู่ มีบาตรไว้บิณฑบาต

มียาไว้รักษาโรค มีจีวรไว้นุ่งห่ม

 เท่านี้ก็อยู่ได้แล้ว อยู่ที่ใจเท่านั้นเอง

 ถ้าใจโง่ใจก็หลงอยากจะได้สิ่งต่างๆ

คิดว่าได้มามากเท่าไรยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

 แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งมีมากเท่าไร

ก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นไป เพราะห่วงกังวล

 ยึดติดกับสิ่งต่างๆนั้นเอง

 แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่มีปัญหาอะไร

 เพราะไม่มีความจำเป็นต้องมีอะไรมากมาย

 ถึงแม้ไม่มีร่างกายใจก็อยู่ได้

 เช่นตายไปแล้วบางทีก็ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ไม่ได้เกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้าเป็นอานิสงส์

หรือเป็นวาระของบุญที่จะส่งผล ก็เกิดเป็นเทวดา

 เป็นเทพ เป็นพรหม

ที่ไม่มีร่างกายเหมือนกับมนุษย์

และเดรัจฉานทั้งหลาย

ใจนี่แหละเป็นตัวเทพ เป็นตัวพรหม

เพราะบุญเป็นผู้สร้างเทพ

สร้างพรหมให้เกิดขึ้นในใจ

 หรือถ้าเป็นวาระของบาปที่จะต้องส่งผล

ใจก็จะต้องไปเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง

ก็ใจตัวนี้เอง โดยมีบาปเป็นผู้สร้างนรกขึ้นมาในใจ

 สร้างเปรตขึ้นมาในใจ

เวลาที่หิวที่อยากอยู่ตลอดเวลา

 กินเท่าไรไม่รู้จักพอ

 นั่นแหละกำลังมีเปรตอยู่ในใจ

 หรือเวลามีความรุ่มร้อน อาฆาตพยาบาท

 มีความโกรธ มีความเกลียด

 อย่างนี้ก็ใจกำลังเป็นนรกเพราะบาปที่ทำไว้ 

เรื่องของใจจึงไม่เหมือนเรื่องของกาย

 ถ้าเป็นเรื่องของกายมีปัจจัย ๔ ก็พอแล้ว

มากกว่านั้นก็เป็นเรื่องของกิเลส

 มีปัจจัย ๔ แล้วยังไม่พอ ต้องมีสามี มีภรรยา

 มีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีเครื่องอำนวยความสุขต่างๆ

ซึ่งเป็นอาหารของกิเลส ของความโลภ

ของความอยากต่างๆ มีมากเท่าไร

ก็ยิ่งสร้างความทุกข์ให้กับใจมากขึ้นไปเท่านั้น

 ทุกวันนี้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์กัน

 ถามตัวเราดูก็รู้ เรามีอะไรต่างๆมากมายก่ายกอง

 แต่ก็ยังต้องร้องห่มร้องไห้ ต้องโกรธ ต้องเสียใจ

 ต้องวุ่นวายใจ ต้องกลัว ต้องห่วง

เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่เราไม่ดูกันเลย

ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในใจของเรา แทนที่จะแก้มัน

กลับไปเสริมสร้างให้มันมีมากยิ่งขึ้นไป

 เวลามีทุกข์ก็ออกไปเที่ยว

ออกไปซื้อข้าวซื้อของอีก

ก็ยิ่งสร้างความทุกข์เพิ่มมากขึ้นไปอีกโดยไม่รู้ตัว

 แทนที่จะเข้าวัดทำจิตใจให้สงบ

 ด้วยการทำบุญทำทาน รักษาศีล

 ไหว้พระสวดมนต์ ฟังเทศน์ฟังธรรม นั่งสมาธิ

 ปลงอนิจจังทุกขังอนันตตา ก็ไม่ทำกัน

ความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ

 จึงไม่หมดไปจากจิตจากใจของเรา

แต่วันนี้เราได้มาวัดแล้ว ได้ยินได้ฟังแล้ว

ก็อยู่ที่เราว่าจะฉลาดพอที่จะเอาไปปฏิบัติได้หรือไม่

 หรือยังแพ้ความโง่อยู่ ยังถูกความโง่ฉุดลาก

ให้ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอกอยู่

ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์

 ถ้ายังไม่รู้จักแก้ไขปัญหาของตนเอง

ปล่อยให้หมักหมมอยู่ต่อไป เวลาทุกข์

 เวลาเศร้าโศกเสียใจ เวลาวุ่นวายใจ

 ก็ไม่มีใครช่วยเราได้ เราต้องเป็นผู้ช่วยตัวเราเอง

 อัตตา หิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน

 ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ถึงจะพึ่งตัวเราเองได้

ถึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์

ความวุ่นวายใจทั้งหลายได้ อย่างอื่นทำไม่ได้

 ต้องมาทางนี้ทางเดียวเท่านั้น

ทางของทาน ศีล ภาวนา ของการทำความดี

 ละเว้นความชั่ว ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด

 ทางนี้เท่านั้นที่จะพาเราไปสู่ความสุข

 ความหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง

จึงขอฝากทางเลือกทั้ง ๒ ทางนี้

ให้ท่านได้นำไปพินิจพิจารณาและไปปฏิบัติ

เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป

 การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา

จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...............................

กำลังใจ ๒๓, กัณฑ์ที่ ๒๕๗

วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๙








ชอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 ตุลาคม 2561
Last Update : 14 ตุลาคม 2561 6:08:28 น.
Counter : 419 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ