|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
ตอน. พื้นฐานพุทธปรัชญา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?
คำว่า "ตรัสรู้" เราแปลมาจากคำว่า "สัมมาสัมพุทโธ" หรือ "สัมมาสัมโพธิ" ซึ่งมีความหมายว่า "รู้เองโดยชอบ" ซึ่งก็มีความหมายอีกขั้นหนึ่งว่า "รู้ถูกต้องตามเป็นจริง" ฉะนั้น สิ่งที่เราน่าวิเคราะห์ในคำว่า ตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าก็คือ
พระพุทธเจ้ารู้อะไร ?
พระพุทธเจ้ารู้อย่างไร ?
มีพระสูตรหลายสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์รู้อะไร หรือว่า สิ่งที่พระองค์รู้แล้วทำให้พระองค์ประกาศตนว่าเป็น "พุทธะ" นั้นคืออะไร กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความจริงที่พระองค์รู้หรือตรัสรู้นั้นคืออะไร ?
ในธรรมนิยามสูตร (หรืออุปปาทสูตร) พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า
พระองค์จะอุบัติขึ้น หรือไม่ก็ตาม ธาตุ (คือสิ่งที่มีที่เป็นตามสภาพของมัน) ก็มีอยู่แล้ว มีอยู่เป็นอยู่ตามธรรมชาติของมัน มีความเป็นไปอย่างแน่นอนตามธรรมชาติของมัน นั่นคือ
สังขาร (คือสิ่งที่ปรุงแต่งหรือสิ่งผสม) ทั้งปวงล้วนเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) ล้วนไม่คงที่ (ทุกขัง) ธรรม (คือสิ่งทั้งปวงทั้งที่เป็นสิ่งปรุงแต่ง และสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง) ล้วนเป็นอนัตตา พระตถาคตรัสรู้ความจริงดังกล่าวนั้นแล้ว จึงบอกให้รู้ แสดงให้เห็น ตั้งไว้เป็นกฎ กำหนดเป็นหัวข้อ เปิดเผยให้แจ้ง จำแนกให้ละเอียด ทำให้เข้าใจง่าย (องฺ.ติก.20/576/368)
ใจความของพระสูตรนี้ก็คือ สิ่งที่มีอยู่ซึ่งพุทธศาสนาเรียกรวมๆว่า ธาตุ นั้น ไม่ว่าจะมีใครรู้หรือไม่รู้จักมัน มันก็มีอยู่ตามธรรมดาธรรมชาติของมันอย่างนั้น คือ มีอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ค้นพบความมีอยู่ของธาตุเหล่านั้น แล้วจึงทรงนำมาบอกมาสอนตามที่ทรงรู้เห็นเท่านั้น
เพราะฉะนั้น หากถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือว่ารู้อะไร คำตอบก็คือ ทรงรู้สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน สิ่งที่มีอยู่แล้วนั้น พระพุทธศาสนาเรียกรวมๆว่า ธาตุ ซึ่งมีความหมายว่า "สิ่งที่ทรงภาวะของตนไว้" ธาตุหรือสิ่งที่มีอยู่ดังกล่าว หากจำแนกออกไปก็มี ๒ อย่าง คือ รูปธาตุ กับ อรูปธาตุ
รูปธาตุ คือ ธาตุที่เป็นสสาร
อรูปธาตุ คือ ธาตุที่เป็นอสสาร
ธาตุทั้งสองอย่าง ยังจำแนกออกไปได้อีกมากมายหลายลักษณะ ดังที่พุทธศาสนาเรียกว่านานาธาตุ เอนกธาตุ (องฺ.ทสก.24/21/35) หรือ ธาตุนานัตตะ (สํ.สฬา. 18/54/350) แต่จะไม่กล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้
สิ่งที่เป็นธาตุทุกชนิดมีลักษณะร่วม คือ มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวิต ว่างจากอัตตา (นิสฺสตฺโต นิชฺชีโว สุญฺโญ) และเป็นกลาง กล่าวง่ายๆ ก็คือ ยังไม่เป็นอะไร แต่เมื่อธาตุเหล่านั้นมาประกอบกันหรือมารวมกันในลักษณะต่างๆ ดังที่เรียกว่า สังขาร. กาย. ขันธ์ จึงได้ชื่อว่าเป็นสิ่งต่างๆ ขึ้น ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิตที่พุทธศาสนาเรียกว่า อุปาทินกสังขาร และ อนุปาทินกสังขาร
ประเด็นต่อไปก็คือสิ่งที่มีอยู่ (ธาตุ) เหล่านั้น มีอยู่อย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงรู้หรือทรงค้นพบว่า สิ่งที่มีอยู่เหล่านั้น ทั้งที่เป็นรูปธาตุ และอรูปธาตุ มีอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม
ธรรมฐิติ คือ มีอยู่หรือดำรงอยู่ตามธรรมดา หรือ ตามธรรมชาติของมันเองไม่มีใครสร้างหรือควบคุม ธรรมนิยาม คือ มีความแน่นอนในความเป็นไป หรือมีความเป็นไปอย่างแน่นอนตามธรรมชาติของมันเองไม่มีใครคอยกำกับควบคุม
สภาวะที่เรียกว่า ธรรมฐิติ ธรรมนิยามนั้นคืออย่างไร? พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงว่าได้แก่ลักษณะที่เรียกว่า สามัญลักษณะ หรือ ไตรลักษณ์ คือ
อนิจจัง ไม่เที่ยงหรือเปลี่ยนแปลง ทุกขัง ไม่คงที่ หรือไม่คงอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่งตลอดไป อนัตตา เพราะเป็นอนิจจังและทุกขัง จึงมิใช่อัตตาหรือไม่มีอยู่อย่างอัตตา (เที่ยง นิ่ง คงที่)
กล่าวโดยสรุปก็คือ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการเห็นหรือพบความจริงตามที่มีอยู่แล้ว แต่การเห็นหรือการพบของพระองค์นั้น ทรงเห็นด้วย "ตาใจ" ที่เรียกว่า "ญาณ" การเห็นลักษณะนี้ พุทธศาสนาเรียกว่า "ญาณทัสสนะ" คือเห็นด้วยญาณ และการเห็นด้วยญาณเท่านั้น จึงเป็นการเห็นอย่างถูกต้องตามจริง ฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงเรียกการเห็นในลักษณะนี้ให้ชัดเจนลงไปว่า "ยถาภูตญาณทัสสนะ" ซึ่งแปลว่า "การเห็นด้วยญาณตามที่มีที่เป็น" โดยใจความก็คือการเห็นด้วยญาณตามจริง
Create Date : 27 เมษายน 2565 |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2565 7:29:10 น. |
|
0 comments
|
Counter : 197 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|