Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2562
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 สิงหาคม 2562
 
All Blogs
 
นิยายแปล เรื่อง ดาวพิษ บทที่ 18 รัมสกิ้น แอชโมได & บทที่ 19 รถม้ากับดาวหาง แปลโดย ภาวิดา คนบ้านป่า

LITERATURE
นิยายแปล เรื่อง ดาวพิษ
บทที่ 18 รัมสกิ้น แอชโมได &
บทที่ 19 รถม้ากับดาวหาง
แปลโดย ภาวิดา คนบ้านป่า
****************************************************************

ความเดิม:
บทที่ 1 ดาวพิษเวิร์มวู้ด........บทที่ 2 เหตุป่วนสมอง........บทที่ 3 หมอยา
บทที่ 4 ซอยอินนิโก้............บทที่ 5 ปีกเทวดาตกสวรรค์
บทที่ 6 คัมภีร์อาถรรพณ์......บทที่ 7 ร้านบิ๊บเบิ้ลวิคบนสพานลอนดอน
บทที่ 8 ต้องตายก่อนจึงจะได้เป็นอิสระ.........บทที่ 9 ตายซ้ำเจ็ดครา
บทที่ 10 ประสานพลังศาสนเวทย์................บทที่ 11 เมืองต้องมนตร์
บทที่ 12 กำเนิดปีศาจร้าย......................บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า
บทที่ 14 ไคมีร่า – สัตว์พหุพันธุ์..............บทที่ 15 วิกาลภูตกับผู้คุม
บทที่ 16 สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์...................บทที่ 17 อรุณสีเลือด

เนื่องจาก 11 บทที่เหลือนี้ แต่ละบทไม่ยาวมาก และเรื่องราวก็เหลือเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ประกอบกับเพื่อนๆที่ติดตามอ่านบ่นว่าแต่ละบทไม่จุใจ และจขบ.ผิดนัดลงตอนใหม่ไปสองครั้ง ที่สำคัญ จขบ.อยากให้จบเร็วๆแล้ว และอาจไม่ค่อยได้ทักทาย ส่วนโหวตนั้นจะติดตามเหมือนเคยค่ะ ชีวิตหายวุ่นวายแล้วค่อยกลับมาสู่โหมดเดิมนะคะ

 
 

**************************************************************
 
บทที่ 18 - รัมสกิ้น แอชโมได

ในความมืดสนิทจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด เทกาตัสสะบัดตัวเหมือนแม่นกตัวใหญ่กกไข่ ระหว่างที่ได้ยินแต่เสียงครั่นครืนจากแม่น้ำเทมส์สะท้อนก้องลอดประตูโค้งเข้ามา

อเก็ตต้าเดินลากเท้าบนที่นั่งหินเตี้ยๆ ซึ่งทอดยาวตลอดกำแพงในห้องหลบภัย พลางคอยฟังเสียงจากร้านหนังสือ ความคิดพิลึกๆ จู่โจมเข้ามาในใจ นึกแล้วก็ให้เสียใจ สุดแสนที่ช่วยพาเทกาตัสหนีมาด้วยกัน ราวกับต้องมนตร์สะกดหรือถูกคาถาอาคมสะกดจิตดลใจให้เจ้าหล่อนช่วยเหลือเขา ดูเหมือนว่าเบื้องหลังรอยยิ้มบริสุทธิ์ของเทวดานั้นมีปีศาจร้ายคอยควบคุม

ในความมืด อเก็ตต้าเกิดคิดอยากจะฆ่าเขาขึ้นมา อาวุธอะไรจึงจะตีเขาให้ตายได้ล่ะ คิดแล้วก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์หนักขึ้น เทวดานี่ฆ่าได้ด้วยหรือ แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะได้ล่ะ มีวิธีพิเศษหรือเปล่า ต้องแทงด้วยมีดเงินหรือเย็บเปลือกตาให้ติดกันด้วยด้ายสีทองหรือไง หรือต้องรู้คาถาที่จะช่วยให้เขาตายสะดวกหรือเทวดาก็เป็นแค่มนุษย์เดินดินที่มีปีกเท่านั้น เด็กสาวคิดพลางกระเถิบห่างไปเล็กน้อย

ชั่วช่วงเวลาสั้นๆ ที่อุดอู้อยู่ในห้องหลบภัยนี้ อเก็ตต้าพยายามนึกถึงดวงหน้าของเขา ความมืดทำให้นึกไม่ค่อยออก เจ้าหล่อนพยายามนึกถึงตอนที่พบเขาครั้งแรก ดวงหน้านั้นมีเค้าทรงอำนาจ ดวงตาเปล่งประกายลึกลับดึงดูดใจมากจนแทบลืมหายใจ แต่ตอนนี้เจ้าหล่อนชักจะเปลี่ยนใจแล้ว ชักจะชิงชังวันที่พบเขาครั้งแรก

“หนังสือจะพูดกับคนได้ยังไง” อเก็ตต้ากระซิบในความมืด ไม่แน่ใจว่าเทกาตัสยังอยู่และได้ยินหรือไม่

“หนังสือปล่อยให้เจ้าคิดถึงแต่สิ่งที่เจ้าอยากคิด มันเร้าความคิดที่เคยไม่มีพิษภัยให้ลุกลามรุนแรงราวเสียงตะโกนของคนใกล้ตาย คำต่อว่าด้วยเกลียดชังก็จะกลายเป็นคาถาแช่งให้หายนะด้วยอาฆาตแค้น หนังสือจะทำให้เจ้าเป็นปุถุชนเต็มตัว”

“แล้วทำไมใครต่อใครอยากได้มันนักหนา” เจ้าหล่อนถามเสียงแผ่วเบา เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความมืดทำให้รู้สึกเหมือนพูดกับตัวเองหรือพูดกับพระเจ้าสักองค์ที่อาจตอบคำถามนี้ด้วยวิธีที่เจ้าหล่อนเข้าใจได้จริง

“ที่อยากได้เน็มโมเร็นซิสกันนักก็เพราะมันเล่าความลับไว้มากมาย จุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดอยู่ที่อยากรู้ว่าเน็มโมเร็นซิสปิดบังความลับอะไรไว้ หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนเป็นผู้ใช้อำนาจมากกว่าที่ควรจะมี”

“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ จะกลายเป็นผีตลอดไปมั้ย”

“ถามอีกแล้ว ถามสารพัดกับคนที่เจ้าเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ” เทกาตัสเงียบไปนานเพราะตั้งใจให้คำพูดทุกคำซึมซาบเข้าไปในจิตใจอันแห้งผากของเจ้าหล่อน “ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เทวดาก็เหมือนปลา เรารับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนส่งผ่านอากาศ วิญญาณเจ้าส่งเสียงดังกว่าคำพูดจากปากเสียอีก เพลิงโกรธในใจเจ้าแจ้งให้วิญญาณทุกดวงในเมืองนี้รู้ว่าเจ้าอยู่ในนี้”

“เจ้าทำให้ชีวิตข้าเปลี่ยนไป” อเก็ตต้าสวนทันควัน “ถ้าเจ้าไม่เคยมาที่นี่เลย ข้าก็คงยังอยู่กับพ่อและข้าคงไม่ขโมยหนังสือนั่นมา”

“เจ้าลืมเยอร์ซีเนีย เบล้กและคนอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของเจ้าไปจริงๆ หรือ ที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้ไร้เดียงสานักหรอก เจ้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”

“แล้วทำไมเทวดาถึงมีจุดจบอย่างนี้ ถูกกร้อนปีกและจับมาขังไว้ในโรงเลี้ยงและแสดงสัตว์หายากอย่างนี้ล่ะ”

“ก็เพราะข้าทำผิดจนทรงพระเมตตาไม่ลงน่ะสิ เรื่องนี้ข้าปฏิเสธไม่ได้ ข้าเขลาที่ยอมให้ความรู้สึกเป็นใหญ่กว่าความคิด ข้าจึงตกต่ำลงจากความสมบูรณ์แบบ ความรักทรงอานุภาพยิ่งนักและยิ่งไปรักผู้ที่ไม่ควรจะรักละก็ ยิ่งเลวร้ายที่สุด”

“แล้วในหนังสือนั่นมีเขียนบอกไว้มั้ยว่าเราจะเป็นยังไง”

“ก็มีแต่เรื่องโกหกเจ้าเพราะว่าผู้เขียนเป็นเจ้าแห่งการโกหกพกลมทั้งปวง ลายมือในทุกๆ หน้าล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกที่ทำให้คนทั้งโลกต้องเต้นตามมาแต่ไหนแต่ไร” เทกาตัสใช้มือทาบยันกำแพงหิน “เด็กน้อย คนอย่างเจ้าหมกมุ่นอยู่แต่กับความลับก็เพราะคิดกันว่าความลับเหล่านั้นทำให้ตัวมีอำนาจและอิทธิพล...ก็ลองบอกความลับสักข้อให้แก่ใครสักคน เขียนด้วยภาษาโบราณๆ สักภาษา เข้าเล่มให้ดูเป็นหนังสือโบราณ แล้วก็บอกเขาว่าหนังสือเล่มนั้นมาจากโลกอื่นและถ้าใช้ให้ถูกทางก็จะทำให้เขาร่ำรวยและมีอำนาจ ก็อย่างนี้แหละ เน็มโมเร็นซิสถึงได้เกิดมี เป็นคัมภีร์ที่อยากให้คนรัก มันคิดว่าตัวมันเองเป็นพระเจ้า จึงได้มีคนมากมายยอมตายเพราะอยากได้มันมาครอบครอง เปิดแต่ละหน้าก็ต้องสังเวยเสียครั้งหนึ่ง คำทุกคำที่อ่านเรียกร้องความตายเป็นค่าตอบแทน ลองจับมันสิ มือเจ้าจะไหม้ อ่านมันสิ จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกเผาผลาญ อ่านจบเมื่อไหร่เจ้าก็จะตกอยู่ในอาณัติของมันเมื่อนั้น”

“แล้วเบล้กล่ะ จะเป็นยังไง” อเก็ตต้าถามด้วยนึกเป็นห่วงนายเก่า

“เรียบร้อย โดนพิษเข้าตา กลายเป็นคนที่จิตวิญญาณทุรนทุรายไปแล้ว”

“แธดเดียสก็บอกว่าเขาเคยได้ครอบครองหนังสือ” เจ้าหล่อนบอก

“เขาก็คิดได้แค่นั้นแหละ เน็มโมเร็นซิสกลายเป็นสิ่งสุดปรารถนาของเขาไปเสียแล้ว ทุกยามที่เขาตื่นเขาจะได้ยินเสียงเน็มโมเร็นซิสร่ำร้องหาราวกับเด็กหลงทาง เขาจะยอมเสียทุกสิ่งที่มีและทุกคนที่เขารู้จักเพื่อให้ได้หนังสือเล่มนี้มา” เทกาตัสหยุดพูด
และฟัง “แม้แต่เจ้า เขาก็อาจเอาไปสังเวยได้”

ก่อนอเก็ตต้าจะทันตอบ เทกาตัสก็รีบเอามือตะปบปากเจ้าหล่อนไว้ เสียงเจ้าไดแอ็คก้าตะกุยพื้นแถวๆ เตาผิงดังมาจากในร้านหนังสืออย่างชัดเจน

“เจ้าหนูตายเอ๋ย” เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งพูดขึ้น “ออกมานี่เถอะ คนสวย ที่นี่ไม่มีอาหารเช้าหรอกนะ” เสียงนั้นดังคับห้องหลบภัยซ้ำสะท้อนก้องขึ้นไปถึงปล่องไฟ

“แถวนี้ไม่มีใครอยู่หรอก” ชายผู้นั้นตะโกนพูดเสียงดังขณะดึงเจ้าตัวนั้นออกห่างจากบริเวณเตาผิง

เสียงปิดประตูสะท้อนก้องอยู่ในร้านหนังสือแล้วเงียบหาย เทกาตัสดึงฝาหลังของเตาผิงซึ่งเปิดออกเป็นบานเดี่ยว ทำให้ห้องได้รับแสงอุ่นของไฟไม้ฮอลลี่

วิญญาณเด็กปรากฏขึ้นข้างๆ เทกาตัสส่งยิ้มให้ “เขาไปกันหมดแล้ว” เขาบอก “เหลือแต่เรา”

อเก็ตต้าได้ยินเสียงสั่นเครือแผ่วๆ และเห็นใบหน้าจางๆ กลางกลุ่มควันที่ลอยวนอยู่ก่อนจะเลือนหายไป “ปลอดภัยแล้วเหรอถ้าออกไปตอนนี้” เจ้าหล่อนถาม ใบหน้าอาบแสงสีส้มจากไฟเตาผิง เทกาตัสตั้งอกตั้งใจฟังเสียงจากด้านนอก

“ข้าไม่แน่ใจ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ไม่รู้ว่าอะไร”

“เขาไปกันแล้ว ไปหมดแล้ว ไม่ได้อยู่แถวนี้” ผีน้อยตอบราวกับจะบังคับให้เทกาตัสตามออกมา

อเก็ตต้าได้ยินเสียงที่เขาพูดชัดเจน อารมณ์โกรธทำให้ร่างเขาปรากฏชัดยิ่งขึ้น

“เราต้องไปกับเขา” เจ้าหล่อนว่า พลางดึงแขนเสื้อเทกาตัส “ข้าอยากออกไปจากที่นี่ ไปตามหาแธดเดียส เราต้องหาเขาให้เจอ”

อเก็ตต้าผลักเทกาตัสให้หลีกทางแล้วทำตัวลีบเดินผ่านช่องแคบๆ เข้าไปที่เตาผิงขนาดใหญ่ ก้อนหินที่เผาไหม้จนเป็นสีแดงส่งความร้อนอยู่เบื้องหลัง ความร้อนของไฟทำให้หน้าแห้งผากราวกับหนังตากแห้ง เจ้าหล่อนเดินสะดุดเข้าไปในห้อง ผีเด็กเดินทะลุไฟตามมาราวกับไม่มีไฟอยู่ตรงนั้น

“ข้าไม่อยากออกไป” เทกาตัสพูดมาจากด้านในของห้องหลบภัย “ถ้าเจ้าอยากไปก็ไปกันเถอะ ข้าจะอยู่ในนี้”

“ออกมาเหอะน่า” ผีน้อยพูดอย่างลุกลน

“ปล่อยให้เขาอยู่ในนั้นแหละ ถ้าเขาอยากอยู่” ชายคนนั้นพูดในขณะที่ไดแอ็คก้าผลักประตูให้เปิดออก “ข้าให้ไอ้เพื่อนตัวน้อยของข้าเข้าไปลากเขาออกมาเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว เนื้อเทวดาน่ะหวานชุ่มฉ่ำน่าเคี้ยวกว่ากระดูกของเด็กเล็กๆ เสียอีก”

“เทกาตัส!” อเก็ตต้าหวีดร้องเมื่อไดแอ็คก้าคลานตรงเข้ามาหา มันจิกกรงเล็บยาวๆ ครูดพื้น พอชายผู้นั้นปล่อยมันเป็นอิสระ มันก็วิ่งตรงเข้าใส่อเก็ตต้า มือที่มีขนเหมือนลิงฉวยปกเสื้อเจ้าหล่อนดึงเข้ามาใกล้ แล้วพ่นลมหายใจอุ่นเหม็นเน่ารดเด็กสาวพลางสำรวจเจ้าหล่อนด้วยดวงตาสีเขียวขุ่นๆ ใช้จมูกอ้วนๆ ทู่ๆ ดมๆ แล้วแลบลิ้นยาวๆ สีฟ้าออกเลียเล็มหยดเหงื่อบนดวงหน้าเจ้าหล่อน ใบหน้ามันย่นด้วยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ขณะหันกลับไปมองนายที่ถือสายหนังล่ามมันอยู่

“อย่าเพิ่ง” เขาพูดด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย พลางปัดฝุ่นจากเสื้อคลุม มือข้างหนึ่งขยับหน้ากากปิดหน้าเข้าที่ เจ้าสัตว์ตัวร้ายถอนหายใจพลางหันมาดมๆ อเก็ตต้าอีกครั้ง พยายามซุกหน้าเข้าไซ้ผมของเจ้าหล่อน ชายผู้นั้นกระตุกเชือกจูงอีกครั้ง “พอแล้ว รัมสกิ้น นังหนูนี่ไม่ใช่ของเจ้า ข้าได้รับคำสั่งให้พาเจ้าหล่อนไปพบกับท่านเจ้าอาราม แต่เอาเถอะ เจ้าอาจได้เคี้ยวกระดูกหล่อนบ้างก็ได้” เขามองที่เตาผิง “เจ้าผีน้อยตัวนั้นบอกข้าว่ายังมีใครอยู่ในห้องหลบภัยอีกนี่ เทวดาด้วยนะถ้าจำไม่ผิด”

“ผีเด็กนั่นบอกเจ้าเหรอ” อเก็ตต้าถาม

“มันต้องบอกเพราะทนอยากรู้ชื่อตัวเองไม่ไหวหรอก พอเราเข้ามาในร้านหนังสือ มันก็รอจะบอกเรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนนี้เราได้ตัวแธดเดียสกับปีศาจทั้งหมดของเขาไว้แล้ว
ไอ้หมาล่าเนื้อตัวน้อยๆ ของข้านี่จับผีเก่งซะด้วยสิ” เขาหัวเราะ

“ทำไมเขาขายเราให้เจ้าเร็วนักล่ะ ชื่อเขาสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ”

“เด็กเอ๋ย เจ้าไม่รู้ละสิ ชื่อน่ะเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มันมี ชื่อคือศูนย์รวม ความทรงจำทั้งชีวิต ตอนนี้มันยืนอยู่ระหว่างชีวิตและความตาย เลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหน ชื่อมันถูกริบไปตั้งแต่ตอนที่ถูกลวงมาที่นี่ ถ้าได้ชื่อคืนมันจึงจะได้หลุดพ้นจากชีวิตครึ่งๆ กลางๆ นี่ไปสู่ภพหน้าตามที่ควรไป”

“เจ้ากักเขาไว้ให้ตายโดยไร้ชื่ออย่างนี้น่ะเหรอ” เจ้าหล่อนถาม

“ข้าไม่ได้ทำ ผู้ที่จับเขาได้ตอนสิ้นลมต่างหากที่ทำ ก็ไม่ได้ยากอะไรแค่สะกดวิญญาณไว้ขณะออกจากร่าง แล้วนำกระดูกบางส่วนหรือไม่ก็เส้นผมไปเสกมนตร์คุมไว้เท่านั้นก็เก็บไว้ใช้งานได้ตลอดไป”

อเก็ตต้าหันหน้าหนีไดแอ็คก้าที่ยังคงอิงหน้าเย็นและเปียกชื้นแนบหน้าเจ้าหล่อน เด็กสาวกวาดสายตาไปทั่วๆ ห้องมองหาร่องรอยของผีเด็กที่หักหลังเจ้าหล่อนและเทกาตัส

“รัมสกิ้นชอบเจ้านะ” ชายผู้นั้นพูดขณะดึงสายบังคับ “ถ้ามีบาทหลวงสักองค์ คงจะจัดงานแต่งงานให้เจ้าทั้งสองได้”

“พ่อข้าบอกว่าใครที่จะแต่งงานกับข้าน่ะต้องมีอันจะกิน” อเก็ตต้าตอกกลับ พยายามเบี่ยงตัวหนีจากเจ้าสัตว์ตัวนั้น

“โอ๊ย รัมสกิ้นมีอันจะกินแยะ มันกินได้ทุกอย่าง คนก็กินได้ทุกคนแหละ มันจอมตะกราม กินเท่าไรก็ไม่หายอยากหรอก” ชายผู้นั้นมองที่เตาผิงอีกครั้ง “เทวดา!” เขาตะโกน “ออกมาจากหลุมได้แล้วหรืออยากจะอยู่ในนั้นไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์”

“เจ้าฆ่าเทวดาได้ด้วยเหรอ” อเก็ตต้าถาม

“ก็พอจะทำให้กลายร่างได้ จากโฉมเรืองรัศมีมาเป็น...” เขาหยุดพูดและมองที่
ไดแอ็คก้า “ก็ดูอย่างรัมสกิ้นสิ มันไม่ได้สวยงามอย่างนี้มาก่อนหรอกนะ” รัมสกิ้นทำตัวสั่นสะบัดขนเปียกๆ ขณะตะปบจับอเก็ตต้าไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด “ปัญหาของพวกเทวดาก็คือไม่ช้าไม่นานก็มักจะหลงตัวเอง พอลงจากสวรรค์และพ้นจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของนายแล้วก็พบว่าตัวเองเหมือนเราๆ นี่แหละ ไม่อาจรอดพ้นไปจากอำนาจแห่งกิเลสตัณหาได้หรอก” ชายผู้นั้นหยุดและมองไปที่ไดแอ็คก้า “ครั้งหนึ่ง รัมสกิ้นก็เคยเป็นเทวดามาก่อน เคยสวยงามแบบนั้นเหมือนกันแหละ แต่พอถูกกิเลสตัณหาครอบงำเลยกลายโฉมเป็นไดแอ็คก้า สุดหล่อของข้านี่ไงล่ะ”

รัมสกิ้นโดดขึ้นยืนด้วยสองตีนหลังและส่งเสียงคำรามจนตึกไหว มันเหวี่ยงอเก็ตต้าลงบนพื้น สะบัดตัวกระชากสายบังคับและแยกเขี้ยวขาวพ่นเลือดแดงเข้มไปทั่วห้อง ชายผู้นั้นดึงไม้ยิวกิ่งหนึ่งจากขอบรองเท้าบู๊ตหวดลงกลางหลังมัน หวดลงไปแต่ละครั้งก็เกิดประกายสายฟ้าสีน้ำเงิน มันสะดุ้งและบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ก่อนสยบราบลงกับพื้นพลางส่งเสียงครวญครางเหมือนแมวตัวโตๆ

“พอได้แล้ว!” ชายผู้นั้นตะโกน “เรายังมีงานต้องทำ ยังต้องไปแซะเนื้อหอยจากเปลือกอีก” เขามองไปทางเตาผิง “ออกมาเถอะเว้ย ไอ้ทูตสวรรค์กระจอก” เขาเย้ย

เทกาตัสก้าวออกจากห้องหลบภัยเข้าไปในร้านหนังสือ ใบหน้าอิดโรย ซูบซีด ดวงตาเศร้าสร้อย อเก็ตต้าสังเกตว่าท่าทางเขาอึดอัดที่ต้องสวมเสื้อผ้าของพ่อเจ้าหล่อน ชุดใส่ไปงานศพลู่ลีบแนบตัวเขาเหมือนหญ้าบนพื้นดินแฉะๆ

“เทวดาเรอะนี่ เท่ซะไม่มี!” ชายผู้นั้นพูด ไดแอ็คก้ากระโดดขึ้นๆ ลงๆ เหมือนหมาอยู่ไม่สุข “ทำอะไรให้หน่อยได้มั้ย” เขาถาม “ขอดูปีกหน่อยสิ”

เทกาตัสมองอเก็ตต้า เจ้าหล่อนเห็นแววสะเทือนใจในดวงหน้านั้น เขาเสเงยหน้ามองเพดานเพื่อกลั้นน้ำตา “เขาไม่มีปีกแล้ว” เจ้าหล่อนว่า “ปีกถูกขริบไปหมดจะได้บินหนีไม่ได้ พ่อข้าอยากเอาเขาไปแสดงเป็นสัตว์ประหลาด พ่อเลยเก็บขนปีกเขาไปหมด”

“พ่อเจ้าคงจะรวยละทีนี้ เพราะขนปีกเทวดาน่ะหายากพอๆ กับฟันเทวดาเชียวนะ ข้าอยากเห็นรัมสกิ้นสวมสร้อยร้อยจากฟันที่ถอนออกจากปากของเทวดาสดๆ ร้อนๆ”

ไดแอ็คก้าคำรามใส่เทกาตัสทั้งพยายามกระชากสายบังคับ “ข้าว่าไดแอ็คก้าอยากให้เจ้าไปกับเรา เรามีรถม้ารออยู่ข้างนอก มีคนหลายคนรอพบเจ้าอยู่”

ทันใดนั้นผีน้อยก็ก้าวออกมาจากแผ่นไม้ที่ชั้นหนังสือไม้โอ๊กในร้านหนังสือ เป็นครั้งแรกที่รูปกายของแกปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนด้วยแสงจากเตาผิงผสานแสงรุ่งที่เริ่มเรืองผ่านหน้าต่างกระจกหนาๆ เข้ามา

“แล้วข้าล่ะ” เจ้าผีน้อยถาม “เจ้าสัญญาว่าจะคืนชื่อให้ข้าไงล่ะ”

“ข้าโกหกว่ะ” ชายผู้นั้นตอบเสียงเย็นทั้งยังยิ้มเย้ยเจ้าผีน้อย “เจ้าอยู่แถวนี้ต่อไปอีกสักสองสามศตวรรษ ใครมาแถวนี้เจ้าก็หลอกหลอนเล่นไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันวะ ไอ้หนู แต่อย่ามาขวางทางเราก็แล้วกัน”

ไดแอ็คก้าเงื้อตีนตะปบฟาดร่างโปร่งแสงของเจ้าผีน้อยราวกับร่างนั้นจับต้องได้และมีเลือดเนื้อ ผีน้อยกลิ้งหลุนๆ ข้ามไปอีกฟากห้องแล้วแทรกตัวผ่านชั้นหนังสือหลายต่อหลายชั้นหายลับตาไป รัมสกิ้นมองนายอย่างกะหลีกะหลอแล้วส่งเสียงกรน

“ทีนี้ก็ไปกันได้ซะที” ชายผู้นั้นบอก “ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ทำยุ่งหรอกใช่มั้ย แต่ถ้าขืนทำให้ข้าเดือดร้อนละก็ จะให้รัมสกิ้นเคี้ยวกระดูกเจ้าและถุยไขมันทิ้งเสียเลย เข้าใจมั้ย”

ชายผู้นั้นพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เดินไปที่ประตู เทกาตัสยื่นมือให้อเก็ตต้า เจ้าหล่อนมองเขาแล้วก้มมองที่พื้นก่อนหมุนตัวและเดินตามชายผู้นั้นไป พอเทวดาเดินผ่านไดแอ๊กก้าก็ทำท่าจะงับแล้วจึงรีบวิ่งตามหลังเขาไปที่ประตูหน้าร้าน

เมื่อมองลอดประตูร้านที่เปิดไว้เพียงครึ่งๆ อเก็ตต้าเห็นรถม้าสีดำที่คอยอยู่และได้ยินเสียงม้าตะกุยก้อนหินปูสะพาน ใจหนึ่งบอกให้หนีตอนที่รัมสกิ้นดึงเสื้อคลุมของเจ้าหล่อนแล้วดมกลิ่นฟุดฟิดไปทั่ว เทกาตัสเดินช้าๆ ตามมาเหมือนผู้ไว้อาลัยคนเดียวในงานศพ ท่าทางท้อแท้เหนื่อยอ่อน ชายผู้นั้นเดินนำแถวอย่างสง่าผ่าเผย สายบังคับยาวๆ พาดไว้หลวมๆ บนไหล่

“เจ้าผู้จับกุมข้ามา จะบอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่ว่าชื่อใดหรือว่าเจ้าไม่รู้อีกว่าควรทำอะไร” เทกาตัสถาม

ชายผู้นั้นหยุดแล้วหันกลับมาดึงไม้กายสิทธิ์จากรองเท้าบู๊ตขึ้นมาเคาะแก้มข้างหนึ่งของเทวดาหนุ่มเบาๆ “ชื่อของข้าไม่สำคัญแก่เจ้า แต่เจ้าจะเรียกข้าว่า โคมอส ก็ได้ ไม่ใช่ชื่อจริงหรอก แต่ดีพอแล้วสำหรับเทวดาจะเรียก”

“ชื่อหรูหราแถมสวมหน้ากากรูปนกไว้ปิดบังเรื่องโกหก ทำเรื่องพิลึกๆ จับเด็กมาขังไว้งี้ ฝึกไดแอ็กก้าไว้เป็นบริวารงี้ เจ้าต้องมาจากโลกอื่นแน่ๆ” เทกาตัสมองหนังสือที่กองหมิ่นๆ อยู่เหนือศีรษะชายผู้นั้น

“ฝึกสัตว์แบบนี้มันเรื่องหมูๆ ในลอนดอนมีสัตว์ออกสารพัด พอกำจัดเจ้าทั้งสองและปฎิบัติภารกิจที่นี่ลุล่วงแล้ว รัมสกิ้นและข้าก็จะไปอยู่บ้านนอก ไปจับแกะกิน”

พอขาดคำประตูหน้าก็กระแทกปิดลง หนังสือเล่มใหญ่ๆ หนาๆ เหนือศีรษะชายผู้นั้นถูกแรงสะเทือนผลักร่วงลงพื้นกระแทกสายบังคับหลุดจากมือ หลายเล่มตกลงใส่หลัง เขายกมือปิดศีรษะเพื่อป้องกันตัวเอง แต่หนังสือก็ถล่มใส่จากทุกทิศทุกทาง

รัมสกิ้นกระโจนอย่างโกรธเกรี้ยวเข้าหาชั้นวางหนังสือค้นหาผู้ประสงค์ร้ายที่มองไม่เห็นตัว โคมอสจำต้องถอยออกห่างจากประตู หนังสือทุกเล่มจากชั้นหนังสือพุ่งเข้าใส่เขา

อเก็ตต้าและเทกาตัสหมอบหลบอยู่แถวๆ หน้าประตู ตาจ้องมองหนังสือที่ลอยหวือข้ามเพดานโค้งลงมา หนังสือเล่มใหญ่สีดำกระแทกหน้าอกโคมอสอย่างจังจนล้มลง มีเสียงเด็กหัวเราะคิกคัก โคมอสมองไปรอบๆ ใบหน้าใต้หน้ากากไร้อารมณ์ขัน

“รัมสกิ้น” เขาแหกปากสั่ง “ลากตัวมันมาให้ข้า!”

เป็นครั้งแรกที่รัมสกิ้นถูกปลดจากสายล่าม มันมองไปตามชั้นหนังสือสูงๆ ค้นหาร่องรอยของผีน้อยตามเพดาน เงี่ยหูฟัง กระดิกหูอย่างแรงเพื่อฟังเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน ตามองตามบางอย่างที่ไม่มีใครมองเห็นข้ามชั้นวางหนังสือไปที่อีกฟากของร้านใต้หลังคาโค้งพอดีแล้วจ้องเป๋ง เลียปาก กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเขม็งเกลียว ทันใดนั้นมันก็กระโจนพรวดปีนป่ายขึ้นชั้นวางหนังสือไป

กระโจนยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวไดแอ็คก้าก็ข้ามไปเกาะอยู่บนชั้นวางหนังสือชั้นสูงสุดเหนือบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ มันมองไปรอบๆ ย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อที่ล่องหนอยู่ แต่แล้วก็กระโดดกลับลงมาที่พื้น กระแทกชั้นจนหนังสือทั้งหมดตกลงมา มันเริ่มไล่ล่าผีน้อยที่พยายามหลบหนีวิ่งเข้าวิ่งออกตามช่องว่างระหว่างกองหนังสือ โคมอสกระโดดเหยงๆ ตะโกนสั่งให้ไดแอ็คก้าวิ่งเร็วขึ้น และจากทุกช่องทางเดินทุกคนได้ยินเสียง
ไดแอ็คก้าหอบหายใจพลางคำรามอย่างตื่นเต้น

ผีน้อยวิ่งทะลุชั้นวางหนังสือออกมาปรากฏร่างอยู่ตรงหน้าอเก็ตต้าแล้วหายเข้าไปในผนัง เจ้าหล่อนตกใจสุดขีดที่เห็นไดแอ็กก้าวิ่งตามติดทะลุชั้นวางหนังสือเข้าไปในผนังหิน มีเสียงดิ้นรนและเสียงเด็กหวีดร้องจากห้องใต้ดิน ผีน้อยเด้งกระเด็นทะลุพื้นกระดานขี้นมาในร้านราวกับถูกยิงออกมาจากปืนใหญ่ ลอยอยู่ในอากาศชั่วขณะแล้วก็หล่นลงพื้น ไดแอ็คก้าเปิดประตูผางเข้ามาในห้อง แยกเขี้ยวขาวเตรียมขม้ำ มันโจนเข้าหา แต่ผีน้อยก็กลิ้งตัวหนีกลืนร่างเข้าในชั้นวางหนังสือไปโผล่อีกด้านหนึ่ง

โคมอสหวดไม้กายสิทธิ์ฟาดเข้าเต็มหน้าเจ้าผีน้อย เสียงดังปานฟ้าผ่าสะท้านไปทั่วห้องแล้วเจ้าผีเด็กก็ตัวเย็นจนแข็งไปในที่สุด

“ปล่อยเขาเถอะ” อเก็ตต้าตะโกน “นี่เขายังทรมานไม่พออีกเหรอ เจ้ายังจะทำอะไรเขาอีก”

“มันก็จะถูกกาลเวลากลืนหายไปเหมือนเพื่อนๆ” โคมอสตอบพลางล่ามรัมสกิ้นไว้ดังเดิม

“ทำอย่างนั้นน่ะเหมาะกับมันที่สุดแล้ว” เขามองสาวน้อย “เจ้าอาจไม่เข้าใจ แต่มันไม่อาจมีชีวิตสมบูรณ์ได้ ไม่มีสวรรค์สำหรับมัน ไม่มีสวรรค์ ไม่มีโลกหลังความตาย เพราะเวลาของมันสิ้นสุดแล้ว ต้องทำลายให้สูญสิ้นไปเท่านั้นจึงจะสาสมกับดวงวิญญาณของมัน” โคมอสหันไปหาเทกาตัส “พาอีหนูนี่ไปที่รถม้าแล้วข้าจะรีบตามไป รัมสกิ้นจะ
คอยเฝ้าไม่ให้เจ้าหนี ถึงยังไงเราก็คงไม่อยากให้คนแถวสะพานลอนดอนตื่นกลัว
ก็ใครจะเชื่อล่ะว่าจะได้เห็นปีศาจไล่ล่าเทวดา”


**********

บทที่ 19 - รถม้ากับดาวหาง

“เดินเข้ามาในบ้านทั้งๆ ไม่มีกุญแจได้ไง” เบล้กถาม ขณะเคี้ยวเปลือกเนยแข็งสีเหลืองๆ ที่มีแมลงตัวเล็กๆ เดินอยู่ยุ่บยั่บ “ข้าอยู่คนเดียว ยายมาลาคิ่นคงไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเข้ามาหรอก เจ้าก็เห็นนี่ว่านางมองเจ้ายังไงตอนนำอาหารเช้ามาให้ข้าน่ะ”

เอบราม ริกเคิร์ดสปลุกเบล้กให้ตื่นจากความหลับลึกแห่งมรณะและอนธกาล เพียงวาดแขนครั้งเดียวก็ขจัดฝันร้ายของเบล้กได้สิ้น เขาเปิดม่านเนื้อหนา ให้แสงสว่างส่องเข้ามาแต่ไม่ยอมดื่มช็อคโกแล็ตร้อนๆ หลายถ้วยที่เบล้กส่งให้ เบล้กจึงนั่งฟังเงียบๆ

“กุญแจน่ะเรื่องเล็ก” เอบรามบอก “กุญแจมีไว้สำหรับสะเดาะ ก็ข้าได้รับมอบหมายให้มาดูแลทุกข์สุขของเจ้า ข้าเป็นเทวดาประจำตระกูลเจ้านะ”

“จะต้องอารักขาข้าให้พ้นจากอะไรล่ะ ข้าดูแลตัวเองได้ ดาบก็มีไว้กำจัดไอ้พวกโง่เง่าชวนวิวาทได้เองอยู่แล้ว”

“ข้ามาคุ้มเจ้าให้พ้นภัยจากตัวเจ้าเองและจากเพื่อนบางคนของเจ้า” เอบรามตอบขณะมองออกไปที่จตุรัส

“ใครใช้เจ้ามาล่ะ” เบล้กถาม เขากัดเนยแข็งกร้วมใหญ่ ตัวมอดตอมริมฝีปากยั้วเยี้ยไปหมด

“ยังจำได้มั้ย ตอนที่ยังเด็กแล้วตกลงไปในแม่น้ำ เจ้าตะโกนเรียกใครก็ไม่ได้จะจมน้ำตายอยู่แล้ว แต่แสงอาทิตย์ส่องลงมา ระหว่างที่เจ้าเห็นตัวเองจมลึกลงไปเรื่อยๆ เจ้าสำเหนียกบ้างหรือเปล่าว่าตอนนั้นเจ้าตายไปแล้วและกำลังจากภพนี้ไปสู่อีกภพหนึ่ง”

เบล้กถ่มเนยแข็งในปากลงบนเตียง “เจ้ารู้มาได้ไง ตอนนั้นข้าอยู่คนเดียวและไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ข้ารอจนเสื้อผ้าแห้งแล้วจึงกลับบ้าน เจ้าแส่มาอวดรู้ใจข้ามากไปแล้ว”

“ข้าไม่ได้แส่อะไรทั้งนั้น” เอบรามตะโกนพลางควงกำปั้นเข้าทุบฝาบ้านจนเศษปูนเศษฝุ่นร่วงลงมาจากเพดาน “ข้าเองแหละที่ฉุดเจ้าขึ้นมาจนรอดตาย มนุษย์หน้าไหนจะช่วยชีวิตตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชได้เล่า” เอบรามยื่นมือสองข้างให้เบล้ก

“ดูมือนี่สิ มือสองข้างนี้แหละ ช่วยเจ้าให้รอดจากน้ำและดึงเจ้าขึ้นมาจากสุสานลึกที่มืดมิด มือสองข้างนี้แหละฉุดเจ้าให้พ้นตาย ใส่ชีวิตคืนสู่ซากไร้ลมหายใจ ตายสนิทแล้ว ข้านี่แหละที่อัดลมหายใจของข้าเข้าปอดเจ้าอีก แล้วเฝ้ามองเจ้าเติบโต ร่วมร้องไห้กับเจ้า ออกรับแทนเจ้าเวลาอยู่ในวงสังคมชั้นสูง แก้ต่างให้เมื่อเจ้าประสบปัญหา แล้วยังอีตอนที่เจ้าพยายามเล่นแร่แปรธาตุทำตะกั่วให้เป็นทองจนหลังคาบ้านเปิง ใครล่ะวะที่ลากเจ้าออกมาจากกองเพลิง วิญญาณดวงไหนเล่าที่ช่วยกำจัดพวกปีศาจที่เจ้าร่ายมนตร์เรียกมาได้แต่ไล่กลับไปไม่ได้ ตอนนั้นเจ้าก็ได้แต่แต่งตัวโก้วิ่งพล่านทำอะไรไม่ถูก”

“ก็เจ้าเที่ยวแส่ไปซะทุกเรื่องนี่” เบล้กตะโกนใส่บ้าง “ที่เจ้ารู้เรื่องของข้าน่ะก็แค่ใช้กลอุบายแอบล้วงความในใจไปตอนที่ข้าหลับ” เขาเหวี่ยงจานลงไปบนพื้นแล้วโดดลงจากเตียง “แล้วตอนนี้เจ้ามาทรมาทรกรรมวิญญาณข้าเหมือนพวกปีศาจ มันก็ไอ้พวกหมอผีนั่นแหละ”

“ข้าเป็นเทวดา เป็นเทวดาประจำตัวเจ้า” เอบรามพูดเบาๆ

เบล้กมองเงาตัวเองในกระจกกรอบทองที่แขวนอยู่เหนือเตาผิง ใบหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไปราวกับมีอีกหน้าหนึ่งผุดซ้อนขึ้นมา หน้านั้นค่อยๆ เผยอยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ แล้วกลายเป็นหัวเราะดังสนั่นออกมาจากช่องท้อง “ทะ...เท..” เบล้กพยายามจะพูดแต่พูดไม่ออก ได้แต่หัวเราะดังก้องไปทั่วห้อง “เจ้าโกหก ไปให้พ้นได้แล้ว” เขาบอก หัวเราะจนตัวสั่นตัวงอด้วยความขบขันขนาดหนัก กล้ามเนื้อทุกมัดเหมือนจะอ่อนปวกเปียก หน้าแหงนเงยไปข้างหลังระหว่างหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “เทวดา! หนอยบังอาจบอกว่าตัวเองเป็นเทวดาว่ะ ไอ้กำมะลอ ไอ้คนจรหมอนหมิ่น ไอ้พวกฮูเกอโนต์หนีตายมาจากฝรั่งเศส ไอ้ขี้โกง ไอ้หัวขโมย ทั้งหมดเนี่ยใช่เลย แต่จะให้เชื่อว่าเป็นเทวดาล่ะก็ไม่มีทางหรอกเว้ย”

“ถ้าไม่ใช่เทวดาแล้วข้าจะรู้ได้หรือว่าเจ้ายังคงร่ำไห้คร่ำครวญหาแม่ที่ตายไปแล้ว และตอนที่เจ้าเอาสารปรอทไปทาแมวหวังจะช่วยกำจัดเห็บหรือหมัดให้แล้วแมวเกิดตายไปน่ะ เจ้ายังเอาซากมันยัดไว้ใต้เตียงส่งกลิ่นเหม็นเน่าเป็นอาทิตย์ๆ ข้ารู้ดีทุกเรื่องเพราะข้าได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูระหว่างที่เจ้าทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์แก่ตัวเองทั้งสิ้น” เอบรามคว้าคอเบล้ก ยกร่างเขาลอยขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว “เจ้าคิดว่าไง ตอนที่เจ้าดวลกับใครมาแล้วข้าช่วยรักษาตัวให้น่ะ เจ้าคิดว่าข้าเล่นกลเหรอ”

“ใช่” เบล้กตอบ กระซิบอ่อยๆ เท้าห้อยต่องแต่งเหมือนหุ่นกระบอก

“ข้าว่าแล้ว” เอบรามเน้นทุกคำด้วยความโกรธพลางโยนเบล้กลงบนพื้น “แม้แต่ตายแล้วชุบให้ฟื้นได้เจ้าก็ยังไม่เชื่อ สายตาตัวเองก็เชื่อไม่ได้รึไง หรือว่าพระเจ้าสมัยใหม่ปิดหูปิดตาเจ้าเสียด้วยความเสื่อมศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า” เอบรามหันกลับแล้วเดินไปที่หน้าต่าง บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปในทันที เบล้กกลับรู้สึกว่าปรารถนาจะฟังคำพูดของเอบราม “ชีวิตเจ้ามีแผนที่ลิขิตไว้แล้ว แผนที่จะทำให้เจ้าเจริญรุ่งเรืองโดยไม่ต้องเดือดร้อน ให้ทั้งความหวังและอนาคต ที่ว่ามานี่ ข้าไม่ได้พูดเองหรอกนะ แต่เป็นคำพูดของผู้ที่ส่งข้ามาและเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเชื่อฟัง หมดเวลาเกเรเอาแต่ใจตัวแล้ว จงฟังข้าให้ดี”

“เจ้ามันเจ้าคารี้สีคารมแล้วยังฉลาดแกมโกงเก่งอีกด้วยนี่หว่า เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก ดูตัวเองซะก่อนซิ อายุแค่เด็กเมื่อวานซืนแต่บังอาจบอกว่ารู้จักข้ามาตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก คิดว่าข้าโง่นักหรือไง เจ้าไม่ใช่เทวดาหรอก เป็นแค่ชาวฝรั่งเศสที่ตาลีตาเหลือกหนีราชภัยมา ข้าไม่เห็นอยากมีหรือคิดว่าจำเป็นต้องมีเทวดาคุ้มครองข้าเลย”

“งั้นข้าปล่อยเจ้าไปตามยถากรรมเลยดีมั้ย ให้เจ้าเผชิญกับดาวหางที่จะทำให้ทะเลเป็นพิษและทำลายล้างเมืองนี้ตามลำพัง”

“เจ้ารู้เรื่องดาวหางด้วยเรอะ” เบล้กถามพลางเดินไปที่หน้าต่าง “รู้ได้ไง”

“ข้ารู้ ก็เพราะว่าเป็นเทวลิขิตมาตั้งนานแล้วและข้าก็รู้ด้วยว่าเจ้าโดนคัมภีร์เน็มโมเร็นซิสหลอกให้เชื่อเรื่องโกหกพกลม แถมข้ายังรู้กระทั่งว่าเจ้าก็ไม่อยากเห็นโลกถูกทำลายล้างตามที่กำหนดไว้แล้ว แต่มันก็จะยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี” ขณะที่โต้ตอบกันนั้นเอบรามประสานสายตากับเบล้กอย่างจริงใจ “แล้วอย่างนี้เจ้ายังจะว่าข้าไม่มีประโยชน์แก่เจ้าอีกเหรอ”

เบล้กจ้องหน้าเอบรามอย่างพยายามค้นหาความนัย อดรำพึงไม่ได้ว่า ถ้าหมอนี่เป็นเทวดาจริง ทำไมถึงดูเหมือนมนุษย์นักนะ “ข้าสิ้นปัญญาจะคิด” เขาตอบ เดินกลับไปที่เตียง “เดิมพันสูง สูงเสียจนประมาณไม่ได้”

เอบรามไม่ตอบ แต่เดินไปที่หน้าประตูห้อง เปิดออกแล้วชะโงกออกไปมองทางเดินยาวๆ แล้วหันมาปิดประตูและบิดกุญแจลั่นดาล “รอบคอบเท่าไหร่ก็ไม่มากเกินไปหรอกเพราะเจ้าสัตว์ที่ถูกส่งมาตามหาเน็มโมเร็นซิสน่ะจับตามองเจ้าอยู่”

“ข้าเจอกับมันแล้ว มันคิดจะฆ่าข้าเมื่อคืนนี้น่ะ”

“ปีศาจสมุนน่ะเหรอจะฆ่าเจ้า” เอบรามถาม

“ก็แล้วท่านไปอยู่ไหนเสียล่ะฮึ ไหนว่าเป็นอารักขเทพ ดีนะที่บอนนั่มยิงมันซะก่อน ตอนนี้มันนอนตายแหงแก๋อยู่บนห้องดูดาวโน่นแน่ะ”

“ปีศาจสมุนน่ะยิงไม่ตายหรอก มันเป็นวิญญาณ มีเลือดมีเนื้อซะที่ไหน”

“ก็เห็นไอ้นั่นมีเลือดมีเนื้อนี่หว่า เยอะซะด้วยสิ เนื้อหนังสีเขียวเหมือนโคลน เหม็นยังกะส้วมเต็ม รู้ซะด้วยว่าข้าเป็นใครแถมมุ่งมั่นจะฆ่าข้าให้ได้ เซคาริสไง”

“ขอข้าดูมือเจ้าหน่อยซิ” เทวดาถาม พลางฉวยมือเบล้กขึ้นมาสำรวจเล็บมือ
“เจ้าตัดเล็บเองหรือเปล่า” เขาถาม

เบล้กไม่ตอบ รู้สึกเหมือนกับฝันร้ายกำลังเริ่มต้น เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ประเดี๋ยวเถอะ ต้องได้เห็นฉากที่จะเผยออกมาต่อหน้าต่อตา เขาสั่นศีรษะ ตาตกลงมองพื้นรู้สึกเหมือนเด็กทำผิดและกำลังถูกพ่อดุ

“นี่โดนเข้าแต่เมื่อไหร่” เทวดาถาม ปล่อยมือเบล้กและหันไปคลำหัวเขา “เจ้ามีตำหนิหรือรอยไหม้บนผิวหนังมั้ย เป็นรูปพระจันทร์น่ะ”

เบล้กแบมือออก “อย่างนี้ใช่มั้ย”

เอบรามมองแผลแล้วยิ้มกับตัวเอง “เจ็บมั้ยเนี่ย” เขาถาม เบล้กพยักหน้ารับ “ดี!
ทีหลังจะได้คิดซะสองตลบก่อนจะยื่นมือให้ผู้หญิง”

“ข้าจะทำไงได้ เลดี้เฮซริน แฟลมเบิร์กสวยยวนใจเหลือเกิน”

“ตอนนี้นางชื่อนี้เหรอ ข้ารู้จักนางตั้งแต่ตอนที่นางใช้ชื่ออื่นๆ มากมายหลายชื่อ...อิงแกรท... เค็ททีพมีเรีย... แล้วยังลิลลิธ.... เยอร์ซิเนีย นางก็เหมือนหมาแหละ เรียกชื่อไหนก็ขาน...”

“เจ้าพูดอย่างกับรู้จักนางดีอย่างนั้นแหละ” เบล้กพูด

“นางชอบสะสมเทวดาและเครื่องประดับกระจุกกระจิกที่สะดุดตา ข้ารู้จักนางมานานเหลือเกินแล้ว ไม่รู้ว่ากี่ศตวรรษ ไม่ว่าจะอยู่ปารีส โรม คอนสแตนติโนเปิ้ลหรือ
บาบิโลน สิ่งที่อิงแกรทไม่เคยเปลี่ยนคือดวงตางามซึ้งจับจิตจับใจและมืองามที่จะกระชากหัวใจเจ้ามากำไว้” ต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่นาน เอบรามมองไปทั่วห้อง ดมหากลิ่นในอากาศรอบๆ ตัวและมองดูบัวเชิงผนังอย่างพินิจพิเคราะห์ “นางไม่ใช่มนุษย์ ไม่คล้ายสักนิด” เขาพูดก่อนที่เบล้กจะทันเอ่ยคำถาม “เลดี้ แฟลมเบิร์ก ที่เจ้ารู้จักน่ะ ดื่มเลือดพวกขุนน้ำขุนนางเสียเปรมตั้งแต่ยุคแรกเริ่มโน่นแล้ว เจ้าก็อุตส่าห์ติดบ่วงเสน่ห์ของนางเข้าจนได้”

“ข้าจะรู้ได้ไงว่าที่เจ้าพูดมาน่ะจริง” เบล้กถามขณะเดินตามเอบรามไปทั่วห้อง

“ก็ดูที่มือเจ้าเองสิ รอยไหม้นั่นน่ะแสดงชัดว่านางหักหลังเจ้าแล้ว มันเป็นเครื่องหมายบอกกล่าวแก่นรกทุกขุมว่าเจ้าเป็นของนาง ดูซะสิ เพื่อนเอ๋ย ดูให้ใกล้ๆซะหน่อย”

เบล้กจ้องเส้นสีดำบางๆ รอบรอยแผลไหม้สีแดงก่ำบนฝ่ามือ บนรอยสีดำเข้มนั้นมีสะเก็ดขาวๆ แดงๆ รวมตัวเป็นเส้นขยุกขยิกอ่านได้เหมือนตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ

“ที่เจ้าคิดน่ะไม่ผิดหรอก นั่นเป็นข้อความที่เขียนด้วยภาษาที่มนุษย์หรือเทวดาแทบจะไม่เคยใช้พูดกัน” เอบราม ตอบคำถามต่อไปของเบล้กก่อนที่เขาจะทันถามเสียอีก “เจ้าจะได้เห็นว่ามันคัดมาจากเน็มโมเร็นซิสและเป็นข้อความที่ผูกพันเจ้าไว้กับนาง นางจึงควบคุมจิตใจเจ้าได้ยังไงล่ะ”

เบล้กพินิจแผลนั้นและพยายามอ่านรอยจารึกเล็กๆ ที่ล้อมรอบรูปดวงจันทร์สีแดงบนฝ่ามือ “เจ้าโกหก นางไม่มีวันทำกับข้าอย่างว่าหรอก”

“นางหมายจะเอาชีวิตเจ้าสิไม่ว่า เจ้าสัตว์ประหลาดที่เหม็นกลิ่นโคลน คือเซคาริสที่นางสั่งให้มาฆ่าเจ้า เล็บเจ้านั่นแหละที่นำทางเซคาริสมาถึงตัวเจ้าละ”

โคลน เลือด และ กระดูก
ลมหายใจของผู้ตกสวรรค์ เสกสรรค์ใส่ก้อนศิลา
พร่ำเพรียกนามยามจันทราเรืองรัศมี
เซคาริส เซคาริส จงรับบัญชาไปปฏิบัติเทอญ


“มันก็แค่คาถาแต่งเป็นบทกลอนคล้องจองกัน” เบล้กตอบ “มีคนสั่งเซคาริสให้มาสังหารข้าจริง แต่ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นเลดี้แฟลมเบิร์ก เจ้าอาจเป็นเทวดาประจำตระกูลจริงจึงหยั่งรู้อนาคตและเรื่องดาวหางนั่น แต่ไอ้ที่เจ้าเป็นพี่เลี้ยงมาคอยอุ้มข้าไม่ให้เล่นกระแทกแรงจนหัวแม่โป้งกระแทกก้อนหิน นี่สิ ข้ารู้สึกเหมือนถูกสวรรค์แกล้ง หนอย ตอนที่ข้าจมน้ำ ข้าคิดว่าข้าช่วยตัวเองรอดนะ แต่ตอนนี้พอรู้ว่ารอดมาเพราะเทวดาช่วยต่างหาก ข้าเลยหมดความภูมิใจพอๆ กับได้ส่องกระจกกรอบขึ้นสนิมสักบาน”

“เป็นอันว่าเจ้าอยากจะให้ข้าทิ้งเจ้าไว้ตามลำพัง ไม่ว่าภัยใดๆ จะเกิดขึ้นใช่หรือไม่” เทวดาถาม

“ใช่” เบล้กตอบหนักแน่น

“ก็ได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไว้ยังงี้ก็แล้วกัน จนกว่าเจ้าจะร้องขอให้ช่วยอีกครั้ง”

“ข้าจะไม่ขอหรอก ชีวิตของข้า ข้าดูแลเองได้”

อารักขเทพหันไปไขกุญแจเปิดประตูและก้าวออกไปสู่โถงทางเดิน “ข้าชักอยากเห็นเซคาริสแฮะ หนสุดท้ายที่เคยได้เห็นตัวนึงน่ะก็นานมากแล้ว...คิดว่าเป็นที่ปร๊ากนะ
ปี ค.ศ. 1662 ครั้งนั้นนางใช้ชื่อเลดี้ แฟลมเบิร์กหรือว่าบารอนเนส มานริเก้ เดอ โมญ่า
กันแน่หว่า”

เบล้กขึ้นไปที่ห้องดูดาวกับเอบราม มองปราดสำรวจไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว
โต๊ะว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยเจ้าสัตว์ประหลาด

“มันนอนแหงอยู่ตรงนี้นี่นา” เบล้กว่าพลางลูบมือไปบนพื้นโต๊ะเลอะโคลนซึ่งยังคงมีคราบตะไคร่สีเขียวๆ เคลือบอยู่ ราเล็กๆ ยังเกาะติดอยู่กับพื้นไม้ชื้นๆ “มันตายแล้ว ตายสนิทจริงๆ นะ” เขาพูด ไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง พยายามหาข้อแก้ตัวหรือเหตุผล
สักอย่างที่จะอธิบายว่าทำไมร่างประหลาดนั้นจึงหายไป “ข้าเห็นบอนนั่มยิงมันหงายลงไปกองกับพื้นนี่นา และสีหนังมันเข้มขึ้นอย่างกับดินเผา ข้าถึงรู้ว่ามันตายแล้วจริงๆ”

“ตอนนี้มันก็ฟื้นแล้วหรือไม่บอนนั่มก็พามันไปซะเอง” เอบรามบอก ออกเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ชะโงกออกไปดูเมือง “เซคาริสไปแล้วแต่ดาวหางก็มาแล้ว...”

ดาวหางนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลอยดวงอยู่เหนือท้องฟ้ายามเช้าราวกับพระจันทร์ดวงเล็กๆ หรือเพชรหัวแหวนล้อมด้วยพลอยเจ็ดสีระยับแสงแพรวพราย
แข่งแสงตะวัน เบล้กรุดไปที่หน้าต่าง

“คนจะเป็นบ้าเพราะกลัวดาวพิษและคิดว่าที่ได้เห็นเป็นสัญญาณจากสวรรค์
ข้าต้องบอกความจริงกับเดอะครอนิเคิ้ลแล้วละ” เบล้กบอกพลางลูบหน้าอย่างกระวนกระวาย

“เยทส์จะต้องออกข่าวให้รู้กันให้ทั่ว จะได้หนีกันได้ทัน”

“ดาวพิษอยู่ห่างแค่สองวันเท่านั้น มันจะชนโลกในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
ไม่ต้องกลัว เบล้ก ไม่ต้องกลัว”

“เชอะก็พูดอยู่ได้แค่ว่า ‘ไม่ต้องกลัว’ น่ะรึ นั่นน่ะเอาไว้ปลอบใจคนเลี้ยงแกะ
กับเด็กสาวๆ ละคงพอได้ แต่ข้าเป็นนักวิทยาศาสตร์เว้ย ข้าพิสูจน์ความกลัวด้วยข้อเท็จจริง ใช้หลักเหตุและผล เชื่อเทวดาแค่เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น” เบล้กมองกวาด
ไปทั่วเมือง “ข้าจะไปพบเยทส์วันนี้ พรุ่งนี้เช้าเขาจะได้เตือนภัยแก่ชาวบ้านได้”

“ไอ้ที่อันตรายยิ่งกว่าดาวหางนั้นยังมีอีก เยอร์ซิเนียวางแผนใหญ่เพื่อประโยชน์ของนางเองและเจ้าก็เป็นกุญแจดอกหนึ่งที่จะไขไปสู่ความสำเร็จ นางมีเพื่อนหลายคนที่ช่วยกันวางแผน...” เอบรามหยุดพูดและมองเบล้ก “หาเน็มโมเร็นซิสให้พบแล้วนำมา
ให้ข้า เจ้าต้องทำงานนี้คนเดียว ข้าจะขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง ทำงานนี้คนเดียว อย่าไว้ใจใคร”

“แล้วข้าจะหาเจ้าพบได้ยังไง เจ้าจะแอบอยู่บนหัวเข็มหมุดหรือว่าซ่อนอยู่ในห้องเตรียมอาหารของข้า”

“แค่ขานชื่อจริง ข้าก็จะมา”

ลมพัดแรงเมื่อประตูห้องดูดาวกระแทกปิดลง ชิ้นส่วนของประตูที่ถูกทุบจนพังร่วงลงพื้น เหลือเพียงกรอบทองเหลืองกับบานพับ เอบรามสอดส่ายสายตาสำรวจทั่วห้องราวกับเขากำลังค้นหาหนูสักตัวในยุ้งข้าว

“มีผู้มาเยือนแน่ะหมอเบล้ก ในที่สุดก็แสดงตัวออกมาจนได้นะ” เอบรามวิ่งไปที่มุมห้องด้านไกลสุดแล้วแนบตัวเข้าชิดผนัง เงาของเบล้กทาบที่ข้างฝาขณะยืนอยู่ท่ามกลางม่านฝุ่นหนาที่หมุนวนรอบๆ ตัวราวฝูงผึ้ง

“ข้าไม่เห็นอะไรเลย มีอะไรเหรอ” เบล้กถาม มองไปรอบห้อง เสียงซอยเท้าถี่ๆ ดังขึ้นอีก ดังกว่าเดิมและดูเหมือนอยู่ทางขวา เสียงเหมือนสัตว์วิ่งชนฝาห้องและครูดไปตามพื้นกระดาน เอบรามวิ่งไล่ชนโน่นชนนี่ไปตลอดทาง มือกวาดไปตามพื้นพยายามจับเจ้าสัตว์ตัวจ้อยที่มองไม่เห็น ท่ามกลางฝุ่นที่หมุนตลบ แว่บหนึ่งนั้น เบล้กเห็นตัวอะไรเหมือนสุนัขตัวเล็กๆ วิ่งเปะปะไปตามพื้น

เอบรามวิ่งไล่ไปหัวเราะไป “สนุกจังเว้ย” เขาร้องขึ้นในขณะที่วิ่งไปรอบๆ ห้อง
ไม่สนใจว่าจะชนอะไรเข้าบ้าง เบล้กคว้ากล้องดูดาวทองเหลืองไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะพลัดตกลงมา “เล่นด้วยกันสิ เบล้ก สนุกดีนะ...” เอบรามกระโดดขึ้นบนเก้าอี้ใกล้หน้าต่างโหนม่านเอาไว้ก่อนที่จะไถลลงบนพื้น สองมือพยายามจับตัวอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น “ไม่เคยมีอะไรสนุกยิ่งไปกว่าวิ่งไล่จับเจ้าปีศาจสมุนอีกแล้ว” เขาร้องอย่างสบอารมณ์ มือก็ยังคงกำก้อนวัตถุอะไรสักอย่างที่ค่อยๆ เริ่มกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเบล้ก

“อะไรล่ะเนี่ย” เบล้กถาม

“หลักฐานไง หลักฐานที่แสดงว่าข้าไม่ได้โกหก นี่คือปีศาจสมุนที่นางส่งมารบกวนจิตใจเจ้า สิงร่างเจ้าและขโมยหนังสือไป มันจะรอจังหวะเหมาะๆ หักกระดูกและสะกดวิญญาณเจ้า จากนั้นก็จะบังคับให้เจ้าเดินลงบันไดขึ้นรถม้าไปหานายหญิงของมัน เท่าที่รู้นะ ปีศาจสมุนคงจะดวดไวน์รสเยี่ยมของเจ้าจนหมดก่อนไป”

ขณะที่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างตัวเจ้าสัตว์ประหลาดก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ มันส่งเสียงฮึดฮัดและพยายามขืนตัวหนีมือเอบรามที่พยายามจับมันไว้มั่น เจ้าปีศาจสมุนคำรามและพ่นลมหายใจผ่านรูจมูกแคบๆ ปากเล็กๆ เต็มไปด้วยฟันแหลมๆ ยาวๆ

“ข้าต้องให้อะไรเจ้า เจ้าจึงจะปล่อยข้า” มันถาม พยายามจะเหลียวมามองเอบราม

“ข้าไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น” เขาตอบหนักแน่น มือบีบคอเจ้าสัตว์ประหลาด
แน่นขึ้นอีก “ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ที่เจ้าไม่อาจทำอันตรายใครได้อีก”

“อย่านะ อย่าทำข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาก่อกวน ข้าถูกมนตร์สะกดให้ตามหาเจ้านี่ แถมนางยังสัญญาว่าข้าจะได้สิงในร่างอันอบอุ่นและยึดร่างเขาไว้เป็นเรือนตาย” ปีศาจสมุนหายใจเสียงดังฟึดฟัด

“ใครส่งเจ้ามา” เอบรามถามพลางบีบคอมันแน่นยิ่งขึ้น

“ข้าบอกชื่อไม่ได้หรอก นางจะได้ไปตามล่าข้าถึงนรกโน่นปะไร นางทำร้ายข้าได้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าสองมือของเจ้าไม่รู้จักกี่เท่า” ปีศาจสมุนหดตัวด้วยความเจ็บปวดแต่อารักขเทพยังคงจับคอมันไว้แน่น

เห็นเจ้าสัตว์ร้ายเข้าเบล้กก็ถึงแก่เข่าอ่อน จำได้ว่าเคยเห็นหน้ามันมาก่อนในรูปหินสลักตัวการ์กอยล์ที่เรียงเป็นแถวตามหลังคาอาคารย่านนิวแมนสโรว์ จมูกมันยาวและขอบตาหนา จ้องเขาทุกวันด้วยตาไร้แวว เขาไม่เคยสนใจมันเลย แต่บัดนี้ตัวหนึ่ง มายืนอยู่ตรงหน้า มีชีวิต หายใจได้ ใจเขาเต้นรัว เลือดฉีดพล่าน เส้นเลือดที่คอเต้นตุบจนรู้สึกได้

“ยังมีอะไรให้ดูอีกไหมนี่ สวรรค์ยังมีสิ่งใดน่าทึ่งให้ข้าดูอีกหรือเปล่า” เบล้กถามเมื่อเห็นปีศาจสมุนกระเสือกกระสนเอาตัวรอด “เซคาริสล่ะ ไปอยู่ไหนเสีย”

“เพื่อนเจ้าเอาไป ข้าเห็น” ปีศาจร้ายมองอย่างสมน้ำหน้า พูดเสียงแหบ น้ำลายไหลยืดทุกคำ “ตอนที่เจ้าหลับ เขาแบกมันออกไป ข้าตามไปได้ยินเขาพูดคนเดียวตอนลงบันไดว่าเขาจะเอามันไปที่สมาคม ทีนี้เขาจะได้ดังระเบิดแถมรวยเพราะหนังสือพิมพ์เดอะครอนิเคิ้ลจะทำให้เขารวย…”

“มันโกหก เบล้ก ข้าเชื่อมันไม่ลงสักคำ” เอบรามพูดพลางใช้มือข้างเดียวหิ้วปีศาจสมุนขึ้นจากพื้น

“ข้าพูดจริงนะ” มันโวย ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างมีเนื้อหนังชัดขึ้น

“อีตานั่นน่ะก่อนไปถึงกับค้นห้อง หยิบเครื่องมืออะไรไม่รู้ออกมา ดูเหมือนพยายามจะส่งสายฟ้าเข้าไปในไอ้ตัวสัตว์ประหลาด” เบล้กมองเอบราม ส่งสายตายืนยันว่าเครื่องมืออย่างนั้นมีจริง

“เพื่อนเจ้าไม่ซื่อสัตย์อย่างที่เจ้าเคยคิดเสียแล้ว” เอบรามพูด “เดี๋ยวข้าจะกลับมา ยังมีเรื่องจะบอกเจ้ามากมาย แต่เวลาน้อยเต็มที ก่อนอื่นข้าต้องเอาไอ้เจ้านี่ไปไว้ตามที่ที่มันควรอยู่ จะได้กลับมาอีกไม่ได้ เอบรามกำคอหอยมันแน่นเข้าจนเกือบจะเค้นวิญญาณออกจากร่าง

“ไม่เอานะ ไม่เอา” ปีศาจสมุนกรีดร้องเมื่อร่างของเอบรามเริ่มเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา เบล้กจ้องดูร่างเทวดาที่ค่อยๆ จางใส กลืนหายเข้ารวมกับแสงแดด ทั้งที่ยังหิ้วเจ้าปีศาจนั่นอยู่ แล้วหายวับไปในที่สุด

เบล้กมองไปรอบห้อง บรรยากาศเย็นยะเยือก น่าพรั่นพรึง แดดยามเช้าทอดเงายาวทาบพื้นไม้ ตอนนั้นเอง เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่ามีดินก้อนเล็กๆ อัดแทรกอยู่ในธรณีประตู มีราสดๆ งอกงามอยู่บนรอยเท้าที่ย่ำตรงจากห้องนั้นไปยังบันไดเวียนมืดๆ


บทแปลนี้มิใช่เวอร์ชั่นก่อนพิมพ์เล่ม
จึงยังมีความลักลั่นเรื่องชื่อสถานที่อยู่บ้าง
ขออภัยด้วยค่ะ

(ติดตาม
บทที่ 20 - มอร์บัส กัลลิคัส &
บทที่ 21 - ตามบัญชาของมายาวี

วันที่ 17 สิงหาคม ค่ะ)
#ไปต่อไม่รอแล้วค่ะ

LITERATURE
 ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 13 สิงหาคม 2562
Last Update : 13 สิงหาคม 2562 7:36:26 น. 33 comments
Counter : 1142 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณหอมกร, คุณสองแผ่นดิน, คุณkae+aoe, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณตะลีกีปัส, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณJinnyTent, คุณSweet_pills, คุณmcayenne94, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณวลีลักษณา, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณเริงฤดีนะ, คุณtoor36, คุณtuk-tuk@korat, คุณThe Kop Civil, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณnonnoiGiwGiw, คุณhaiku, คุณอุ้มสี, คุณmambymam, คุณAsWeChange, คุณnewyorknurse, คุณไวน์กับสายน้ำ


 
พี่ภาลงให้อ่านกันสองตอนแบบจุใจเลย
โหวตครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:7:36:20 น.  

 
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog
ชื่อตัวละครแต่ละตัวเล่นเอามึนค่ะพี่ภา



โดย: หอมกร วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:7:49:57 น.  

 
ส่งกำลังใจไว้ก่อนครับ พี่ภา
บท 18ก่อน เดี๋ยวมา ค่อยๆอ่านครับ



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:7:53:17 น.  

 
ออนแอร์รวบยอด 2 ตอน เหมือนกันเลยค่ะ

วันก่อนยังได้ข่าว ดาวเคราะห์น้อยขนาดฆ่าคนได้นับล้าน หวิดชนโลก เมื่อวันที่ 10 ส.ค.62
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1635025

นึกถึง "ดาวพิษ" ของพี่ภาทันทีเลยค่ะ



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:9:49:39 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะ

เริ่มสับสนค่ะ ตัวละครมันโผล่มาเยอะแยะมากมาย
น้องยิ่งความจำสั้น แต่รักยาวอยู่ด้วย
แต่จะตามอ่านต่อค่ะ
คันๆเจ็บๆปากแทนเบล้กที่กินเยที่เต็มไปด้วยมอดเลย

ใครที่ตกเป็นทาส...มักทุกข์ทรมานเหมือนๆกัน
ไม่ว่าคนหรือปีศาจ ไม่ว่าเป็นทาสอะไรก็ตาม น่าสงสารจริงๆค่ะ อินกับตัวละคร


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:10:46:08 น.  

 
บางวันเม้นท์ในบล็อกผมก็น้อยนะครับพี่
แต่คนอ่านไม่ค่อยลด
เพราะบางคนตามมาอ่านจากเฟซบุ๊ค
แต่แค่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้
ผมคิดว่าก็มีคนเข้าบล็อกพี่ภาสม่ำเสมอ
แต่บางทีแค่ไม่ได้เม้นท์ครับพี่



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:11:30:31 น.  

 
อินสตราแกรมผมเลิกใช้ไปแล้วครับพี่ 555
ตอนนี้กำลังอยากลองทำยูทูป
แต่บล็อกผมก็คงเขียนไปเรื่อยๆ
จนกว่าบล็อกแก๊งจะเลิกครับ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:15:28:56 น.  

 
สวัสดี ค่ะพี่ภา

วันนี้ได้อ่านจุใจเลย ค่ะ พี่ภา ได้อ่านอย่างต่อ
เนื่อง ได้ตัวละครใหม่ คือ เทวดาประจำตระกูล
ของเบล้ก เอบราม หนูชอบตัวละครตัวนี้ ค่ะ เขา
ทำอะไรหลาย ๆ อย่างให้ เบล้ก
ตอนหลัง ๆ นี้ มีปิศาจมากมายหลายตัว บทบาทของเยอร์ซิเนียร์ เริ่มถูกเปิดเผย เนาะ สงสารเทวดาเทกาตัส เจ้ารัมสกิ้น บรรยายได้เห็นภาพอัน
น่าขยะแขยง จริง ๆ อิอิ
เจ้าโคมอส นี่ก็เก่งนะ คุมเจ้ารัมสกิ้นได้และ
คุมปิศาจอีกมากมาย
รออ่านตอนต่อไป ค่ะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:15:34:34 น.  

 
มาตามข่าวน้องนุ้ง
เป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้นเรื่อย ๆ มั้ย


โดย: JinnyTent วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:17:04:05 น.  

 
ขอบคุณพี่ภาสำหรับผลงานแปล "ดาวพิษ" ทั้งสองบทนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:17:32:43 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะพี่ภาขา

อยู่บ้านที่ไม่มีเน็ดปรู๊ดปร๊าด
เลยลำบากในการอัพบล็อกค่ะ
ดูจากมือถือก็ลำบากลำบนยิ่งขึ้นไปอีก
บางที่อาจจะหายเงียบไปเป็นพักๆค่ะ
หรือเข้าไปส่งกำลังใจกันเฉยๆ

เบื่อคนบ่นเหรอคะ..อ๊ะๆ น้องไม่ได้บ่นสักหน่อย แค่รำพึงรำพัน ว่าตัวละครมันแยะอ่า


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:17:36:59 น.  

 
ขอบพระคุณที่ไปแจ้งข่าว แต่หนูมาอ่านไปตั้งแต่เช้าตรู่ค่ะพี่ภา เพราะรอติดตามอยู่ เพียงแต่ลอกอินทางมือถือไม่ได้ เงียบไปเฉยๆตั้งแต่พันทิพปรับระบบเหมือนลอกอินยากขึ้น หรือไม่แน่ใจว่าอาจลอกอินค้างไว้ที่อื่นแล้วจะลอกไม่ได้รึเปล่าค่ะ
พอเดาออกได้แล้วค่ะ ว่าใครเป็นพระเอก หรือนางเอก (ถึงจะลุ้นให้ไม่ใช่ก็ตามที) เรื่องนี้ไม่ยากค่ะมีตัวละครอยู่ไม่กี่คน พวกนิยายจีนอ่านยากกว่านี้มากๆ มีตัวละครมากมายเรียกชื่อไม่ถูกทีเดียวค่ะ
ฝรั่งก็มีเวทย์มนต์เหมือนกันนะคะ เรื่องเสกผีไว้รับใช้ เหมือนขุนแผนสะกดกุมารทองลูกนางบัวคลี่ไว้รับใช้ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ


โดย: mcayenne94 วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:18:13:22 น.  

 
แว้บมาโหวตก่อนกลับบ้านนะคะ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
อุ้มสี Topical Blog ดู Blog
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Book Blog ดู Blog
The Kop Civil Movie Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Music Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:18:26:07 น.  

 
อ่านสนุกจุใจเลยค่ะพี่ภา

ขอบคุณนะคะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ


โดย: วลีลักษณา วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:19:19:36 น.  

 
เข้ามาสวัสดีนะคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:20:44:01 น.  

 
แวะส่งกำลังใจก่อน
พรุ่งนี้แวะมานอนตะแคงอ่านค่ะ
Good night


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:21:52:05 น.  

 


สวัสดียามเช้าครับพี่ภา



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:6:11:40 น.  

 
สวัสดียามเช้าค่ะ


โดย: kae+aoe วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:8:57:07 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับพี่ภา

เรื่องโหวตนี่
ของผมหมดพอดีๆ ทุกวันครับ
นานๆทีจะมีไม่พอ 5555

ส่วนใหญ่วันที่หมดเร็ว
คือวันที่เพื่อนบล็อกอัพบล็อกตะพาบพร้อมกัน
ส่วนวันที่เหลือเยอะ ก็คือ วันอาทิตย์
ที่คนอัพบล็อกใหม่น้อยมากครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:11:06:40 น.  

 
เพลงเบื่อคนบ่น
ไม่ได้ฟังมานานมากเลยครับพี่ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:11:07:14 น.  

 
สวัสดีค่ะ
มาอ่านต่อค่ะ
และไปอ่านเม้นท์หนูหล่อคุยกับคุณก๋าสนุกดีค่ะ



โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:13:03:33 น.  

 
โห เค้าก็รุ่นแรกด้วยไหมอ่ะ เค้าทันทอมโจนส์นะคะ
สมัยหัดฟังเพลงฝรั่งค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:13:29:45 น.  

 
ของผมดีหน่อยครับพี่
ไม่มีสมาชิกหน้าใหม่
หรือคนที่ชอบแลกโหวต
คนที่เข้ามาส่วนใหญ่รู้จักกันดีพอสมควร
โหวตได้ก็โหวตให้
ผมก็ใช้จนครบ
ถ้าโหวตไม่ทันวันนี้ ผมก็รอวันรุ่งขึ้นครับ 5555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:13:59:31 น.  

 
ไม่สู้ค้าบบบบบ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:14:38:33 น.  

 
ผมเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักเลย
เวลาโหวต นี่ผมตามใจตัวเองครับ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:14:49:23 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:15:39:58 น.  

 
สวัสดีอีกรอบค่าพี่ภา

ไส้ชาเขียวงาดำ พี่ภาน่าจะชอบค่ะ แต่ยังไงก็มีไข่นะคะพี่ มีไข่ทุกไส้เลย แหะๆ

พี่ภากินกับหนูได้ หนูเสียสละกินไข่ให้หมดเลยค่าา 555


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:16:25:06 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
The Kop Civil Sports Blog ดู Blog
บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน Review Food Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Book Blog ดู Blog
สาวไกด์ใจซื่อ Review Food Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Music Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
โอน่าจอมซ่าส์ Pet Blog ดู Blog
nonnoiGiwGiw Diarist ดู Blog
จันทราน็อคเทิร์น Diarist ดู Blog
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog

อุ้มตามมาอ่านต่อค่ะพี่ภา


โดย: อุ้มสี วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:19:00:38 น.  

 
สวัสดี ค่ะ พี่ภา

ขอบคุณค่ะ ที่แวะไปให้กำลังใจที่บล็อกหนู แต่
หนูยัง งง ๆ อยู่ว่า ทำไมพี่ภาบอกว่า

"นึกแล้ววววคอมเม้นท์ของพี่โดนแบนแต๊ดแต๋ค่ะ"

ใครกล้ามาแบนคอมเม้นท์พี่คะ

น้องนุ้ง อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว นะคะ พี่ภา
รักษาสุขภาพด้วย นะคะ



โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:19:59:02 น.  

 
นั่งอ่านลงมาเรื่อย ๆ พี่ขยันมาก ลงสองตอน...

อ่านแล้วนึกถึง นักประพันธ์ไทย กับ ตปท.มีจินตนาการ คล้ายกันเรื่องอะไรน้า น่าจะมโนราห์
ที่ถูกเก็บปีก เลยบินกลับไม่ได้้


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 15 สิงหาคม 2562 เวลา:5:35:09 น.  

 


สวัสดียามเช้าครับพี่ภา




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 สิงหาคม 2562 เวลา:6:26:55 น.  

 
อ่านจบแล้วครับ
อีกสองวันดาวพิษจะชนแล้ว


โดย: สองแผ่นดิน IP: 183.89.123.18 วันที่: 15 สิงหาคม 2562 เวลา:13:39:44 น.  

 
ชื่อผีน้อย มีความสำคัญกับเขาจริงๆ
ในการที่จะได้ไปเกิดในภพหน้า
สงสารๆถูกหลอกเสียได้

คำคมของ"โคมอส" ..เทวดา พอตกจากสวรรค์
ก็หลงตัวเอง..เหมือนเราๆท่านๆ(น่าคิดๆ)

เบร็ก ได้คุยกับเทวดาประจำตัวจริงๆแล้ว
แถมได้รู้ความจริงว่าหญิงที่เขาละเมอเพ้อพก
เป็นเสมือน Vqmpire อยู่มาหลายภพหลายสมัยแล้ว

สรุปสุดท้าย...ไม่มีใครสามารถไว้ใจใครได้จริงๆ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 17 สิงหาคม 2562 เวลา:16:46:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ภาวิดา คนบ้านป่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 140 คน [?]




BG Pop.Award #17
BG Pop.Award #16
BG Pop.Award #15
BG Pop.Award #14
BG Pop.Award #13
BG Pop.Award #12
BG Pop.Award #11
BG Pop.Award #10
BG Pop.Award #9
BG Pop.Award #8
BG Pop.Award #7
BG Pop.Award #6
*****
*****
Friends' blogs
[Add ภาวิดา คนบ้านป่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.