ในทางพระพุทธศาสนาแสดงว่า ความเป็นไปของชีวิตทั้งในทางลบและในทางบวก คือ ทั้งทุกข์และสุขของชีวิตเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัย และพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุปัจจัยของทุกข์และสุขของชีวิตมนุษย์ให้เห็นทั้งกระบวนการ เริ่มแต่องค์ประกอบขั้นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ ไปจนกระทั่งถึงกระบวนการของการดับทุกข์ของชีวิต ธาตุวิภังคสูตร (ม.อุ. 14/678 - 681/436) ดังนี้
๑) มนุษย์ประกอบด้วยธาตุ ๖ ๒) มนุษย์มีอายตนะ ๖ ๓) มนุษย์มีแดนคิด (มโนปวิจาร) ๑๘ ๔) กระบวนการเกิดและดับทุกข์ของชีวิต คือ อริยสัจ ๔
มนุษย์ประกอบด้วยธาตุ ๖ คือ - ปฐวีธาตุ - อาโปธาตุ - เตโชธาตุ - วาโยธาตุ - อากาสธาตุ - วิญญาณธาตุ
มนุษย์มีอายตนะ คือ ประสาทสัมผัส ๖ คือ - จักขวายตนะ - โสตายตนะ - ฆานายตนะ - ชิวหายตนะ - กายายตนะ - มนายตนะ
มนุษย์มีแดนคิด ๑๘ คือ
คิดเรื่อง - รูป - สัททะ - คันธะ - รสะ - โผฏฐัพพะ - ธัมมะ. ด้วย = > โสมนัส โทมนัส อุเบกขา 6x3 = 18
ทุกข์ของชีวิต (ทุกขอริยสัจ) คือ - ชาติ - ชรา - มรณะ - โสกะ - ปริเทวะ - ทุกข์ - โทมนัส - อุปายาส - อัปปิยสัมปโยค - ปิยวิปโยค - นลภติทุกข์ - โดยรวบยอด คือ ปัญจุปาทานขันธทุกข์
กระบวนการเกิดขึ้นของทุกทั้งมวล (ทุกขสมุทัยอริยสัจ) คือ - อวิชชา - สังขาร - วิญญาณ - นามรูป - สฬายตนะ - ผัสสะ - เวทนา - ตัณหา - อุปาทาน - ภพ (ภว) - ชาติ - ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
กระบวนการดับทุกข์ทั้งมวล (ทุกขนิโรธอริยสัจ) คือ - อวิชชาดับ - สังขารดับ - วิญญาณดับ - นามรูปดับ - สฬายตนะดับ - ผัสสะดับ - เวทนาดับ - ตัณหาดับ - อุปาทานดับ - ภพดับ - ชาติดับ - ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ดับ
แนวทางเพื่อความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) คือ มรรคมีองค์ ๘ - สัมมาทิฏฐิ - สัมมาสังกัปปะ - สัมมาวาจา - สัมมากัมมันตะ - สัมมาอาชีวะ - สัมมาวายามะ - สัมมาสติ - สัมมาสมาธิ (ติตถสูตร - องฺ.ติก.20/501/228)
และในติตถสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นความเกี่ยวโยงกันขององค์ประกอบของชีวิตทั้ง ๔ อย่างว่า เป็นกระบวนการให้เกิดทุกข์ขึ้นได้อย่างไร ดังนี้
เมื่อธาตุ ๖ ประกอบกันเข้า จึงมีการตั้งครรภ์ (คือการเริ่มต้นของชีวิต) เมื่อมีการตั้งครรภ์ นามรูป (หน่วยชีวิต) ย่อมมี เพราะมีนามรูป จึงมีอายตนะ ๖ เพราะมีอายตนะ ๖ จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะ จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนา จึงมีกระบวนการอริยสัจสี่ (คือการเกิด การดับ ของทุกข์) (องฺ.ติก.20/501/227)
จากพุทธพจน์ในติตถสูตรนี้ แสดงให้เห็นว่า สุขทุกข์ของชีวิตนั้น มิได้เป็นผลของกรรมเก่า หรือ การบันดาลของพระเจ้า หรือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุปัจจัย ดังที่ลัทธิศาสนาต่างๆ เชื่อถือกันดังกล่าวมาแล้ว แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุปัจจัยที่อาศัยกัน หรือ เกี่ยวโยงกันอย่างเป็นกระบวนการ และกระบวนการก็เริ่มขึ้นและจบลงที่ชีวิตของแต่ละคนนั้นเอง กระบวนการเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์ดังกล่าวนี้ พระพุทธศาสนาเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีความหมายเป็นกลางๆ ว่า การอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น และการอาศัยซึ่งกันและกันดับไปของสิ่งทั้งปวง เมื่อนำเอากระบวนการปฏิจจสมุปบาทไปอธิบายกระบวนการเกิด และกระบวนการดับของทุกข์ ท่านเรียกว่า อริยสัจสี่ ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นในติตถสูตรนี้เป็นตัวอย่าง
กล่าวโดยสรุปก็คือ พระพุทธศาสนาถือว่า ที่มาของความสุขหรือความทุกข์ของชีวิตนั้นก็คือตัวชีวิตนั้นเอง ไม่ใช่มาจากการกำหนด หรือ การบันดาลจากสิ่งภายนอกใด ๆ เพราะชีวิตมีลักษณะของทุกข์ติดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักบริหารชีวิตให้ดี ไม่รู้จักวิธีแก้ทุกข์อย่างถูกต้องแล้ว ชีวิตก็จะมีทุกข์มากยิ่งขึ้น แต่ถ้ารู้จักบริหารชีวิตให้ดี รู้จักวิธีแก้ทุกข์อย่างถูกต้อง ก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีทุกข์น้อยลงจนถึงไม่มีทุกข์เลยก็ได้
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น เห็นปฏิจจสมุปบาท (ม.มู.12/346/359) สงสัย ทำไมศาสนาพุทธต้องให้ความสำคัญกับความทุกข์ด้วยครับ เพราะมันก็เป็นสิ่งชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ความทุกข์ก็ต้องตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ คือมันเป็นของชั่วคราว คงอยู่ถาวรไม่ได้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ทำไมศาสนาพุทธถึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความทุกข์ครับ ว่าทำอย่างไรจึงต้องพ้นทุกข์
การที่ธรรมชาติ ออกแบบความทุกข์ให้มันตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ ผมว่าเป็นการออกแบบที่ฉลาดมากๆเลย ทำให้เกิดสมดุลย์ ทำให้สิ่งมีชีวิตรวมถึงสัตว์มนุษย์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ธรรมชาติออกแบบมาแบบนี้มันยังไม่ดีพอหรอครับ?https://pantip.com/topic/41421142ที่มนุษย์เป็นทุกข์จากกฎธรรมชาติ เพราะเขาไม่รู้จักธรรมชาติ ต่อเมื่อเขาเข้าใจรู้จักมันแล้วก็รู้จักวางใจก็จึงไม่ทุกข์ไปกับมัน พูดสั้นๆด้วยภาษาสมมติก็ว่า "มนุษย์ไม่รู้จักตัวของตัวเอง"
แนวความรู้ความเข้าใจกฎธรรมชาติ สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อ สังขาร คือ เมื่อพิจารณา สังขารทั้งหลายต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของ สังขารตามเป็นจริงว่า มันก็เป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา หรือ เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง จึงวางใจเป็นกลางทำเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขัดใจติดใจในสังขารทั้งหลาย แต่นั้น ก็มองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงโน้มน้อมที่จะมุ่งแล่นไปยังนิพพาน เลิกละความเกี่ยวเกาะกับ สังขารทั้งหลาย ญาณข้อนี้ จัดเป็นสิขาปปัตตวิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่ถึงจุดสุดยอด และเป็นวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่เชื่อมถึงมรรค อันเป็นที่ออกจากสิ่งที่ยึด หรือออกจาก สังขารhttps://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=04-2021&date=06&group=1&gblog=12
Create Date : 10 พฤษภาคม 2565 |
|
0 comments |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2565 19:02:59 น. |
Counter : 434 Pageviews. |
|
|
|