กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
เมษายน 2565
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
28 เมษายน 2565
space
space
space

พระพุทธเจ้ารู้อย่างไร



170พระพุทธเจ้ารู้อย่างไร ?

  ประเด็นต่อมาในเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ ทรงรู้อย่างไร ?  วิธีการรู้หรือกระบวนการตรัสรู้ของพระองค์นั้น   พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเล่าไว้หลายพระสูตร เช่น ในโพธิราชกุมารสูตร ได้ทรงเล่าถึงความดำริตั้งแต่เริ่มแรกของพระองค์ว่าทรงดำริอย่างไร จึงทรงออกบวช จนกระทั่งถึงได้ตรัสรู้แล้วแสดงปฐมเทศนา คือเริ่มประกาศพระศาสนา ในพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า

  ๑.เริ่มแรกพระพุทธเจ้าก็ทรงมีแนวคิดว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น ไม่อาจได้มาด้วยความสุข แต่ต้องได้มาด้วยความทุกข์ แสดงว่าขณะนั้นพระองค์ก็มีแนวคิดไปในทางลัทธิอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเป็นลัทธิที่นิยมแพร่หลายอยู่ในยุคนั้น

  ๒.สิ่งที่พระองค์ต้องการค้นหาในขณะนั้น ก็คือ อะไรคือความดีหรือสิ่งที่ดี (กึ กุศล) พร้อมทั้งค้นหาว่า อะไรคือ อนุตรสันติวรบท อันได้แก่วิธีการหรือแนวปฏิบัติอันยอดเยี่ยมที่จะนำไปสู่สันติ คือ บรมสุข

  ๓.ด้วยพระดำริดังกล่าวแล้ว จึงตัดสินใจออกบวช และเริ่มต้นการแสวงหาโดยการเริ่มศึกษาลัทธิวิธีของบรรดาเจ้าลัทธิที่สำคัญๆ ในยุคนั้นก่อน มีอาฬารดาบส และอุทกดาบส เป็นต้น แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พบสิ่งที่พระองค์พยายามค้นหา คือ กึ กุศล

  ๔.จากนั้น จึงพยายามค้นหาด้วยวิธีการของพระองค์เอง คือ ด้วยวิธีการทรมานกายด้วยวิธีต่างๆ (ทุกรกิริยา) ซึ่งเป็นแนวทางที่พระองค์เคยคิดมาแต่เริ่มแรกแล้ว จึงได้ประจักษ์ด้วยตนเองว่า การทรมานตนนั้นไม่ทำให้บรรลุความดีอะไร จึงเลิกวิธีการแบบอัตตกิลมถานุโยค

  ๕.จากนั้น ทรงเริ่มบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเป็นปกติแล้ว เริ่มต้นการบำเพ็ญเพียรทางจิต คือ การบำเพ็ญสมาธิภาวนา จนบรรลุฌาน ๔

  ๖. เมื่อจิตสงบ เป็นสมาธิ ปราศจากกิเลสใสสะอาดแล้ว จึงทรงน้อมจิตไปรู้สิ่งที่พระองค์ประสงค์จะรู้ คือ

   เรื่องแรกที่น้อมจิตไปรู้ คือ อดีตชาติของพระองค์เอง เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

   เรื่องที่สองที่น้อมจิตไปรู้ คือ การเกิดการตายของสัตว์อื่น เรียกว่า จุตูปปาตญาณ

  เรื่องที่สามที่น้อมจิตไปรู้ คือ อริยสัจสี่ เมื่อทรงเห็นอริยสัจสี่แล้ว ก็เห็นว่า จิตของพระองค์บริสุทธิ์หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง คือ กามาสวะ ภาวาสวะ อวิชชาสวะ เรียกว่า อาสวักขยญาณ

  จากข้อความในพระสูตรนี้  แสดงให้เห็นกระบวนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้

- ร่างกายมีกำลัง

- สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม

- จิตสงบ เป็นสมาธิ

- จิตบริสุทธิ์ ผ่องใส

- เกิดพลังรู้ คือ ญาณ

- เห็นสิ่งที่ต้องการเห็นด้วยญาณ

- เห็นทุกสิ่งตามจริงแล้ว จิตพ้นจากกิเลส

- เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว

- เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าสิ้นชาติ  (ม.ม.13/505-508/458)

  ลักษณะการรู้ด้วยญาณนั้น   มิใช่ส่งจิตออกไปรู้หรือคิดเอา หรือว่าเป็นการเข้าใจด้วยการคิด แต่ความจริง หรือสิ่งที่ต้องการรู้  ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า  "ธรรม"  นั้นมาปรากฏต่อจิต  ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายไว้ในบางพระสูตรว่า "สมาหิเต จิตฺเต ธมฺมา ปาตุภวนฺติ" ความว่า เมื่อจิตสงบ ความจริงย่อมปรากฏ หรือว่า ความจริงย่อมปรากฏในจิตที่สงบ (สํ.สฬา. 18/144/98)

  พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ปฏิบัติบรรลุผล คือ ความหลุดพ้น มี ๕ อย่าง คือ

๑.ศรัทธาถูกต้อง
๒.สุขภาพสมบูรณ์
๓.ไม่โอ้อวดมายา
๔.เพียรพยายาม
๕.มีปัญญาในธรรม

  หากขาดองค์ประกอบเหล่านี้ แม้จะมีผู้สอนดีแค่ไหน ก็ไม่ประสบความสำเร็จ คือ ไม่บรรลุผลสูงสุดตามที่มุ่งหวัง

  หากประกอบด้วยองค์ประกอบเหล่านี้พร้อม และได้ผู้แนะนำสั่งสอนที่ดี ย่อมประสบความสำเร็จ ในกรณีของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ยืนยันว่า อย่างช้าไม่เกิน ๗ ปี และอย่างเร็วภายในเวลาเช้าชั่วค่ำ (ม.ม.13/518/472)

 


Create Date : 28 เมษายน 2565
Last Update : 29 เมษายน 2565 7:12:39 น. 0 comments
Counter : 273 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space