1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30
นิยายแปล เรื่อง ดาวพิษ บทที่ 1 ดาวพิษเวิร์มวู้ด
LITERATURE นิยายแปล เรื่อง ดาวพิษ คำนำของผู้แปล งานอดิเรกอย่างหนึ่งของจขบ.ก็คือ รับจ้างแปลหนังสือทั้งวิชาการและบันเทิงคดีในช่วงที่สายตายังดีอยู่ ส่วนใหญ่แปลหนังสือที่สำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งซื้อลิขสิทธิ์ ต้นฉบับมาจ้างให้แปล ไม่เคยซื้อมาแปลเอง ตกลงค่าแปล แล้วก็แปลไปเลย แม้จะไม่ใช่เรื่องติดอันดับ bestseller และเรื่องที่แปลในยุคที่นิยายแฟนตาซี เป็นที่นิยมมาก รวมทั้งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องพออ่านได้ ไม่โดดเด่นมากแต่อย่างใด สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่แปล เพราะเริ่มเป็นช่วงขาลงของนิยายแฟนตาซี แล้ว พอแปลเสร็จสำนักพิมพ์ก็แจ้งว่า เขาจะไม่พิมพ์เรื่องนี้ แต่ค่าแปลจะจ่ายให้ตามสัญญา ถ้าเป็นผู้แปลคนอื่นๆ เชื่อขนม กินได้เลย แปลแล้วไม่พิมพ์นี่เสียหายมาก เพราะคนแปลก็อยากโชว์ ฝีมือในตลาดหนังสือด้วย แต่เราไม่มีปัญหา เพราะพอใจแค่ค่าแปล ไม่ได้อยากโชว์ฝีมือแปล ทำงานแปลแบบนี้ค่าเวลาไปวันๆก็สนุกดีแล้ว มาถึงวันนี้ก็ผ่านไป 15 ปีแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้มีทีท่าจะได้พิมพ์ คิดเอาเองว่าทั้งสำนักพิมพ์เจ้าของลิขสิทธิ์แปลและนักเขียนเจ้าของ ลิขสิทธิ์หนังสือก็คงไม่ได้สนใจงานแปลชิ้นนี้แล้ว น่าจะเอามาใส่ บล็อกไว้ให้ตัวเองและเพื่อนๆอ่านเล่นบ้าง ไม่มีเจตนาเพื่อการค้า แต่อย่างใด และหากมีปัญหาก็ขออภัยและลบทิ้งค่ะ บทที่ 1 - ดาวพิษเวิร์มวู้ด จากหน้าต่างชั้นบนสุดของคฤหาสน์สี่ชั้นที่จตุรัสบลูมสเบอรี่นั้น ดร. เซเบี้ยน เบล้ก สามารถมองเห็นท้องฟ้ากว้างไกลได้จนสุดสายตา ชายหนุ่มจ้องท้องฟ้ายามราตรีผ่านเลนซ์หนาของกล้องโทรทัศน์ทองเหลืองขนาดยาว เฝ้ามองท้องฟ้ามาตลอดสัปดาห์ก่อนและเฝ้ารอ
รอคอยสัญลักษณ์แห่งปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในคืนนั้น แสงเรืองประหลาดทางทิศเหนือกล้าขึ้นและจ้าขึ้น ทำให้เหล่าดาราโรยแสงแต่ราตรีกลับไม่มืดมิด จันทร์เต็มดวงเปล่งแสงแดงดุจเลือด ฉายฉาบท้องถนนจนลุกเรืองด้วยรัศมีสีแดงจัดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ เบล้กเป็นทั้งนักดาราศาสตร์ แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับตลอดจนคาถาอาคม ทุกวันทุกชั่วโมงเขาเอาแต่คำนวณเวลาขึ้นเวลาตกของดวงอาทิตย์และดาว คอยวัดระยะวัฎภาคของดวงจันทร์ ตามดูทุกยามที่ดวงจันทร์โคจรข้ามท้องฟ้าและดูด้วยว่าดาวฤกษ์หลักในกลุ่มดาวนายพรานจะลับขอบฟ้าเมื่อใด เบล้กกลับนาฬิกาทรายทันทีที่เกล็ดละเอียดนุ่มสีขาวโรยตัวผ่านคอคอดจากถ้วยบนลงสู่ถ้วยล่างจนเกลี้ยงและเมื่อนับได้ 59 ครั้ง เขาก็จะยั้งมือรอด้วยความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจนกระทั่งทรายเม็ดสุดท้ายโรยตัวจากช่องถ้วยบนเรียบร้อย แล้วจึงจะกลับนาฬิกาทรายบอกชั่วโมงอย่างระมัดระวัง นาฬิกานี้ส่วนที่เป็นเสาไม้กลมๆ สีเข้มสลักลายเป็นรูปงู ตาเป็นเพชร เขี้ยวเป็นทอง เกล็ดมันวับต้องแสงจันทร์เป็นประกายแวววาว เบล้กตรวจสอบเวลาของนาฬิกาทรายกับนาฬิกาทองเหลืองเก่าแก่ซึ่งเดินติ๊กต๊อกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่ข้างจานวัดดาว บนหิ้งไม้สลักเหนือเตาผิงที่ปราศจากไฟ เบล้กคำนวณตามวิธีของศาสตร์ลี้ลับตลอดทุกคืน ตั้งแต่โพล้เพล้จนรุ่งอรุณ ตั้งแต่เดือนขึ้นจนลับดวง ตามที่คำนวณไว้แล้ว เขารู้ว่าอย่างไรเสียในห้วงสิบสองราศีของจักรวาลจะมีสัญลักษณ์หนึ่งเกิดขึ้น เน็มโมเร็นซิสว่าไว้ดังนั้น เน็มโมเร็นซิสไม่เคยให้ข้อมูลเท็จ นี่เป็นคัมภีร์เล่มเดียวที่เชื่อถือได้ เพียงได้สัมผัสเน็มโมเร็นซิสก็เท่ากับได้กุมความลับของจักรวาลไว้ในอุ้งมือ ไม่มีใครรู้หรอกว่าคัมภีร์นี้มาจากแห่งหนใด แต่คนที่อยากได้ก็พยายามค้นหาจนตายไปแล้วก็มาก ตอนนี้คัมภีร์เน็มโมเร็นซิสเป็นของเบล้ก เขาคือผู้มีสิทธิครอบครอง ชายหนุ่มเหมาเอาว่าพระผู้เป็นเจ้าประทานสิทธินั้นให้ ขณะที่เพ่งจ้องท้องฟ้าพลางขบริมฝีปากอย่างกระวนกระวายนั้น เขาก็หวนคิดถึงเช้าวันฉลองนักบุญเคอเติล ตอนที่เขาแก้ห่อของที่คนขับรถม้าคนหนึ่งนำมาส่งที่ประตูบ้านนั้นอรุณเพิ่งแรกจะรุ่งได้ไม่นานเลย ทีแรกเบล้กออกจะระแวงคนขับรถม้าเพราะไม่เคยเห็นคนทำงานต่ำต้อยจะแต่งตัวดีขนาดนั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวตาคนนั้นไม่มีร่องรอยความเก่าปอนเลยสักนิด เสื้อคลุมสีดำฝีมือประณีตและรองเท้าบู๊ตสะอาดเอี่ยมแสดงว่าเป็นผู้ดีเก่าถิ่นไฮเกต ไม่ใช่พวกพ่อค้ากรรมกรท่าเรือจากโรเธอไรธ์ ผู้ใช้กำลังกายแบกหามสินค้าและบริการไปเที่ยวเร่ขายทั่วนครลอนดอน ผิวก็ขาวสะอาดไม่มีร่องรอยว่าตรากตรำทำงานหนัก คราบมูลสัตว์และน้ำมันเครื่องที่ฟุ้งอยู่ทั่วนครลอนดอนก็ไม่มีติดผิว เสียงพูดไม่เหน่อ แต่นุ่มนวลเนียนปานแป้งผัดหน้าของคนเจ้าสำอางแห่งถิ่นลินคอล์นส์ อินน์ ที่เบล้กประหลาดใจก็คือแหวนทองที่เขาสวมไว้ที่นิ้วกลางมือขวา หัวแหวนเป็นพลอยแดงขนาดใหญ่ขึ้นเรือนทองทำเป็นรูปพระอาทิตย์ทอแสง รัศมีเปลวหนึ่งยืดขยายเป็นแผ่นทองหนาเวียนรอบนิ้ว ชายผู้นั้นเป็นคนที่มาส่งของก็จริงอยู่ แต่ย่อมมิใช่คนขับรถม้าอย่างแน่นอน! แต่เบล้กก็ไม่ใส่ใจ มัวแต่มองรูปร่างรอบนอกของของขวัญที่ได้รับซึ่งเชิญชวนให้อยากเปิดดูภายในทันที นี่คือของวิเศษมหัศจรรย์ เป็นของขวัญเฉพาะสำหรับนักปราชญ์ ล่อใจคนฉลาดอย่างเขาให้เกิดความอยากไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ความรู้สึกนั้นแยบยลลึกซึ้งเพียบพูนด้วยความตื่นเต้นและหวั่นระแวง ในก้นบึ้งแห่งหัวใจ เบล้กรู้ว่าของขวัญที่กำลังจะเปิดอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปได้หลายทาง ชายหนุ่มตื่นเต้นจนแทบสำลักระหว่างพยายามยับยั้งความรู้สึกที่พุพลุ่งและแผ่ซ่านไปทั่วกายในพลัน ราวกับว่าสิ่งนั้นสื่อสารกับเขาด้วยจิตถึงจิต หัวใจเขาเต้นแรง หน้าผากร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้ ของนั้นห่อแน่นหนาด้วยผ้าไหมสีทอง ผูกด้วยสายฝ้ายถักสีแดงสดใสมีชีวิตชีวาเป็นมันเลื่อมระยับจนดูคล้ายของเหลวลื่นไหล ไม่มีสิ่งใดบ่งระบุว่าใครเป็นผู้ส่งของขวัญแสนวิเศษนี้มา และเมื่อถูกถาม คนขับรถม้าก็อธิบายคลุมเครือไม่บอกชัดว่าได้ของมาแต่ไหนหรือใครใช้ให้มาส่ง มีชายคนหนึ่งเรียกให้ข้าหยุดริมถนน เขากล่าวเสียงเบา ซ้ำยังดึงขอบหมวกให้ลงมาปิดตา ไม่ยอมสบตากับเบล้กซึ่งจ้องเขม็ง เขาโบกไม้โบกมือเหมือนคนบ้า จนม้าเกือบจะตกใจตาย คนต่างชาติน่ะขอรับ พูดภาษาอังกฤษเกือบไม่ได้สักคำ ไม่ใช่ ฝรั่งเศสก็คงสเปน หรืออาจจะมาจากเปอร์เซียก็ได้ ข้าไม่เคยเห็นใครหน้าตายังงั้นเลย คนขับรถม้าทำจมูกฟุดฟิด สืดน้ำมูกหยดใหญ่ที่ไหลย้อยกลับเข้าไปในจมูก ตอนที่ส่งห่อของนี่ให้ข้าน่ะ ดร.เบล้ก เขาพูดซ้ำๆ แต่ว่า เลขที่ 6 จตุรัสบลูมสเบอรี่ พอยัดเหรียญกินีใส่มือข้าได้แล้วก็หันหลังเผ่นไปเลย เบล้กถามต่อ เจ้ารู้ชื่อข้า ชายคนนั้นบอกเจ้ารึ ใคร ๆ ก็รู้จักท่านนะขอรับ ดร.เบล้ก ท่านเป็นผู้รวยวิชา คนขับรถม้ายิ้ม ความจริง ตอนนี้ก็คงพอพูดได้ว่าท่านรวยของขวัญด้วยแล้วละ พูดจบก็หัวเราะ ส่งของขวัญหนักอึ้งให้แล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถม้าทันที เบล้กมองตามชายผู้นั้นเดินโหย่งๆ หลีกหลุมโคลนและขยะไปกระโดดขึ้นบนที่นั่งคนขับ แล้วค่อยๆ กระตุ้นม้าให้ลากรถไปตามถนนเขลอะโคลนแถบบลูมสเบอรี่ เบล้กแก้ห่อของขวัญโดยมิได้ลังเล จะรอเข้าไปข้างในเสียก่อนก็ยังรอไม่ไหว เขานั่งลงบนขั้นบันไดหินอ่อนสีขาวแล้วดึงผ้าไหมที่ห่อของขวัญออก ตอนนั้นแหละที่เขาได้เห็นเน็มโมเร็นซีสเป็นครั้งแรก คัมภีร์นั้นมีรูปลักษณ์วิจิตรจนเห็นแล้วหัวใจเต้นรัวแรง ปกหนังหนาเลี่ยมประดับด้วยทองคำเปลว หน้ากระดาษซึ่งริมกร่อนจารึกด้วยสีดำสนิทซึ่งจางลงตามกาลเวลา ลายมือหวัดเป็นตัวอักษรขนาดเล็ก เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้จับต้องเน็มโมเร็นซีส เคยแม้กระทั่งสงสัยว่ามีจริงหรือไม่ ตอนนี้รู้ชัดแล้วละว่ามี ก็เขาได้ไว้ในครอบครองแล้วนี่ ********* ดึกคืนหนึ่งหลังจากนั้นหลายอาทิตย์ เบล้กเปิดคัมภีร์เก่าแก่ปกหนาเตอะซึ่งภายในประกอบด้วยกระดาษหนังหนาๆ ออกอ่านเรื่อยไป พยายามรวบรวมความรู้ใส่สมองไว้ทุกๆ เรื่อง พอมาถึงเล่มที่หกบทที่หกตรงหน้าสุดท้าย ก็เห็นลายมือของผู้ไม่ระบุนามเขียนข้อความไว้ตรงที่ว่างริมซ้ายของหน้า เขาอ่านคำเหล่านั้น : เวิร์มวู้ด ... ดาวพิษแสงจรัสจักร่วงจากฟ้า หลายชีวาจักวาย เพราะความแรงร้ายของมัน นับแต่วันนั้นมา เขาก็เฝ้าสำรวจทุกซอกมุมเร้นลับแห่งท้องฟ้าเพื่อแสวงหาดาวดวงใหม่ เพราะ เชื่อโดยไร้ข้อกังขาว่าดาวนั้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่ายุคใหม่ใกล้จะเริ่ม จวนเวลาแล้วที่อรุณใหม่จะรุ่งฉายรัศมีสีทองทำให้จิตใจมนุษย์สร่างคลายความอ่อนแอและเห็นแก่ตัว ความสว่างทางปัญญาของชาวโลกใกล้เข้ามาแล้วและเขาจะได้เห็นเป็นคนแรก จะได้เป็นคนแรกที่บอกข่าวแก่ชาวโลกทั้งมวล เบล้กจิบชาร้อนควันกรุ่นพลางยิ้มกับตนเอง แล้วกลับไปมองผ่านเลนซ์กล้องโทรทัศน์ซึ่งพาดอยู่บนขาหยั่งสามขาทำด้วยไม้โอ๊กสวยงามแข็งแรง ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ทั้งปวงยังคงเหมือนเดิม จักรวาลไม่เปลี่ยนแปลง อีกไม่กี่ชั่วโมงราตรีก็จะสิ้นสุดและสรรพสิ่งจะยังคงเดิม เขากระทืบเท้าบนพื้นไม้อย่างขัดใจ โธ่ว้อย ทุเรศ น่ารำคาญ เจ้าดาวสามานย์ มันจะมามั้ยเนี่ย เขาบ่นอย่างสิ้นความอดทน เสียงดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องว่าง ชักจะไม่แน่ใจในผลการคำนวณขึ้นมาเสียแล้วสิ สงสัยว่าเผลอพยากรณ์ผิดวัน ผิดสัปดาห์ หรือผิดปีไปบ้างหรือเปล่า เขาจ้องมองท้องฟ้าราตรีนั้นอีกครั้ง ความวิตกกังวลยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงหวังลมๆ แล้ง ๆ อยู่ว่า จะมีแสงอรุณใหม่เรื่อเรืองขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งในกลุ่มดาวไกลโพ้น เที่ยงคืนแล้ว เขาแว่วเสียงนาฬิกาที่โบสถ์เซนต์จอร์จตีบอกเวลา ทันใดบ้านก็เริ่มสั่นไหวไกวแกว่ง แผ่นดินเอียงวูบคะมำไปข้างหน้าแล้วกลับหงายไปข้างหลัง ทั้งโลกก็หมุนเร็วจี๋ขึ้นทุกที เบล้กได้ยินกระจกเงาตกจากผนังชั้นล่างแตกเป็นเสี่ยงๆ กระเบื้องมุงหลังคาร่วงกราวจากหลังคาชั้นสี่ลงไปกระทบถนนเบื้องล่างแล้วแตกกระจายราวกับแผ่นอิฐเปราะ ปูนฉาบหลุดร่วงจากเพดานเมื่อผนังทุกด้านสั่นอย่างแรงจนกรอบประตูไม้แตกกระจายส่งฝอยกรุผนังกันปลวก ชิ้นส่วนขนม้าและผงปูนปลิวว่อนเข้าใส่เขาทุกทิศทุกทาง ประเดี๋ยวเถอะ เขาคิด บ้านต้องพังยวบยุบลงไปกองแน่ ชั่วพริบตา ดาวเต็มฟ้าหายวับ และโดยไม่ทันรู้ตัว พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้วตก กลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวันแล้วกลับเป็นกลางคืนอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดครั้ง ตามด้วยดวงจันทร์สิบเอ็ดครั้ง ผลัดกันขึ้นและตกจากขอบฟ้าทิศตะวันออกไปตะวันตก ไม่มีใครทันได้กรีดร้องหรือร่ำไห้ ไม่มีทางเข้าใจได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เบล้กยึดกล้องโทรทัศน์และขาหยั่งสามขาไว้มั่น พอเกิดการสั่นไหวแต่ละครั้งก็หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายเสียที แล้วก็หวังว่าแสงทองแห่งรุ่งอรุณแต่ละคราวจะไม่เปลี่ยนเป็นแดดจ้าและค่ำลงอย่างรวดเร็วอีก หวังว่าอะไรก็ตามที่กำลังจู่โจมโลกอยู่นั้นจะหยุดเสียที แต่แล้วโลกก็กลับมืดมิด มืดสนิท เงียบ ไม่มีวันและคืนอีกต่อไป มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า ราวกับว่าโลกสิ้นสูญไปแล้ว และจักรวาลก็สลายลง ถูกดูดกลืนเข้าไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของหลุมดำกลางอวกาศอันมืดมน เบล้กจ้องผ่านกล้องแต่ก็มองไม่เห็นอะไร ไม่มีแม้แต่ประกายแสงริบหรี่สักแวบเดียว ตอนนั้นเอง เบล้กเพิ่งรู้สึกว่า ที่ถนนมีเสียงคนอึกทึกอลหม่านด้วยกลัวและตื่นตกใจ เขาได้ยินเสียงหวีดร้องจากเบื้องล่างเมื่อผู้คนชายหญิงไขว่คว้าหากันในความมืด บ้างเฮเข้าคว้าเกาะราวลูกกรงของสวนที่เพิ่งสร้างใหม่ เบล้กมองไม่เห็นหน้าต่าง ได้แต่งุ่มง่ามคลำกล้องโลหะอยู่ในความมืด ทั้งๆ ที่มองอะไรไม่เห็น ครู่หนึ่งจึงละจากกล้องค่อยๆ ย่องสามก้าวไปทางที่รู้ว่าเป็นหน้าต่างที่เปิดอยู่ ความมืดนั้นทึบแน่นเสียจนเขาอึดอัดแทบจะหายใจไม่ออก เท้าเสยเข้าไปเหยียบสายผ้าผูกเอวเสื้อคลุมอยู่บ้านที่สวมกันหนาวอยู่ ใส่เสื้อแบบนี้ถูกกว่าใช้เตาผิงหรือตะกรับถ่านด้ามยาวอุ่นเตียงก่อนเข้านอน แต่ตอนนี้ ในความมืดขนาดนี้ เขานึกเสียใจที่ตระหนี่และอยากเหลือเกินที่จะให้มีแสงจากเปลวไฟแม้เพียงแสงริบหรี่ที่สุดก็ตาม เขาคลำทางไปที่หน้าต่างและชะโงกมองข้ามฝั่งจัตุรัสด้านตรงข้าม สายตาพุ่งไปจับที่มาของแสงแหล่งเดียวที่เห็น เป็นแสงเทียนสลัว ๆ จากห้องชั้นบนของบ้านอีกฟากหนึ่งของสวน เห็นเงาร่างหนึ่งท่าทางเหมือนมองกลับมาในความมืด เขาเห็นแต่แสงนั้น อาจเป็นเพียงแสงเดียวในโลกเสียก็ไม่รู้ เขาได้ยินเสียงม้าในถนนตื่นและร้อง พลางวิ่งลุยโคลนไป เสียงกีบกระทบก้อนหินสนั่นหวั่นไหว เบื้องล่างเสียงคนเอะอะตื่นกลัวกันใหญ่เมื่อโรงเตี๊ยมตรงหัวมุมถนนไล่พวกลูกค้าขี้เมาออกมานอกร้านทั้งมืดๆให้นอนกองรวมกันอยู่เหมือนหนูตาบอดทั้งฝูง ส่งเสียงอ้อแอ้โหวกเหวกอยู่ในความมืดที่เหมือนไม่มีวันสิ้นสุด เบล้กคอยอยู่ในห้องอันมืดมิด แต่จะคอยอะไรและต้องคอยนานเท่าไรเขาก็ไม่รู้ ได้แต่รอฟังเสียงอึกทึกในถนนโดยไม่รู้จะทำอะไรต่อไป อีกฟากห้องมีประตูออกไปสู่บันไดอยู่ตรงไหนสักแห่ง เขารู้ว่าข้างนอกนั้นมีเทียนไขจุดไว้ในห้องโถงทางเดินร่วม จึงลองเดินเปะปะข้ามห้องไปเหมือนขอทานตาบอด เลยหกล้มลงบนพื้นห้อง สะเก็ดไม้ที่เพิ่งแตกกระจายบาดฝ่ามือเข้าให้ สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ได้ว่าถนนอยู่ทางขวามือก็คือ เสียงความสับสนอลหม่านที่ดังมาจากทางนั้น เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้แสวงหาความจริง แต่แม้จะมีความรู้มากมายกว้างขวาง ความรู้ที่มีก็หาช่วยอะไรได้ไม่ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เบล้กตระหนักแน่ว่าเขาก็เป็นเช่นคนอื่นๆ ทั้งโลก... ช่วยตัวเองไม่ได้ จากอีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง เขาได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฝูงชนอลหม่านวุ่นวายเพราะมองอะไรไม่เห็น แห่กันออกมาอยู่เต็มถนนทั่วไป ทหารยิงปืนกราดไปในความมืดอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ เมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนเหมือนจะบ้าคลั่งกันไปทั้งโลกอยู่รอมร่อ เขาได้ยินเสียงคนร่ำไห้โหยหวนด้วยตามืดเหมือนบอดมองไม่เห็นสิ่งใด ครั้นแล้ว โดยปราศจากลางบอกเหตุใดๆ แสงจ้าก็ฉายวาบสว่างขึ้นทั่วท้องฟ้าจนตาแทบบอด ไกลออกไปทางตะวันออก ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์แทงทะลุชั้นบรรยากาศลงมา ไม่มีใครหลบเลี่ยงความจ้าของแสงนี้ได้ เมื่อแสงนั้นพุ่งผ่านลงมาราวกับสายฟ้าแลบ นครลอนดอนพลันเงียบกริบ คนทั้งเมืองเฝ้ารอคอย ส่วนในห้องของเบล้กนั้น เขาจัดการแก้เชือกพันเท้าออกได้และหากล้องโทรทัศน์จนพบ พอได้กล้อง เขาก็ใช้ส่องมองท้องฟ้าอีก ลำแสงจัดจ้ายังวาบขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งจ้าจรัสทะลุทะลวงความมืดมากขึ้นทุกที เบล้กส่องกล้องมองเห็นสิ่งที่เขารอคอยมานาน ไกลลิบขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงที่อยู่สูงสุดในท้องฟ้า เขาเห็นดาวดวงหนึ่ง มิใช่ดาวธรรมดาเป็นดาวหางขนาดมหึมาที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน สมควรแก่สมญามังกรฟ้ายิ่งนัก เบล้กเห็นอย่างชัดเจนว่า ส่วนหางเป็นลำแสงที่กระจายเป็นทางยาวสีขาวห่างจากส่วนหัวไปมาก เขารู้ว่าดาวนั้นยังอยู่ไกลยิ่งนัก แต่ก็ยังรู้สึกกังวลด้วยสำนึกบางอย่าง รูปพรรณสัณฐานของดาวที่ทาบทับอวกาศในท้องฟ้าดำมืดสงัดงันแสดงชัดว่า ส่วนเขาของมังกรชี้ตรงแน่วมา เบล้กเลิกมองและเมินหน้าไปทางอื่น ไม่กล้าเชื่อว่ากำลังเห็นอะไร ไม่กล้าเชื่อว่ากำลังคิดถึงอะไรอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ถ้าเชื่อถือได้จริงละก็... เขาเผลอพูดดังๆ ออกมา ระหว่างที่ยกมือลูบหน้าอย่างสับสน เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าคงหลงไปเอง เขาพูดเสียงเข้ม หวังจะหนุนตนเองให้กล้าเผชิญความตื่นตระหนกที่กำลังพลุ่งขึ้นมาจนแข้งขาอ่อนยวบ ดาวหางนั้นกำลังมุ่งมาทางโลก เขาพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ มังกรจะคืนรัง ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นช้าๆ ทางทิศตะวันออก เพิ่งเลยสองยามไปสิบห้านาทีแต่อรุณจะรุ่งขึ้นมาแล้ว เบล้กหัวเราะหึหึอยู่คนเดียวพลางสั่นหัว ภายนอก ความบ้าคลั่งสงบลง ฝูงชนที่จับกลุ่มกันบนถนนพากันแหงนมองฟ้า ไม่มีใครสนใจคนบาดเจ็บและคนที่กำลังจะตาย แม้แต่บ้านในซอกเล็กซอยน้อยกำลังถูกไฟไหม้ก็ไม่มีคนมอง ทุกผู้ทุกคนแหงนเงยมองดวงอาทิตย์แรกอรุณ สาดแสงสว่างร้อนแรงละลายความมืดดำในท้องฟ้า เบล้กยั้งตนเองไม่อยู่และให้นึกอยากเหลือเกินที่จะตะโกนลงไปทางหน้าต่างเพื่อบอกข่าวการค้นพบของเขาแก่ฝูงชนที่จับกลุ่มกันอยู่เบื้องล่าง เขาเต้นระบำไปรอบๆ ห้อง กระทืบพื้นไม้ตึ้กตั้กเป็นจังหวะ ทำให้เสื้อคลุมสีแดงหนาส่ายหมุนกลับไปกลับมา ราวกับนางละครเต้นระบำตลกให้เด็กดู เต้นไปพลางหัวเราะไปและตะโกนร้องเป็นทำนองไปว่า ดาวหาง ดาวหาง ดาวหางเวิร์มวู้ด! มาแล้ว แต่พอหมุนตัวก็สะดุดล้มโครมลงบนพื้น เสื้อคลุมพันตัวเสียแน่น ยิ่งหัวเราะไปกลิ้งไปรอบๆ ก็ยิ่งพันแน่นหนักขึ้นจนดูคล้ายไส้กรอกยัดแน่นรูปร่างพิกล เขาเห็นภาพตนเองในกระจกเงาบนเพดาน ภาพนั้นหักเหและแยกเป็นส่วนๆ เนื่องจากกรอบกระจกที่ทำด้วยตะกั่ว เขาหัวเราะเสียเต็มอยาก น้ำตาไหลอาบหน้า พุงก็แทบจะปริระเบิด เสียงหัวเราะสะท้อนก้องเมื่อกระทบผนังแต่ละด้าน แล้วกระจายหายเมื่อเล็ดลอดออกไปทางหน้าต่างหน้าบ้านที่เปิดอยู่ มีแต่เขาเท่านั้นที่เห็นดาวหางดวงนี้ นี่คือดาวหางของเบล้ก ดาวนำทางสู่ยุคใหม่ของเขา เขาได้ยินเสียงตะโกนอย่างยินดีปรีดาดังมาจากถนนเบื้องล่าง ผู้คนหลั่งไหลออกมาจากบ้านของตน พวกขี้เมาที่งงงันเพราะถูกไล่จากโรงเตี๊ยมยันกายเขลอะโคลนขึ้นมาจากพื้นถนนที่เกาะยึดเอาไว้ด้วยความกลัวแล้วโผเข้ากอดกันทั้งๆที่แขนยังเปื้อนเปรอะด้วยโล่งใจที่แผ่นดินไหวและพายุจบสิ้นลงเสียได้ เบล้กลุกขึ้น รีบรุดไปที่หน้าต่างเพื่อร่วมไชโยโห่ร้อง เขาถอดเสื้อคลุมออกโบกไปมาราวกับเป็นธงของประเทศชนะศึกที่ใดสักแห่ง ไชโยสามครั้งถวายพระราชา แม้พระสติไม่สมประกอบก็ยังนำความปีติยินดีมาสู่เราทุกคน เขาตะโกนเสียงแหลมปรี๊ด แต่แล้วเบล้กก็รู้สึกว่าความเงียบกริบเกิดขึ้นอีกอย่างฉับพลัน ตอนนี้ฝูงชนเลิกมองฟ้าหันกลับมามองลานในถิ่นฮอลบอร์นและทุ่งนารอบๆ ลินคอล์นส์ อินน์ เสียงกีบม้ากระทบดินและหินดังมาแต่ไกล ฟังออกว่าเป็นเสียงฝูงม้าที่กำลังตื่นกลัวยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ฝูงม้าซึ่งถูกปล่อยไว้ในจัตุรัสเร่งรีบเข้ามารวมตัวกันราวกับว่าถูกเรียกโดยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน มันเตะทุกคนที่ยืนอยู่ใกล้ ชายผู้หนึ่งถูกโขกเข้ากลางหลัง ล้มลงตายคาที่ เสียงฝีตีนม้าก้องสะท้อนใกล้เข้ามาจากถิ่นฮอลบอร์น พร้อมกับเสียงร้องและเสียงหายใจฟืดฟาดเมื่อฝูงม้าแตกตื่นเร่งรุดไปตามถนนหลายสาย บ้างยังลากซากแตกวิ่นซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นรถหรู ตัวอื่นๆ ที่วิ่งตัวเปล่า ปราศจากบังเหียนหรือเชือกล่ามติดรถ เตะและดีดราวกับจะหนีให้หลุดพ้นจากพลังอำนาจไร้ตัวตนซึ่งหวดแส้เข้าใส่หรือไล่กัดข้อเท้าของมันอยู่ มันแตกตื่นหนีภัยแห่กันมาเต็มถนนตะลุยฝ่าฝูงชนที่ออกันในทุ่งกว้างฮอลบอร์นราวกับกองทหารม้าจู่โจมเข้าฟาดฟันทุกคนที่ขวางทาง เข้ามาจุกอยู่ในถนนใหญ่จนเต็มแผงเหล็กกั้นทั้งสองฟาก แล้วกระจายเข้าไปในถนนสายย่อยในเขตบลูมสเบอรี่และห้อเต็มเหยียดผ่านตรอกซอยแคบๆ ลุยทะลายบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ อย่างประณีตสวยงาม ม้าที่เลี้ยวเข้ามาในจตุรัสมีทั้งสีเทาดำและน้ำตาลปนแดงมากกว่าร้อยตัว ล้วนแต่เคยเป็นม้าสันดานดีแต่บัดนี้กลับกลายไปเพราะความกลัว มันพากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เบล้กมองลงมาจากหน้าต่าง เขาช่วยเหลือใครไม่ได้เลย ชายหนุ่มตะโกนเรียกฝูงชนแต่เสียงฝีตีนม้ากลบเสียงเขาเสียสิ้น เขาใช้กำปั้นทุบขอบหน้าต่างอย่างสิ้นหวัง เบื้องล่างนั้นผู้คนยืนตัวแข็ง ตะลึงงันอยู่กับที่เพราะฝูงม้าที่พุ่งเข้าใส่เป็นระลอกเหมือนกระแสคลื่น ภายในไม่กี่นาทีฝูงม้าตื่นก็เหยียบย่ำทุกคนที่ขวางทางมันจนสิ้น เหยื่อไม่ทันมีเวลาส่งเสียงร้อง ไม่ทันตะโกนด้วยความกลัว ไม่มีเวลาวิ่งหนี เมื่อม้าทั้งฝูงผ่านไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือซากมนุษย์ที่ยับเยิน เหมือนถูกทิ้งลงจากเรือแล้วกระแสน้ำพัดพามาเกยฝั่ง เหลือรอดชีวิตแต่ผู้ที่เกาะแผงเหล็กกั้นถนนไว้แน่น หรือแอบอยู่ตามทางเข้าประตูบ้านหรือลงไปซ่อนในชั้นใต้ดินของตึกแถวที่เพิ่งสร้างใหม่ริมจัตุรัส ต่างพากันหมอบนิ่งด้วยความกลัวเหมือนหนูใหญ่เข้าไปแออัดยัดเยียดอยู่ในถัง สาเหตุที่ทำให้ม้าตื่นกลัวปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ไล่ล่าฝูงม้าเข้ามาในจตุรัสบลูมสเบอรี่คือสุนัขนับพันที่ถั่งโถมออกมาจากทุกซอกซอย คูน้ำข้างถนนและทุกมุมของนครลอนดอน ราวกับคลื่นยักษ์สาดซัดเข้ามา บรรยากาศอื้ออึงด้วยเสียงเห่าและแยกเขี้ยวคำรามเมื่อมันขย้ำกัดทุกสิ่งที่ขวางหน้าราวกับมีอำนาจลี้ลับเข้าครอบงำ ความตระหนกกลัวนั้นแรงกล้า ชัดเจนโจ่งแจ้งเกินกว่าจะคิดเอาเองได้ เด็กๆ ที่วิ่งออกมากลางถนนเพื่อดูท้องฟ้าอันงามตระการน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อครู่ก่อน ตอนนี้พากันหวีดร้องเมื่อฝูงสุนัขได้กลิ่นเหยื่อ ทุกคนออกวิ่งหนี บ้างปีนขึ้นต้นไม้ บ้างกระโดดข้ามรั้วหรือไม่ก็ไต่ขึ้นไปบนกำแพงผนังหินของบ้านแถบนั้นเพื่อหลบให้พ้นฝูงหมา ทั้งหมาข้างถนน สแปเนียลราคาแพงของพวกเศรษฐี หมาเด็คฮาวน์จากเรือล่องแม่น้ำและสุนัขเลี้ยงพันธุ์เล็กขี้โอ่ต่างวิ่งออกมารวมกัน ราวกับความกระหายใคร่ล่าอันเป็นสันดานดิบของต้นตระกูลถูกปลุกเร้า เบล้กเห็นเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่งโกยอ้าวไปตามความยาวของจตุรัส บลูมสเบอรี่ เด็กนั้นอายุไม่เกินสิบสอง เท้าเปลือยเปล่าวิ่งลุยโคลนไปอย่างรวดเร็วเพราะถูกหมาหลายตัวไล่งับส้นเท้าและชายเสื้อคลุม เด็กน้อยแหกปากร้องไปพลางวิ่งพลาง ทางขวามือมีหญิงชรานางหนึ่งนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น นางถูกหมาฝูงหนึ่งรุมล้อม ทึ้งแขนขาแล้วลากข้ามถนนไปอีกฟากราวกับเป็นตุ๊กตาเศษผ้าขี้ริ้ว นางไม่ได้ส่งเสียงเลย ไม่ได้แสดงท่าขัดขืน ชีวิตคงหลุดลอยออกจากร่างไปก่อนหน้านั้นตั้งพักใหญ่แล้ว เด็กชายตะกายไปถึงกิ่งไม้เตี้ย กระโดดขึ้นคว้ากิ่งไม้ได้ก็เหวี่ยงตัวขึ้นจากพื้นดิน เกือบไม่ทันกับที่หมากลางถนนตัวดำล่ำใหญ่กระโจนเข้าใส่พร้อมทั้งอ้าปากตั้งท่าจะงับเนื้อของเขาให้จมเขี้ยว ความโกลาหลกระจายไปทั่วจัตุรัสเมื่อสุนัขแยกเป็นกลุ่มเล็กๆ ไล่ล่าเหยื่อเข้าไปในกัลลอน เพลซ และถนนค็อปติก ทั้งนครลอนดอนราวกับสนั่นก้องไปด้วยเสียงร่ำไห้ของผู้คนที่ถูกหมาฟัดอย่างโหดเหี้ยม ทันใดเสียงเคาะก็ดังลั่นขึ้นที่ประตูบ้านของเบล้ก มือจับสำหรับเคาะรัวกระทบแผ่นโลหะบนประตู ส่งเสียงก้องสะท้อนจากห้องโถงทางเดินร่วมขึ้นไปตามบันไดเวียนจนถึงห้องส่องดาว เบล้กมองลงไปข้างล่างเห็นไอแซค บอนนั่ม สหายและสมาชิกร่วมสมาคมวิชาการแห่งอังกฤษยืนอยู่ริมถนน กำลังตะโกนลั่นพร้อมกับทุบประตู ซ้ำยังต้องพยายามสลัดหมาเด็คฮาวน์สีน้ำตาลตัวเล็กซึ่งกัดขาเขาแน่นให้หลุดออกไปอีกด้วย เบล้ก เปิดประตูให้ข้าเร็วๆ เข้าซิวะ! เขาร้องเรียก น้ำเสียงแสดงว่าเจ็บเต็มทนที่ถูกหมากัด เบล้ก ยิงไอ้หมานี่ทีโว้ย! ข้าจะเข้าไปข้างใน! ทำอะไรเข้าซักอย่างซิวะ! หมาตัวเล็กนั่นร้องเอ๋งด้วยความเจ็บปวด เมื่อเขาเตะมันกระเด็นไปปะทะเหล็กรั้วบ้าน แต่แล้วหมาใหญ่พันธุ์มัสติฟฟ์อีกสามตัวก็ย่างสามขุมเข้ามาในจัตุรัสอย่างช้าๆ มันหายใจฟืดฟาดกระหืดกระหอบ ปากก็เปื้อนเลือดสดๆ มันมองบอนนั่มและแม้จะยังอยู่ไกลขนาดนั้น มันก็ยังจับกลิ่นรู้ได้ว่าเขากลัว เบล้กเห็นหมาร้ายทั้งสามเข้าก็ตระหนักว่าเพื่อนอยู่ในอันตรายวิกฤติ จึงเผ่นไปที่ประตู รู้ว่าจะต้องปฏิบัติการให้เร็วกว่าหมาจึงจะช่วยชีวิตเพื่อนได้ทัน ตะกายออกวิ่งลงบันไดเวียนวนไปจนขาแทบพันกันทุกช่วงบันได หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก ภายนอก มัสติฟฟ์ทั้งสามจ้องบอนนั่มอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกระโจนเข้าใส่ ก้าวหนึ่งได้ระยะทางเกือบหลา วิ่งพลางน้ำลายมันก็ไหลยืด มันเห่าคำรามพลางแยกเขี้ยวใหญ่เปื้อนเลือดระหว่างวิ่งใกล้เข้ามาทุกที บอนนั่มตะโกนลั่นเมื่อสังเกตชัดว่าหมามันตั้งใจวิ่งรี่เข้าใส่เขา ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเป็นสุนัขจิ้งจอกจนมุมจวนจะโดนหมาล่าเนื้อรุมทึ้งเป็นชิ้นๆ และขม้ำเสีย เฮ้ย เร็วๆ เข้าซี่โว้ย! เปิดให้ข้าเข้าไปเร็ว ๆ! เบล็กสะดุดขาตนเองล้มกลิ้งลงไปกองอยู่ชานพักเหนือบันไดช่วงล่างสุด ลุกขึ้นได้ก็รีบวิ่งพลางตะโกนพลาง บอนนั่ม ระวังตัวไว้ก่อน ข้ามาแล้ว! ตอนนี้เหลือบันไดอีกช่วงเดียวกับความยาวของห้องโถงก็จะถึงประตูหน้าแล้ว แต่พลันก็ใจหายวับ เฮ้ย กุญแจ กุญแจอยู่ไหนวะ? ข้างนอก บอนนั่มได้แต่จ้องหมาใหญ่สามตัวเผ่นโผนตะกุยโคลนกระจายแข่งกันมาด้วยความกระหายเลือด เขาจำใจฮึดสู้ ยืดหลังตรงพิงประตูแล้วชักปืนพกขนาดเล็กออกมาจากเข็มขัด ทั้งที่รู้ว่าจะยิงได้แค่นัดเดียวและกำจัดหมาไม่ได้ทั้งสามตัว เขาก็คุมสติใช้มือทั้งสองกุมปืนเล็งไปที่หมาพวกนั้น มันควบเข้ามาหาเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย บอนนั่มเล็งไปที่เจ้าตัวจ่าฝูงซึ่งใหญ่กว่าเพื่อนและวิ่งนำอยู่หนึ่งช่วงตัว เขาเหนี่ยวไกปืนช้าๆ นกสับลั่น ดินปืนระเบิดส่งกระสุนเข้ากลางอกเจ้าจ่าฝูงถนัดถนี่ มันร้องโหยหวนจนหูแทบแตกแต่ยังไม่ยอมถอย บอนนั่มหลับตาคอย อีกไม่เกินสามสิบวินาทีเขาก็คงจะตกเป็นเหยื่อหมากลุ่มนี้ เบล้กมาถึงประตูไม้โอ๊กหนา ซึ่งใส่สลักสี่ตัวและกุญแจสองดอก ชายหนุ่มถอดสลักพลางนับทีละตัว หนึ่ง สอง สาม สี่ กุญแจ! กุญแจ! เขาตะโกนพลางเหลียวหาที่ซ่อนกุญแจด้วยความกระวนกระวายแทบบ้า ดีว่ามองต่ำลงไปก็เห็นกุญแจนั้นเกี่ยวคล้องอยู่กับตะขอตัวเล็ก จึงคว้ามาสอดเข้าไปในรูกุญแจดอกบนบิดฉับเพราะรู้ว่าขืนช้ามีหวังบอนนั่มจะถูกสุนัขขย้ำตายเสียก่อน มือไม้เปะปะด้วยรีบร้อนจนกุญแจพลัดมือตกลงบนพื้น ต้องรีบคว้าขึ้นมาไขกุญแจตัวล่างสุดซึ่งทั้งฝืดและหมุนยากแต่ในที่สุดก็ไขออก พอได้ยินเสียงแกร็กเขาก็ตบมือจับสุดกำลัง เหนี่ยวกระชากประตูบานมหึมาให้เปิดออก บอนนั่มเซหงายหลังเข้ามาในห้องโถง ทิ้งเบล้กให้ประจันหน้ากับหมาร้ายสามตัวที่กำลังโผนเผ่นเข้าใส่เขา เมื่อเห็นหมาตัวที่บาดเจ็บรวบรวมกำลังตะกายจากถนนขึ้นบันไดหินอ่อนตรงมา เบล้กผวาเข้ากระแทกประตูปิดและใส่สลัก แม้แรงปะทะดังสนั่นของเจ้าสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นจะทำให้ประตูสั่นไหวแต่สลักก็ยังยึดไว้มั่นคง เขาได้ยินเสียงมันล้มลงบนพื้น ในที่หลบภัยนั้นเงียบงัน บอนนั่มจ้องเบล้กตาเขม็ง อย่างุ่มง่ามอย่างนี้อีกเป็นอันขาดนะโว้ย เขาพูดพลางหายใจหอบถี่ ช้าอีกวินาทีเดียว ข้าเสร็จแน่ ********* (ติดตามตอนต่อไปครั้งหน้าค่ะ) LITERATURE ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต
Create Date : 12 เมษายน 2562
50 comments
Last Update : 11 พฤษภาคม 2562 9:38:07 น.
Counter : 1835 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า , คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณไวน์กับสายน้ำ , คุณโอน่าจอมซ่าส์ , คุณThe Kop Civil , คุณตะลีกีปัส , คุณtuk-tuk@korat , คุณสันตะวาใบข้าว , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณmcayenne94 , คุณmelody_bangkok , คุณสองแผ่นดิน , คุณhaiku , คุณtoor36 , คุณSweet_pills , คุณnewyorknurse , คุณวลีลักษณา , คุณญามี่ , คุณlife for eat and travel , คุณฟ้าใสวันใหม่ , คุณTurtle Came to See Me , คุณAsWeChange , คุณmariabamboo , คุณเรียวรุ้ง , คุณTui Laksi , คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณเริงฤดีนะ , คุณดาวริมทะเล , คุณผีเสื้อยิปซี , คุณหอมกร , คุณALDI , คุณInsignia_Museum , คุณPikku Mul
โดย: กะว่าก๋า 12 เมษายน 2562 11:01:00 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 12 เมษายน 2562 23:22:45 น.
โดย: กะว่าก๋า 13 เมษายน 2562 11:45:56 น.
โดย: กะว่าก๋า 13 เมษายน 2562 17:14:32 น.
โดย: กะว่าก๋า 14 เมษายน 2562 12:35:51 น.
โดย: หอมกร 16 เมษายน 2562 12:43:00 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 140 คน [? ]
BG Pop.Award #17 BG Pop.Award #16 BG Pop.Award #15 BG Pop.Award #14 BG Pop.Award #13 BG Pop.Award #12 BG Pop.Award #11 BG Pop.Award #10 BG Pop.Award #9 BG Pop.Award #8 BG Pop.Award #7 BG Pop.Award #6
สวัสดียามเช้าครับ
พี่ภาเก่งมากเลยครับ
การแปลนิยายไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
โดยเฉพาะนิยายแฟนตาซีหรือวิทยาศาสตร์
เพราะผมคิดว่าศัพท์แสงยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลยครับ
น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกพิมพ์นะครับพี่