ในบางพระสูตร (สํ.ข.17/60/35) ท่านกล่าวไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ความรู้ที่พึงประสงค์ คือ รู้คุณรู้โทษ และรู้วิธีที่จะสลัดตนออกจากสิ่งเหล่านั้น เรียกว่า รู้อัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ ในสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับความรู้ทั้ง ๓ แบบแรก ก็ความหมายเดียวกัน ดังนี้
อายโกศล=> เนื้อหา <= อัสสาทะ, อาทีนวะ.
อุปายโกศล - -วิธีการ - - นิสสรณะ
ในบางพระสูตร (ที.สี.9/38/32 ; สํ.ข.17/150/100) ได้แสดงความรู้ที่พึงประสงค์ หรือ ความรู้ที่มีคุณค่าต่อชีวิตละเอียดออกไปเป็น ๕ ประเด็น คือ
- รู้ความเกิด (สมุทัย)
- รู้ความดับ (อัตถังคมะ)
- รู้คุณ (อัสสาทะ)
- รู้โทษ (อาทีนวะ)
- รู้วิธีสลัดออก (นิสสรณะ)
เพราะการรู้ใน ๕ ประเด็นสำคัญนี้เอง จึงทำให้สามารถแก้ปัญหาขั้นเด็ดขาด (วิมุติ) ได้ (สํ. ข.17/60/35 ; 17/27/18)
หากพิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่าใน ๒ ประเด็นแรกนั้น เป็นการรู้ถึงกระบวนการหรือธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ ส่วนประเด็นต่อมา เป็นการรู้คุณ และโทษของสิ่งนั้น ซึ่งก็คล้ายกับอายโกศล และอปายโกศล ประเด็นสุดท้ายก็เป็นการรู้วิธีการ ซึ่งคล้ายกับอุปายโกศลนั้นเอง
ในมงคลสูตร (ขุ.สุ.25/318/376) สรุปความรู้เป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) ความรู้เชิงปริยัติหรือเชิงทฤษฎี เรียก พาหุสัจจะ ที่แปลกันว่า ความเป็นพหูสูต คือ ได้เรียนได้ฟังมามาก และ (๒) ความรู้เชิงปฏิบัติ เรียกว่า สิปปะหรือศิลปะ ซึ่งก็ได้แก่ความชำนิชำนาญในการประกอบการ ความรู้ทั้ง ๒ ลักษณะนี้ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นเหตุแห่งความเจริญ หรือที่เรียกว่า มงคล ในประเด็นนี้ก็หมายความว่า ความรู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือนำไปสู่ความสำเร็จในกิจกรรมต่างๆ ได้นั้น จะต้องรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ ต้องรู้ด้วยและทำได้ด้วย กิจการทุกอย่างต้องการความรู้ทั้ง ๒ ลักษณะ
Create Date : 17 พฤษภาคม 2565 |
Last Update : 17 พฤษภาคม 2565 17:46:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 133 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|