|
|
ชีวิตกับความตาย
ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งในคำสอนเรื่องของชีวิตของพุทธศาสนา คือ เรื่องความตาย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์ และมนุษย์ส่วนใหญ่มองความตายว่าเป็นสิ่งน่ากลัว กระทั่งถือว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดไม่ควรพูดถึง เพราะความตายหมายถึงจุดจบหรือความสิ้นสุดของชีวิต แต่พระพุทธศาสนากลับสอนให้รู้จักความตาย สอนให้คิดถึงความตายไว้เสมอ และที่สำคัญคือสอนให้รู้จักวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องตายอีกต่อไป
พระพุทธศาสนาแสดงให้เห็นว่า ความตายเป็นความจริงอย่างหนึ่งของชีวิต เรียกว่า ทุกขอริยสัจจ์ ความตายเป็นการเปลี่ยนแปลงช่วงหนึ่งของชีวิต เรียกว่า อนิจจัง และความตายไม่ใช่ความสิ้นสุดหรือจุดจบของชีวิต แต่เป็นเพียงจุดต่อระหว่างชีวิตหนึ่ง กับ อีกชีวิตหนึ่งเท่านั้น โดยชายแดนของชีวิตปัจจุบันคือจุติจิต และชายแดนของชีวิตใหม่คือปฏิสนธิจิต แล้วชีวิตก็เดินหน้าต่อไปเช่นเดิม นั่นคือมนุษย์ตายแล้วก็เกิดอีก จนกว่ามนุษย์จะทำให้ตัณหาอันเป็นเหมือนสายใยที่ทำให้กระแสชีวิตไม่รู้จบขาดสะบั้น หรือ หมดสิ้นไปเท่านั้น ชีวิตจึงจะสิ้นสุดหรือดับ จุดจบหรือจุดดับของชีวิตก็คือ ภาวะนิพพาน (อนุปาทิเสสนิพพาน) ซึ่งจะเรียกว่าจุดจบของความตายก็น่าจะได้ เพราะเมื่อถึงภาวะนิพพานแล้ว พระพุทธศาสนา เรียกว่า ถึงอมตธรรมหรือถึงภาวะอมตะ หรือ ภาวะที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป ทั้งนี้ เพราะไม่มีการเกิดอีก
พระพุทธศาสนากล่าวถึงความตายด้วยคำหลายคือ คือ
- จุติ ความเคลื่อน (จากโลกนี้)
- เภทะ ความทำลาย
- อันตรธานะ ความอันตรธาน (คือหายไป)
- มัจจุ ความตาย
- มรณะ ความตาย
- กาลกิริยา ทำกาละ
- ชีวิตินทรียอุปัจเฉทะ ความขาดไปของชีวิตินทรีย์
- กเฬวรนิกเขปะ การทิ้งร่างไปหรือการทิ้งร่างให้เป็นศพ (สํ.นิ.16/120/68)
คำเหล่านี้ แสดงความหมายของปรากฏการณ์ของชีวิตที่เรียกว่า ตาย ว่าเราเรียกได้หลายอย่าง หรือมองได้หลายแง่มุม
ส่วนคำที่แสดงถึงความตายพร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงลักษณะของความตายที่ชัดเจนในคำสอนของพระพุทธศาสนา คือ
- ขนฺธานํ เภโท ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลายซึ่งหมายถึงขันธ์ ๕
- กายสฺส เภทา ความแตกของกาย (คือที่รวมหรือประชุมแห่งธาตุ ๖) (สํ.นิ.16/120/68. ที.ม.20/295/341)
จากพุทธพจน์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ความตาย เป็นเพียงการแยกกันหรือความแตกออกจากกันของสิ่ง (คือ ธาตุ ๖ = ปฐวี อาโป เตโช วาโย อากาส วิญญาณ) ที่รวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน (คือกาย) หรือเป็นกอง (คือขันธ์) เท่านั้น ทั้งนี้ เพราะพระพุทธองค์พบว่า สิ่งที่เราเรียกว่า สัตว์ ก็ดี มนุษย์ ก็ดี นั้น เป็นเพียงกลุ่มก้อนหรือกองธาตุ (คือสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดา หรือ ตามธรรมชาติของมัน) ๖ อย่างเท่านั้น เมื่อธาตุเหล่านี้มารวมกันในลักษณะที่เรียกว่า กาย หรือ ขันธ์ ๕ ก็ปรากฏเป็นมนุษย์หรือสัตว์ขึ้น เมื่อกายหรือขันธ์ ๕ นี้ แยกหรือแตกจากกัน มนุษย์หรือสัตว์ก็หายไป เพราะฉะนั้น การตาย การเกิดของสัตว์หรือมนุษย์ จึงเป็นเพียงการกระบวนแยกกัน และรวมกันของสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดาหรือธรรมชาติหรือธาตุทั้งหลายเท่านั้น ดังที่ท่านแสดงไว้ในบางพระสูตรว่า "นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ" (สํ.ส.15/554/199)
ฉะนั้น ในคำสอนของพระพุทธศาสนา คำว่า สัตว์เกิดสัตว์ตาย หรือว่ามนุษย์เกิด มนุษย์ตาย จึงเป็นเพียงคำสมมติ หรือภาษาของชาวโลกเท่านั้น ในความเป็นจริงการเกิดการตายเป็นเพียงกระบวนการรวมกันกระบวนการแยกกัน ของธาตุทั้งหลายเท่านั้น แต่พระพุทธองค์ก็จำเป็นต้องใช้คำว่า เกิด - ตาย ตามภาษาของชาวโลก เพื่อสื่อความหมายในเบื้องต้นกับชาวโลก และเพื่อเป็นฐานของการพัฒนาไปสู่ปัญญา หรือ ความรู้ขั้นสูงต่อไป
ในมหาเวทัลลสูตรได้แสดงกระบวนการตายหรือกระบวนการแตกดับของกายไว้ว่า เริ่มจากกายสังขารดับ วจีสังขารดับ จิตตสังขารดับ อายุสิ้น ไออุ่นระงับ อินทรีย์ทั้งหลายแตกกระจาย (ม.มู.12/502/542)
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้ขยายความต่อไปว่า คนที่จวนจะตาย ร่างกายจะซูบซีดไปโดยลำดับ อินทรีย์ทั้งหลาย คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา จะดับไปตามลำดับ กายินทรีย์ มนินทรีย์ และชีวิตินทรีย์จะคงเหลืออยู่เฉพาะในหทัยวัตถุ วิญญาณที่อาศัยอยู่ในหทัยวัตถุนั้นจะปรารภถึงครุกรรมบ้าง อาสันนกรรมบ้าง บุพพกตกรรมบ้าง อย่างไรอย่างหนึ่ง และกรรมนิมิต คือ คดีนิมิตก็จะมาปรากฏต่อวิญญาณนั้น จากนั้น สังขารและตัณหาก็จะช่วยกันซัดหรือโยนวิญญาณนั้นจากที่อาศัย (คือหทัยวัตถุ) ในโลกนี้ ไปสู่ที่อาศัยใหม่ที่กรรมสร้างขึ้นใหม่ ดุจคนที่โหนเชือก ซึ่งผูกกับต้นไม้ไว้ที่ฝั่งนี้โยนตัวข้ามคลองไปสู่ฝั่งโน้น ฉะนั้น (วิสุทธิ. แปล.3/1/315)
ตราบใดที่ปัจจัยหรือสาเหตุคือ สังขาร ได้แก่ บุญ บาป และกิเลส คือ ตัณหายังมีอยู่ กระบวนการตาย - เกิด ของชีวิตหรือสัตว์ หรือ กระบวนการแยกกัน - รวมกัน ของธาตุทั้งหลายก็ยังคงดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยไปไม่มีที่สุด ต่อเมื่อมนุษย์พัฒนาตนเองไปตามกระแสธรรมจนรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต หรือ ขันธ์ ๕ วิชชา หรือ ความรู้เห็นตามจริงเกิดขึ้น อวิชชา คือ ความรู้ผิดรู้ไม่จริง หรือ ความไม่รู้หายไป กิเลสอันเป็นผลิตผลของอวิชชาก็หมดไปจากจิต เรียกว่า บรรลุถึงภาวะนิพพาน หรือ เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ กระบวนการตาย - เกิดจึงยุติเพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดอีก เมื่ออัตภาพหรือชีวิตนี้สิ้นสุดลง ที่เรียกว่า ตาย ซึ่งหมายถึงจิตดวงสุดท้าย คือ จุติจิตดับ จิตก็ดับ ชีวิตก็ดับ (วิสุทธิ.แปล.3/1/65)
Create Date : 12 พฤษภาคม 2565 |
|
0 comments |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2565 18:47:47 น. |
Counter : 281 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|