อารมณ์หรือเรื่องราวที่จิตจะรับรู้นั้นมาจาก ๒ ทาง คือ ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ หรือ ประสาทกาย และจากประสาทใจ (มนายตนะ) และอารมณ์ที่ผ่านมาทางประสาทกาย มี ตา เป็นต้น ก็ดี และผ่านมาจากประสาทใจโดยตรงก็ดี ก็มิได้หมายความว่า จิตจะต้องรับรู้ทุกเรื่องเสมอไป แต่จะรับรู้ได้เฉพาะเรื่องที่มีแรงพอที่จะให้จิตรับได้อย่างเต็มที่เท่านั้น จิตจึงจะรู้เรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน หรือ รู้ตามปกติ ส่วนอารมณ์ที่ไม่แรงพอนั้น ก็มีผลทำให้จิตตื่นจากภวังค์หรือตื่นตัวเพียงเล็กน้อยแล้วก็เลิกสนใจไปเท่านั้น เพราะไม่แรงพอที่จะทำให้จิตคิดจนเกิดรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ประสาท ๕. อติมหันตารมณ์ = รู้ชัดเจน. มหันตารมณ์ = รู้มัวๆ. ปริตตารมณ์ = เพียงรู้สึก. อติปริตตารมณ์ = แทบไม่รู้สึก อารมณ์ ประสาทใจ. วิภูตารมณ์ = รู้ชัดเจน. อวิภูตารมณ์ = รู้มัวๆ
อติมหันตารมณ์ จิตทำงานครบ 14 ขณะ (ไม่นับภวังค์)
มหันตารมณ์ จิตทำงานเพียง 12 ขณะ
ปริตตารมณ์ จิตทำงานเพียง 7 ขณะ
อติปริตตารมณ์ จิตไม่รับรู้เลย
วิภูตารมณ์ จิตทำงานเพียง 10 ขณะ
อวิภูตารมณ์ จิตทำงานเพียง 8 ขณะ (วิภาวินี.143)
การรับรู้อารมณ์ หรือ เรื่องราวต่างๆ ของจิตนั้น พระพุทธศาสนา อธิบายว่า จิตรับรู้ทีละเรื่องหรือทีละอารมณ์ (วิภาวินี. 133) ฉะนั้น เราจะสังเกตได้ว่าขณะที่เราตั้งใจดู เราจะไม่ได้ยิน หรือ ไม่ค่อยได้ยิน หรือ ถ้าเราตั้งใจฟัง เราก็จะไม่เห็น หรือ เห็นไม่ชัด เป็นต้น
นอกจากนี้ พระพุทธศาสนายังได้อธิบายไว้อีกด้วยว่า ในการเห็นรูป นั้น ผู้เห็นที่แท้จริง คือ จิต หรือ วิญญาณ เพราะประสาทกาย คือ จักษุ นั้น เป็นเพียงเครื่องมือ คือ ไม่สามารถจะเห็นอะไรได้ แต่เป็นเครื่องมือให้จิตเห็นเท่านั้น (วิภาวินี.158) ในเรื่องการฟัง การได้กลิ่น เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น ในวิสุทธิมรรคจึงกล่าวไว้ตรงๆ ว่า บุคคลย่อมเห็นรู้ด้วยจิต โดยมีจักขุประสาทเป็นเครื่องมือ (วิสุทธิ.1/24)
Create Date : 21 พฤษภาคม 2565 |
|
0 comments |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2565 5:20:26 น. |
Counter : 233 Pageviews. |
|
|
|