Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2562
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 สิงหาคม 2562
 
All Blogs
 
นิยายแปลเรื่อง ดาวพิษ บทที่ 22 – โลกันตร์และอเวจี & บทที่ 23 – คลายปม แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า

LITERATURE
นิยายแปลเรื่อง ดาวพิษ
บทที่ 22 – โลกันตร์และอเวจี &
บทที่ 23 – คลายปม
แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า
****************************************************************

ความเดิม:
บทที่ 1 ดาวพิษเวิร์มวู้ด........บทที่ 2 เหตุป่วนสมอง........บทที่ 3 หมอยา
บทที่ 4 ซอยอินนิโก้............บทที่ 5 ปีกเทวดาตกสวรรค์
บทที่ 6 คัมภีร์อาถรรพณ์......บทที่ 7 ร้านบิ๊บเบิ้ลวิคบนสพานลอนดอน
บทที่ 8 ต้องตายก่อนจึงจะได้เป็นอิสระ.........บทที่ 9 ตายซ้ำเจ็ดครา
บทที่ 10 ประสานพลังศาสนเวทย์................บทที่ 11 เมืองต้องมนตร์
บทที่ 12 กำเนิดปีศาจร้าย......................บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า
บทที่ 14 ไคมีร่า – สัตว์พหุพันธุ์..............บทที่ 15 วิกาลภูตกับผู้คุม
บทที่ 16 สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์...................บทที่ 17 อรุณสีเลือด
บทที่ 18 รัมสกิ้น แอชโมได & บทที่ 19 รถม้ากับดาวหาง
บทที่ 20 มอร์บัส กัลลิคัส & บทที่ 21 ตามบัญชาของมายาวี

ใกล้จบก็เดาอะไรพอได้บ้าง แต่ทุกๆเหตุการณ์หนีและไล่ล่าก็ยังชวนติดตาม หลายชีวิตจะได้พิสูจน์ความดีหรือชั่วร้ายบริสุทธิ์ด้วยบทบรรยายร้ายแรงคู่ควรแก่ความดีและร้ายนั้นอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ก่อนจะถึงหน้าสุดท้ายของนิยายนี้ อย่ากระพริบตาเลยทีเดียว ทุกชีวิตเป็นไปตามสัจธรรมที่เราท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี... บทนี้มีคำว่า อนาคตใหม่ ด้วยนะเออ ทันสมัยซะ อีก 3 ตอนก็จบแล้วค่ะ

 
 

************************************************************** 
บทที่ 22 – โลกันตร์และอเวจี

เสียงลูกเห็บหินที่ตกลงมาจากฟ้าดังสนั่นระรัวยาวนานลึกลงไปถึงห้องใต้อนุสาวรีย์เดอะพิลล่าร์ ผนังห้องสะเทือนไปตามแรงที่สะเก็ดหินปะทะโดมเซนต์ปอลครั้งสุดท้าย โคมระย้าสั่นไหว พื้นห้องไกวไปมาจนผู้ที่ถูกขังอยู่ล้มกลิ้ง ซ้ำประตูยังหลุดออกจากบานพับด้วย รัมสกิ้นโผล่พรวดเข้ามาในห้อง หมุนตัวไปรอบๆ ครางในลำคอเหมือนลิงถูกขัง มันเล่นงานเทกาตัสแล้วหายตัวออกประตูทางขึ้นบันได ร้องเสียงแหลมไกลออกไป

“เมืองนี้ประสบหายนะอีกครั้งหนึ่งแล้ว” แธดเดียสพูดพลางลุกขึ้นยืน “เขาอาจเปลี่ยนแผนเตรียมใช้เจ้าเพราะเรื่องนี้ก็ได้”

“แผนอะไรล่ะ แธดเดียส เขาที่ว่าน่ะใครกัน แล้วข้าเกี่ยวอะไรด้วย” อเก็ตต้าถาม

“เขาก็คือพวกผู้สร้างอนาคตใหม่ สังคมใหม่ เท่าที่มอร์บัสบอกข้าก็คือจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นและข้ากับเจ้าจะเป็นส่วนสำคัญ บางอย่างที่ปัญญาอันน้อยนิดของข้าไม่อาจเข้าใจได้ แต่ข้ารู้ว่าเขาไม่ทำร้ายเราหรอก”

“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ แธดเดียส ท่านต้องช่วยพาเราหนี เราเอาหนังสือให้เขาไปก็ได้นี่ มันไม่ได้มีประโยชน์กับเราเลย” อเก็ตต้าคว้าแขนเขาไว้

“เราควรอยู่ที่นี่นะหนู รอดูว่าเขาอยากได้อะไรจากเรา ข้าไม่คิดว่าเขาอยากจะทำร้ายเราหรอก เทวดานั่นละก็ อาจเป็นได้” แธดเดียสตอบ

“ก็พวกนั้นไม่มีทางจะเปลี่ยนรูปเจ้าให้เป็นแบบรัมสกิ้นนี่ ใช่มั้ยล่ะ” เทกาตัสเหน็บแนมแธดเดียส “ข้าจะเสี่ยงออกไปดีกว่ารอให้มันมากินเนื้อข้าแทนเนื้อไก่”

“ข้าเห็นด้วยกับเทกาตัส” อเก็ตต้าพูดพลางปล่อยมือจากแธดเดียส “เจ้าก็เห็นว่าไอ้สัตว์ร้ายนั่นทำกับเขายังไง เทกาตัสไม่ควรต้องตาย เราต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้”

“ข้าบอกแล้วไงว่าให้รอก่อน ลองคุยกับพวกเขาดู บอกเขาไปซิว่าซ่อนเน็มโมเร็นซิสไว้ที่ไหน แล้วค่อยต่อรองเรื่องอิสรภาพ เราจะปลอดภัย มีแต่เทวดาเท่านั้นแหละที่ต้องตาย”

เทกาตัสเดินไปที่ประตู ดึงบานพับพลางงัดประตูให้หลุดออกจากผนัง สลักหักดังแกร็ก แล้วบานประตูก็ล้มลง ลมหนาวกรูเกรียวเข้ามาจากอุโมงค์

“ข้าไปละ ข้าทนทุกข์ทรมานมาพอแล้ว เจ้าจะไปด้วยกันก็ได้นะ มาอยู่ที่นี่แล้วข้าถึงได้รู้ว่าข้าควรอยู่ที่ไหนและสิ่งที่ข้าละทิ้งไว้เบื้องหลังคืออะไร อาจยังพอมีหนทางที่ข้าจะแก้ความผิดที่ทำไว้กับพระองค์ก็ได้”

“หนังสือนั่นอยู่ไหน อเก็ตต้า บอกข้ามาสิว่าอยู่ไหน” แธดเดียสเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโกรธเกรี้ยว พลางจ้องเจ้าหล่อนเขม็ง ความอ่อนโยนที่เคยมีหายไป “ข้าอยากรู้ไว้ก่อนเจ้าจะไปจากที่นี่ พวกมันจะเรียกรัมสกิ้นมาตามหาเจ้าจนเจอจนได้”
อเก็ตต้ารู้สึกว่าชักจะไม่ชอบมาพากล แธดเดียสพูดดังๆ เหมือนอยากให้คนอื่นได้ยินด้วย น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปในคำพูดประโยคเดียว ฟังเหมือนทำตัวเป็นพ่อมากกว่าเพื่อน และเหมือนเห็นเจ้าหล่อนเป็นเพียงเด็กหญิงรับใช้คนหนึ่ง เจ้าหล่อนถอยหลังกรูดเข้าใกล้เทกาตัสยิ่งขึ้น ความเกลียดที่มีต่อเขาค่อยจางลง

“ถ้าข้าบอกให้ว่าหนังสือนั่นอยู่ที่ไหน ท่านจะปล่อยข้าไปไหม” เจ้าหล่อนถามพลางคว้ามือเทวดาไว้

“ก็ต้องคิดดูก่อน” แธดเดียสพูด “ข้าพอจะช่วยพูดให้เขาไว้ชีวิตเจ้าได้นะ”

“นี่เจ้าเป็นเชลยจริงหรือเปล่า” เจ้าหล่อนถาม ขยับใกล้ประตูเข้าไปอีก

“เชลยรับเชิญ ถูกลวงมาด้วยเล่ห์กล แต่ก็ยังเป็นเพื่อนและรู้อนาคตเจ้า”
แธดเดียสพูดอย่างอ่อนโยน เอียงคอแล้วยิ้ม รู้ดีว่าคำพูดแรงๆ ทำให้เจ้าหล่อนสะเทือนใจ “เจ้าอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่า ปล่อยเทวดาไปเถอะ แล้วมากินอาหารกันอย่างที่สัญญาไว้ จริงๆ แล้วข้าอยากชวนเจ้ามาทำงานด้วยกันในร้านบิ๊บเบิ้ลวิคซึ่งเป็นร้านหนังสือดีที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน” แธดเดียสพูดอย่างภูมิใจ พลางเลิกคิ้ว ยิ้มกว้าง และขยับจมูกดุกดิกเหมือนกระต่ายตัวใหญ่

อเก็ตต้าปล่อยมือเทวดา ยิ้มให้แธดเดียส มองหาแววโกหกในสีหน้าเขาหากจะมีให้เห็นได้ แธดเดียสยิ้มค้างจนกลายเป็นยิ้มแห้งระหว่างใจจดจ่อรอคำตอบจากเจ้าหล่อน

“ข้าจะไปกับเทวดา” อเก็ตต้าพูดพลางถอยไปที่ประตู “ข้าไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ ชีวิตมีความหมายมากกว่าแค่อาหารที่จะกินหรือเสื้อผ้าหรูหราของสุภาพสตรีแถวถนนฟลีต” เจ้าหล่อนหยุดคิดชั่วอึดใจ “ข้าว่าข้าทำงานที่ร้านท่านไม่ได้หรอก ข้าไม่มีความสามารถพอจะเป็นคนขายหนังสือได้”

อเก็ตต้าหันมามองเทกาตัส เขาดึงเทียนไขขนาดใหญ่สองเล่มออกจากโคมระย้า แล้วชี้ไปทางประตูที่เปิดค้างอยู่ ทั้งคู่ออกจากห้อง ก้าวเข้าสู่ความมืดในอุโมงค์อย่างเงียบๆ

“เดี๋ยวก่อน ข้าไปด้วย” แธดเดียสตะโกน สลัดเชือกที่มัดมือออก และวิ่งตามไป “ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผู้ที่คุมขังข้าสำคัญกว่ามอร์บัส กัลลิคัส”

อเก็ตต้าและเทวดาวิ่งไปตามอุโมงค์ เสียงแม่น้ำเทมส์ใกล้เข้ามาทุกฝีก้าว แธดเดียสล้มลุกคลุกคลานอยู่ในความมืด พยายามก้าวให้ทันเงาทั้งคู่ที่เห็นอยู่ไหวๆ โดยอาศัยเสียงสะท้อนของฝีเท้าและเสียงย่ำน้ำแตกกระจาย เทกาตัสยึดมืออเก็ตต้าไว้แน่นขณะลากเจ้าหล่อนไปด้วย พลางกระซิบกระซาบกันโดยหวังว่าแธดเดียสจะไม่ได้ยินว่าคุยเรื่องอะไร

“ถ้าเราหนีออกจากอุโมงค์นี้ได้ ก็จะได้กลับไปเอาเน็มโมเร็นซิสที่ร้านหนังสือ” เทกาตัสพูดขณะเดินฝ่ากระแสน้ำลึกลงไปเรื่อยๆ “จะต้องเอาคัมภีร์ไปคืนสวรรค์หรือไม่ก็ทำลายเสีย จะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือเขาไม่ได้ ข้าไม่ไว้ใจเพื่อนเจ้า”

อเก็ตต้าไม่ตอบแต่ก็รู้สึกว่าตนเห็นด้วยกับเทวดา เจ้าหล่อนเคยชื่นชมมิตรภาพของแธดเดียสยิ่งนัก และเคยฝันเอาไว้มาก แต่ตอนนี้เจ้าหล่อนรู้แล้วว่าแธดเดียสยังมีอะไรที่เขาไม่ยอมบอกเจ้าหล่อนอีกมาก “รอด้วย” เสียงเขาแว่วมาแต่ไกล “เจ้ามีแสงเทียนแต่ตรงที่ข้าเดินมันมืด”

ทั้งสองก้าวยาวๆ ฝ่ากระแสน้ำต่อไปโดยไม่ฟังเสียงเขา อเก็ตต้าเงยหน้าขึ้น แสงเทียนส่องให้เจ้าหล่อนเห็นหนูสีขาวตัวใหญ่เกาะอยู่บนแผ่นหินที่ยื่นออกมาจากผนังอุโมงค์ มันชายตาดำข้างหนึ่งมองเจ้าหล่อน พลางทำหนวดดุกดิกแล้วสลัดน้ำออกจากขน ทั้งสองได้ยินเสียงโกลาหลกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ จากถนนที่อยู่เหนือขึ้นไป ชาวเมืองต่างทิ้งข้าวของทุกอย่างที่มีและพากันหนีออกนอกเมืองหลวง เสียงล้อเกวียนบดหินปูถนนดังโครมคราม เสียงคนจนตะโกนแซ่ทะลุชั้นดินเหนียวลงมา สะท้อนก้องไปตามอุโมงค์คดเคี้ยวที่เชื่อมทุกมุมเมืองไว้ด้วยกัน

“ต้องไปอีกไกลสักแค่ไหนนี่” อเก็ตต้าถามขณะเดินฝ่ากระแสน้ำสูงเสมอเข่า

“จนกว่าจะเจอทางออก” เทวดาตอบ เกือบจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ “เดี๋ยวก็คงถึงแม่น้ำ แล้วค่อยมองหาสะพาน”

“ข้ารู้ทาง” แธดเดียสตะโกนมาจากด้านหลัง “รอด้วยแล้วข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”
ทั้งสองเดินต่อไป เทกาตัสหยุดฟังเสียงก้องที่ดังมาแต่ไกล ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงฝีเท้าไล่หลังแธดเดียสมาห่างๆ หรือไม่

“น่าจะให้เขามากับเรานะ” เทกาตัสพูดกับอเก็ตต้า “อย่างน้อยถ้าเขามีแผนร้าย เราก็จะได้รู้”

แธดเดียสเร่งฝีเท้าให้เร็วเท่าที่จะทำได้เพื่อตามให้ทัน “จะเปลี่ยนใจกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้นะ อเก็ตต้า ข้าจะพูดกับเขาให้…” ใบหน้าแธดเดียสเหี่ยวย่นเป็นร่องลึก เห็นได้รางๆ ในแสงเทียนเมื่อทั้งสามมายืนอยู่ตรงสี่แยกที่อุโมงค์สองสายตัดกัน

“ไปกันเถอะ” เทวดาพูดพลางชี้ไปข้างหน้าตรงที่อุโมงค์ทอดตัวดิ่งลงสู่แม่น้ำ “เจ้าอยากอยู่ที่นี่ก็ตามใจ แต่สาวน้อยคนนี้ไม่อยากมีส่วนร่วมใดๆ ในแผนของเจ้า”

เสียงตะโกนอื้ออึงที่สนั่นอยู่เหนือขึ้นไปสะท้อนตามอุโมงค์ดังกลบหู กึกก้องมาจากทุกทิศทาง อเก็ตต้าหนาวเยือกไปทั่วสันหลัง จนผมที่ท้ายทอยลุกชันเหมือนกระต่ายป่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อเก็ตต้าถามเมื่อเดินต่อไปท่ามกลางแสงสว่างที่สลัวลง

“ฟ้าไหวอีกหนหรืออะไรเลวร้ายกว่านั้น” แธดเดียสพูดอย่างเป็นทุกข์พลางจับแขนเจ้าหล่อนไว้ “กลับไปที่เดิมจะปลอดภัยกว่านะ”

“ปลอดภัยสำหรับเจ้า แต่ไม่ใช่สำหรับข้า” เทกาตัสพูด ดึงตัวอเก็ตต้าไปจากแธดเดียส “เราจะไปต่อ แต่เจ้าจะอยู่นี่ก็ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ค่อยอยากไปกับเราเท่าไหร่หรอก แล้วทำไมไม่อยู่เสียเลยเล่า ทำไมไม่อยู่เล่นกับไอ้หมาอ้วนที่เจ้าสนิทสนมออกจะตายไป เจ้ารัมสกิ้นน่ะ” เทกาตัสลูบรอยเล็บบนใบหน้าแล้วผลักอกแธดเดียส “ไง มันไม่ได้มาอยู่ดูแลเจ้าที่นี่ละสิ” เทวดาถาม “มีเพื่อนคอยดูแลน่ะดีออกนะ อย่างหมาผีตัวน้อยที่มาหอบแฮ่กๆ อยู่ใกล้ๆ เจ้าไง นายแธดเดียส”

“หมายความว่าไงน่ะ เทกาตัส” อเก็ตต้าถาม

“ถามเขาสิ ถามเขาว่ามันอะไรกันแน่ไอ้ที่เกิดขึ้นน่ะ ถ้าเขากล้าบอกความจริงเจ้าคงได้ประหลาดใจมั่งละ”

“อย่าไปฟังมันนะ อเก็ตต้า มันอยากให้เราแตกคอกัน เทวดาน่ะไม่รู้เรื่องมนุษย์หรอก มันเกิดมาเพื่อแส่ไม่เข้าเรื่อง เกิดมาเพื่อตกสวรรค์เพราะทำผิดแค่ขอให้ได้สูดกลิ่นผ้ากันเปื้อนสาวบริกรสักนิด…แล้วเจ้าล่ะติดบ่วงเพราะอะไร เมรัยของจันทราเทวีหรือว่าเหล้าจิน หรือสิ่งที่เร้าใจกว่านั้น” แธดเดียสถาม พลางลูบแก้มเทวดา

“แยกกันเสียตรงนี้แหละดี” เทวดาพูดแล้วคว้าคอแธดเดียสยกขึ้นเหนือน้ำ แธดเดียสเตะตะกุยตะกายเอาตัวรอด

“เจ้าจะใช้คาถาอาคมเหรอ” อเก็ตต้าถาม ขณะที่เทวดาส่งตัวแธดเดียสขึ้นไปนั่งบนหิ้งยาวตลอดอุโมงค์ บนหิ้งยาวนั้นมีหนูวิ่งไขว่ไปหมด

“เปล่า จะใช้ไอ้ที่ร้ายกว่านั้น” เขาตะโกน ชกหน้าแธดเดียสสองครั้ง แล้วปล่อยให้นอนกองอยู่บนพื้นหินเย็นเฉอะแฉะ ฝูงหนูคลานขึ้นไปอยู่ทั่วร่างไร้สติของแธดเดียส เทกาตัสเห็นแววประหลาดใจบนใบหน้าอเก็ตต้า “เขาเป็นพวกเดียวกับมัน ทั้งหมดนี้เป็นกลลวง แธดเดียสเป็นเหยื่อในกับดักและเจ้าแหละคือคนที่พวกมันต้องการให้เข้าไปติดกับดักนั้น”

“พวกนั้นบอกว่าจะเปลี่ยนร่างเจ้า”

“และเขาก็จะทำอย่างที่พูดนั่นแหละ ไม่ช้าข้าจะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เทวดานั้นถ้าทำผิดเพราะมาเกลือกกลั้วกับสิ่งต่างๆ ในโลกและปรารถนาจะเป็นมนุษย์ ก็ต้องเป็นอย่างที่ว่าทั้งนั้น ถึงจะหลอกตัวเองว่าอนาคตยังอีกไกลจนยังไม่ต้องสนใจผลที่จะตามมาก็ได้ ระหว่างทุ่มสุดตัวเพียงเพื่อจะได้ลิ้มรสชีวิตอย่างมนุษย์ แต่พอได้ลิ้มแล้วก็เหมือนกับสิ่งเสพติดทุกชนิดนั่นแหละ เราต้องตกนรก แล้วร่างที่เราสิงอาศัยก็กลายเป็นสิ่งสำแดงความชั่วช้าของเรา”

“ถ้าอย่างนั้น ถึงยังไงเจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้วละสิ” อเก็ตต้าถามขณะที่เดินกันต่อไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้แธดเดียสนอนอยู่กลางฝูงหนู

“ตอนที่อยู่ในห้องใต้ดิน พอไอ้สัตว์ร้ายนั่นจับข้าไว้ ข้าก็มองเห็นว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นอะไร ชั่วขณะนั้นข้าเห็นชัดว่าข้าหลงสละชีวิตเพื่อสิ่งที่ใจปรารถนาและลืมไปว่าข้าเกิดมาเพื่ออะไร ที่ข้าหลงติดกับดักของราชินีแห่งความมืดนั้นไม่ใช่เพราะนางทรงพลังอำนาจ แต่เพราะข้าอยากติดกับเอง ข้าได้ลิ้มรสผลไม้นั้นแล้วและเห็นว่าอร่อยดี”

“ตอนอยู่ที่ร้านหนังสือน่ะ ข้าเกลียดท่าน อยากให้ตายหรือไปเสียให้พ้นๆ”

“ตัวเจ้าไม่ได้อยากเองหรอก คัมภีร์นั่นต่างหากที่มีอำนาจสะกดจิตเจ้า และไม่มีอะไรปกป้องเจ้าได้เลย” เทกาตัสหยุดพูดแล้วมองหน้าเจ้าหล่อน มือชูเทียนไขขึ้น เทียนฉายแสงริบหรี่ส่องเพดานอุโมงค์เตี้ยๆ นั้น “ข้าต้องกลับไปที่ร้าน ไปเอาเน็มโมเร็นซิสมาทำลายเสีย ที่จริงข้าอยากจะเอากลับไปคืนสวรรค์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับขึ้นไปได้ยังไง หัวคิดข้าติดข้องอยู่กับโลกียวิสัยเสียจนลืมวิธีบินเสียแล้ว” เทวดาหัวเราะพลางกล่าว “แต่ถึงรู้วิธีบิน ข้าก็ไม่มีขนจะบินอยู่ดี…” เทกาตัสหยุดพูด ไกลออกไปเบื้องหลัง เขาได้ยินเสียงร้องที่เขาเคยคุ้น เสียงรัมสกิ้นคำรามและหอนกังวานยาวเรียกทั้งสองสะท้อนทั่วทั้งอุโมงค์

เทกาตัสส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกให้อเก็ตต้าออกวิ่ง ทั้งสองเร่งฝีเท้าลุยน้ำกระจายซ่านและเกือบจะทำเทียนดับ เทวดาใช้มือป้องแสงเทียนไว้ เปลวไฟทอดเงาเป็นรูปกรงเล็บดำยาวดูเหมือนคืบไปตามเพดาน ไกลออกไปมีลำแสงเล็กๆ ตรงปากอุโมงค์ แสงนั้นดูใกล้เข้ามาทุกฝีก้าวเช่นเดียวกับเสียงเจ้ารัมสกิ้น

อเก็ตต้าถึงประตูก่อน ประตูนั้นขนาดเล็กกว่าตัวเจ้าหล่อน สูงเท่าเด็กทารกเท่านั้น แต่เจ้าหล่อนพยายามแทรกตัวฝ่าออกไปสู่แสงอรุณกระจ่างจนได้ เทกาตัสก็พยายามยัดเยียดตัวเองเข้าไปในช่องนั้น เสียงย่ำน้ำอย่างบ้าคลั่งไล่หลังมาทุกวินาที “เร็วๆ ดึงข้าออกไปให้พ้น” เขาตะโกนบอกอเก็ตต้า ขณะที่เจ้าหล่อนโยนเทียนทิ้งลงแม่น้ำเบื้องล่าง อเก็ตต้าหันมาดึงเสื้อคลุมเทกาตัสเพื่อฉุดเทวดาออกจากปากอุโมงค์ แต่ตัวเขาโตคับช่อง เทกาตัสจึงติดคากรอบประตู “เจ้าต้องไปคนเดียวแล้วละ” เขาตะโกน “อย่างน้อยเมื่อข้าจุกช่องอยู่ พวกมันก็ตามเจ้าออกไปไม่ได้ นอกจากจะกินข้าให้หมดตัวก่อน”

อเก็ตต้าจิกหัวเทกาตัสไว้ เอาเท้ายันกำแพงอุโมงค์แล้วออกแรงดึงจนสุดกำลัง “เอ้า ดันตัวออกมาด้วยซิ” เจ้าหล่อนตะโกน แล้วเทกาตัสก็หลุดผลัวะออกมากลิ้งไปบนทางเดินเลียบแม่น้ำ อเก็ตต้ารีบดึงประตูปิดเสีย

รอบๆ ตัวผู้คนต่างพากันวิ่งสับสน ริมท่าเรือก็มีเสียงคนตะโกนและร้องไห้ขณะหนีตาย บ้างสุมข้าวของลงรถเข็นและเกวียนจนล้น อลหม่านกันเหมือนลมหนาวพัดกรูมาตามถนนทุกสาย ทั่วทุกหนแห่งมีแต่เสียงตะโกนและหวีดร้องเมื่อผู้คนร้อนรนด้วยตื่นตระหนกและต้องการเอาชีวิตรอดจนลืมรักษามารยาท อเก็ตต้าเบิ่งตาจ้องเหตุการณ์นานจนลืมตัว ยอดโดมวิหารเซนต์ปอลที่อยู่ไกลออกไปดูเหมือนไข่ใบยักษ์ที่ร้าวแล้ว หลังคาโดมทะลุ หมอกควันหนาทึบพวยพุ่งออกจากรอยแตกนั้นเป็นระลอก ในแม่น้ำ ชาวเรือต่างจ้ำฝีพายเต็มกำลังมุ่งไปยังฝั่งแม่น้ำทิศใต้ ลากเอากอสวะติดข้างเรือไปด้วยระหว่างหลบให้พ้นแรงฟ้าพิโรธ

“เร็วเข้า เราต้องรีบไปที่ร้านหนังสือ” เทกาตัสฉุดอเก็ตต้าให้หลุดจากภวังค์ ขณะนั้นรัมสกิ้นก็ชนประตูอุโมงค์ หัวอัปลักษณ์ของมันทะลุบานไม้ออกมาจ้องอเก็ตต้าเขม็ง แยกเขี้ยวคำรามและถ่มเลือดออกจากปาก เทกาตัสฉวยถังไม้ใบเล็กเหวี่ยงเข้าใส่ มันถอยหลังหายกลับเข้าไปในความมืด

“มันไม่ตามมาหรอก” เทกาตัสกล่าวขณะออกวิ่ง “มันกลัวแสงแดด นี่สว่างแล้วมันคงไม่เสี่ยงกับแสงตะวันหรอก พอตกอยู่ในอำนาจของความมืดไปแล้ว ถูกแสงแดดจ้าก็จะเจ็บปวด ต้องถึงกลางคืนนั่นแหละมันจึงจะกลับมาตามล่าเราได้อีก”

อเก็ตต้าไม่ได้รู้สึกอุ่นใจเลย ความกลัวแผ่ซ่านไปทุกส่วนของร่างกายจนแทบจะเดินไม่ไหว ยิ่งนึกกลัวทีไรท้องไส้ก็ยิ่งปั่นป่วน ขณะที่เร่งฝีเท้าฝ่าความโกลาหลวิ่งตามเทกาตัสให้ทันนั้น สิ่งเดียวที่เจ้าหล่อนนึกถึงก็คือหายนะที่จู่โจมเมืองและความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสะพรึงกลัวในชีวิตตน และแล้วหล่อนก็เกิดความรู้สึกผิดและสิ้นหวังอย่างเจ็บปวดยิ่งนัก เจ้าหล่อนสำนึกได้แล้วว่าตัวเองผิด ไม่รู้จักพอใจในชีวิตของตน เอาแต่คิดเพ้อฝันใฝ่สูงอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่แหละผลลัพธ์ที่ได้ อเก็ตต้าเคยใฝ่ฝันถึงสิ่งที่สูงเกินตัว อยากร่ำรวยอย่างเยอร์ซีเนีย อยากมีชีวิตอย่างสุภาพสตรี ตอนนี้ที่เคยปรารถนาจะได้หลุดพ้นจากชีวิตธรรมดาสามัญก็กำลังจะได้สมใจแล้วไงล่ะ บัดนี้เจ้าหล่อนได้ความหวาดกลัวมาเป็นผลตอบแทนค่าที่เคยฝันไว้ เสมือนเครื่องย้ำเตือนว่ามือเจ้าหล่อนจับต้องสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะโรยราและดับสูญไปสิ้น

ขณะที่วิ่งกันไป เจ้าหล่อนก็เอาแต่ครุ่นคิดจนมองไม่เห็นว่าฝูงชนแตกตื่นเหยียบย่ำกันเองจนตายไปหลายศพ เจ้าหล่อนนึกถึงได้แต่คำที่เยอร์ซีเนียกล่าวไว้ และรู้ว่าต้องหานางให้พบเพื่อเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟัง และยอมรับทุกสิ่งที่นางเสนอ ภาพตรอกเดิมนั้นผุดขึ้นในความคิด เยอร์ซีเนียสวมชุดคลุมยาวสีดำ รถม้าคันหรูเทียมม้าขนดำเป็นเงาราวไหม คืนนี้อเก็ตต้าจะหาเยอร์ซีเนียให้พบอีกครั้ง และเจ้าหล่อนจะมอบเน็มโมเร็นซิสเป็นของกำนัลแก่นาง เป็นสัญลักษณ์ของบริการและมิตรภาพ

ตามถนนที่มุ่งสู่สะพานลอนดอนนั้นวิ่งผ่านไปไม่ได้เพราะติดคลื่นมนุษย์ที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านเหมือนแม่น้ำสกปรกที่ไหลเอื่อยๆ ฝูงชนเบียดเสียดกันผ่านเสาประตูไปตามแผ่นหินบนสะพาน อเก็ตต้าฉวยชายเสื้อคลุมด้านหลังของเทกาตัสกำไว้มั่นขณะเคลื่อนตัวฝ่าฝูงชนแออัดท่วมท้นเหมือนอุทกภัยหน้าร้อนซึ่งพัดพาเอาทั้งสองไปโดยไม่เต็มใจ ที่สุดปลายสะพานโน้น เจ้าหล่อนมองเห็นทางเข้าร้านหนังสือ ลมเย็นสดชื่นพัดป้ายหน้าร้านแกว่งไกวส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดชวนเชิญ

เทกาตัสแหวกทางเข้าไปใกล้ประตูร้าน ไม่รู้ว่ามือใครต่อใครตั้งหลายมือช่วยกันล้วงกระเป๋าของเขาทุกใบ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อชักออกมาแล้วมีแต่ความว่างเปล่า อเก็ตต้าเกาะเทวดาไว้แน่น จ้องมองหน้าคนที่ล้อมรอบอยู่ใกล้ๆ รู้สึกตัวลอยเหมือนจุกก๊อกลอยผลุบๆ โผล่ๆ ระหว่างถูกลากเข้าไปใกล้ร้านหนังสือยิ่งขึ้นทุกที เจ้าหล่อนเงยหน้ามองและเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่าหลังคาร้านเหมือนปราสาทประหลาด มีป้อมกำแพงทึบและเว้นช่องแคบไว้สำหรับพุ่งอาวุธแทนหน้าต่างชั้นบน สูงขึ้นไปเหนือป้อมกำแพงนั้นคือหินสลักเป็นใบหน้าอันคุ้นตาของไดแอ็กก้า นั่นคือการ์กอยล์ ซึ่งคอยคุ้มภัยจากศัตรู สูงขึ้นไปอีกคือฝนลูกเห็บหินที่แตกปะทุระเบิดอยู่กลางฟ้าสว่างพราวเป็นสีเงิน

คลื่นมนุษย์พัดพาอเก็ตต้าลอยห่างจากเทวดาออกไปเรื่อยๆ จนต้องยอมปล่อยมือจากกัน

“เทกาตัส!” เจ้าหล่อนตะโกน เมื่อถูกเบียดจมลงจวนเจียนจะถูกฝูงชนที่คลุ้มคลั่งเหยียบเอา เทกาตัสหันขวับมาทันเห็นมือของเจ้าหล่อนชูขึ้นขณะตัวค่อยๆ กลืนหายไปในฝูงชน เขาเอื้อมไปคว้าข้อมือเจ้าหล่อนไว้ได้ก็รีบดึงเข้าหาตัวทวนคลื่นมนุษย์ อเก็ตต้าหวีดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อแขนถูกดึงต้านน้ำหนักคนถ่วง ชายชราหนวดขาวถือไม้เท้ายาวผู้หนึ่งช่วยฉุดเจ้าหล่อนขึ้นแล้วดันส่งให้เทกาตัสดึงเจ้าหล่อนเข้าหาตัว อเก็ตต้าเห็นชายชราผู้นั้นสะดุดล้ม หลังจากสบตากันเพียงแวบเดียว เขาก็ถูกกลืนเข้าไปในฝูงชนที่ตื่นตระหนกร้อนรน ไม่มีใครสนใจว่าเขาเป็นใครหรือเป็นอะไร เสียงคนตะโกนก้องกลบเสียงหวีดร้องของเขาเสียสิ้น

เทกาตัสยึดประตูร้านไว้เป็นหลัก อีกมือหนึ่งลากตัวอเก็ตต้าเข้ามาจนเจ้าหล่อนล้มเข้าไปในอ้อมแขน ปลอดภัยอยู่ ณ ธรณีประตูซึ่งยกระดับขึ้นพ้นคลื่นมนุษย์เปรียบเสมือนเกาะขวางกระแสน้ำ

ทั้งคู่ก้าวเข้าไปในร้านหนังสือ ลั่นกลอนประตูกันคนเข้า กั้นความสับสนอลหม่านและเสียงอึกทึกคึกโครมไว้ภายนอก ข้างในมีแต่หนังสือเล่มใหญ่สีคล้ำขรึม เต็มไปด้วยศาสตร์แห่งนานายุคสมัยตั้งเรียงรายเป็นแถวละล้วนเงียบกริบ

เสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งอยู่ตามผนัง และตรงมุมร้านข้างเตาผิงเก่านั้น แสงสลัวลำหนึ่งเริ่มทอดเงาลงบนพื้นหิน ร่างเล็กๆ ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเหมือนละอองฝุ่นรวมตัวกันทีละเล็กละน้อย ดวงตาสดใสสองดวงปรากฏขึ้นเป็นสิ่งแรก ตามด้วยหู ปากและจมูกเหมือนกระดุมเล็กๆ เหนือทั้งหมดนั้นคือผมสีบลอนด์ยุ่งเป็นกระเซิง ผีเด็กปรากฏต่อหน้าทั้งสอง

“ไปเสียเถอะ” เด็กน้อยครวญคราง “อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรอก”


บทที่ 23 – คลายปม


“เมื่อวันก่อนข้าพบชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมเชื่อเรื่องเทวดา” เบล้กกล่าวขณะมองแม่น้ำเทมส์ที่ไหลลงสู่ทะเลไม่ขาดสาย “เขาบอกว่าของพรรค์นั้นไม่มีจริงหรอก แต่นั่นมันก่อนวันฟ้าไหวและก่อนดาวหางจะมา” เขาหยุดพูดชั่วขณะแล้วมองเอบรามอย่างเศร้าสร้อย “ถ้าเขาได้มาอยู่ที่นี่ตอนนี้และได้เห็นอย่างที่ข้าเห็นละก็” เบล้กกล่าวต่อพลางมองเรือล่มลำหนึ่งลอยคว้างเหมือนถูกดูดไปทางสะพานลอนดอน ผู้โดยสารลอยคว่ำหน้าอยู่ในน้ำเหมือนนากอาบแดด “นี่มันเกินกว่าที่ข้าจะจินตนาการได้เสียแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรจะทำให้ข้าประหลาดใจได้อีกละ นัยน์ตาข้าคงไม่มีทางมองผิดอีกเพราะหัวคิดข้าไม่เหลือรูปรอยแล้ว ชีวิตข้าไม่มีวันเหมือนเดิมอีก ไหนขอถามสักคำเถอะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“เจ้าก็อ่านเน็มโมเร็นซิสมาแล้ว แถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับอีก เจ้าบอกข้าเสียเองดีกว่า พ่อคนเก่ง”

“ข้าเคยคิดว่าข้ารู้ เคยคิดว่าทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พอข้าได้คัมภีร์นั่นมา ข้าก็เปลี่ยนไป หมกมุ่นอยู่กับการคิดคำนวณ ฟุ้งซ่านเพราะอยากรู้ความจริง”

“นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับ เอาแต่หาคำตอบและไม่เคยยอมรับอะไรง่ายๆ” เทวดาตอบ “ข้าละแปลกใจเสมอ พอเจ้าไขว่คว้าหาความรู้แจ้งเข้าเมื่อใด ก็ไพล่ผลีผลามเกิดศรัทธาในความเชื่อเก่าๆ ขึ้นมาทุกที ดูเจ้าสิ เจ้าเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ ทั้งเป็นคนที่สนใจแต่ข้อเท็จจริง ก็ไพล่ไปเสาะหาความจริงแต่ในเรื่องไร้สาระ ยิ่งเจ้าค้นพบมากเท่าไร ก็ยิ่งมุดหัวกลับไปสู่วิถีอดีตมากขึ้นเท่านั้น”

“ยิ่งข้าค้นพบมาก ข้าก็ยิ่งหลงใหลคาถาอาคมมากขึ้นเท่านั้น” เบล้กตอบ “ดูราวกับว่าข้ากำลังวิ่งหนีโลกยุคใหม่เข้าไปหาอดีตที่คิดว่าดีกว่าสักแห่ง ข้าคิดอยู่เสมอว่าการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้น่ากลัว เลยได้แต่มุ่งมองอนาคต หรือไม่ก็อยู่ไปในโลกอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น เรื่องที่ข้าต้องเผชิญในปัจจุบันมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะรับไหวแล้ว”

“อยู่อย่างนั้นดูจะไม่ยุติธรรมกับชีวิตสักเท่าไร” เอบรามพูดแผ่วราวกระซิบ “ทุก
ลมหายใจคือพันธสัญญาที่ผูกพันกับปัจจุบันกาล เป็นสิ่งพิเศษล้ำค่าที่เราต้องใช้ให้คุ้ม ชีวิตในอดีตก็ต้องใช้ให้คุ้มเหมือนกัน การฝังตัวอยู่แต่กับอดีตนำไปสู่ความขมขื่น เอาแต่ใฝ่ฝันถึงอนาคตก็ทำให้สิ้นเปลืองเวลาในชีวิต เจ้าไม่ควรยอมเสียเวลาแม้สักวินาทีเดียว เพราะมันอาจเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตเจ้าก็ได้… ที่เจ้านึกถึงได้มีแต่สิ่งที่ค้นพบในคัมภีร์งั้นรึ”

“คัมภีร์นั้นมีความสำคัญเหนือทุกสิ่ง” เบล้กตอบ ดูเหมือนว่าในที่สุดเอบรามก็เข้าใจเขา

“นั่นละเน็มโมเร็นซิส มันหาจุดอ่อนของเจ้าจนพบแล้วขยายให้ใหญ่ขึ้น มันใช้อำนาจชักนำผู้ปรารถนาวิชาความรู้ไปในทางที่ผิด อิทธิพลของมันทำให้ผู้แสวงอำนาจเมามาย และคนที่ขมขื่นจะยิ่งเหี่ยวเฉาเหมือนผลไม้จำบ่ม เน็มโมเร็นซิสจะเพรียกหาเจ้าจากที่ที่มันซ่อนอยู่ มันอยากให้เจ้าหามันพบอีกครั้ง มันอยากมีบริวารไว้บูชามันมากๆ เจ้าก็เป็นบริวารคนหนึ่ง มันจะร้องบอกที่อยู่ของมันและฉุดลากเจ้ามาจากสุดขอบโลก ที่ข้าต้องทำก็คือตามเจ้าไป แล้วคัมภีร์ก็จะกลับมาเป็นของข้าอีกครั้ง”

“อีกครั้งรึ” เบล้กถาม ประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนั้น

“ข้าคือผู้พิทักษ์คัมภีร์นั้น ข้าขโมยมันมาจากผู้เขียน เน็มโมเร็นซิสถือกำเนิดมาเสมือนเป็นตำนานแห่งวงศ์วานของเรา แล้วผู้ที่เขียนมันขึ้นมาก็เริ่มเติมแต่งด้วยแรงปรารถนาจากใจอันทะยานอยากของนาง นางแต่งเรื่องว่าประมุขของเราโกหก ฉกชิงมรดกที่เราควรได้ นางบอกว่าเราเท่าเทียมและเสมอเหมือนกับพระประมุข พระองค์ไม่ได้เป็นผู้สร้างเราขึ้นมา ธุลีย่อมมาจากธุลี เถ้ามาจากเถ้า” เอบรามหยุด หวังว่าเบล้กจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด

“เฮซรินเป็นนางฟ้าที่งามเลิศ แต่ความงามทำให้นางฉ้อฉล” เทวดามองท้องฟ้าและดาวหางที่ลอยสูง “นางเรียกดาวหางดวงนี้มาจากอวกาศ เมื่ออิทธิฤทธิ์นางแก่กล้า ความโลภก็แก่กล้าขึ้นด้วย นางอยากเป็นราชินีแห่งสองอาณาจักร ครองโลกก่อนแล้วค่อยครองสวรรค์ นางจะครองทั้งสองโลกกับไพราเธียนพี่ชายของนาง ข้อดีอย่างหนึ่งของคัมภีร์นั่นก็คือมันทำนายได้ว่านางจะทำอะไรต่อไป เพราะมีคัมภีร์นี้เราจึงรู้ว่าจะจัดการกับนางได้อย่างไร และมีบางเรื่องที่นางจำเป็นต้องทำ นั่นคือต้องเปลี่ยนร่างทุกๆ พันปี เมื่อใดเทวดาลงมาอยู่ในโลกมนุษย์และปล่อยให้โลกียวิสัยมีอำนาจเหนือจิตวิญญาณ ไม่นานนักเทวดาก็จะกลายเป็นปีศาจดุร้าย นี่ก็ใกล้ถึงเวลานั้นอีกแล้ว นางต้องหาร่างใหม่ ทางเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือขโมยร่างคนที่เหมาะจะเป็นร่างของนางในคืนเดือนเพ็ญซึ่งเป็นวันเกิดทั้งของนางและเจ้าของร่างด้วย พรุ่งนี้พระจันทร์ก็จะเต็มดวงพอดี และคนที่ใกล้จบชีวิตก็อยู่ไม่ไกลนี่เอง”

“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร” เบล้กถาม เสียงหวีดร้องจากย่านชีปไซด์แว่วมาเหมือนใบไม้ปลิวผ่านยอดตึก ระฆังที่ถูกลมพัดต่างส่งเสียงเหง่งหง่างโดยไม่มีใครตี

“ต้องเป็นเด็กหญิงในวัยสาวเต็มตัว บริสุทธิ์ไร้ราคี เฮซรินมักจะเลือกคนที่นิสัยออกจะก้าวร้าวอยู่บ้าง เลือกไว้ตั้งแต่เกิดและคอยจับตามองตลอดมา สมุนของนางเฝ้าดูเด็กคนนั้นมาเป็นแรมปี เมื่อได้เวลาเหมาะก็นำมาคร่าชีวิต แล้วเฮซรินก็จะได้เปลี่ยนร่าง”

“พรุ่งนี้เป็นวันฉลองวิญญาณ และเป็นวันเกิดของอเก็ตต้า เลเมี่ยน สาวใช้ของข้า ปกติข้าจะให้หล่อนหยุดงาน แต่ตอนนี้หล่อนขโมยเน็มโมเร็นซิสไป”

“งั้นก็อาจเป็นหล่อนนั่นเอง อาจเป็นเพราะเหตุนี้แหละเจ้าจึงได้คัมภีร์นั่นมา เจ้าไม่เคยสงสัยบ้างเลยรึว่าทำไมจึงได้ของขวัญแบบนั้น” เทวดาถาม เก็บเรื่องที่เขาพบอเก็ตต้าไว้เป็นความลับ

“ข้าคิดว่าเทวดาประทานมาเป็นของขวัญเพื่อให้ข้าเก็บรักษาไว้”

“นางให้เจ้ามาก็เพื่อเด็กสาวคนนั้นจะได้ตกอยู่ใต้อำนาจของมัน จะได้เปิดใจให้วิญญาณร้ายเข้าสิงและสูบเอาความสาวของหล่อนไป เจ้าเป็นแค่เบี้ยไร้ค่าตัวหนึ่งของนาง เป็นแค่ไอ้โง่ที่เลดี้ แฟลมเบิร์กใช้คั่นเวลา”

“นางอยากเห็นเมืองนี้วอดวายไป พร้อมทั้งผู้คนทั้งหมดด้วย” เบล้กกล่าวในขณะที่เสียงหมาเห่าหอนอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นกว่าเดิม

“หมาพวกนั้นกลัวฟ้า มันรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อโกรธมันจะทำอย่างที่สัตว์ทุกตัวทำเวลากลัว...” เทวดาพูดขณะขยับปกเสื้อคลุม “มันทำร้าย ตามกลิ่นเหยื่อจนพบตัวแล้วก็ทำร้าย”

เบล้กพูดเร็วปรื๋อ เสียงเห่าหอนสะท้อนไปทั่วถนน “พ่อหล่อนบอกว่าหล่อนหนีตามผู้ชายในคณะแสดงสัตว์หายากของเขา ว่ากันว่าไอ้เจ้านั่นเป็นคนต่างถิ่นมาจากอิตาลี เป็นผู้ชายมีปีก” เบล้กหัวเราะ “เขาอยากให้ข้าเชื่อว่าหล่อนหนีตามผู้ชายมีปีกไป”

“พอรู้มั้ยว่าหนุ่มต่างถิ่นคนนี้ชื่ออะไร” เอบรามถาม

เบล้กพยายามนึก “เออ เขาชื่อเอ่อ...เทกาตัส ใช่แล้ว ผู้ชายที่มาจากอิตาลีชื่อ
เทกาตัส”

“งั้นก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว เพราะชายคนนี้ไม่ใช่คนจากอิตาลีแถมไม่ใช่แม้มนุษย์เสียด้วย แต่เป็นเทวดา เป็นทูตสวรรค์ที่ถูกส่งมาติดตามเยอร์ซีเนียและสืบเรื่องชีวิตนางกลับไปรายงาน เขาถูกนางล่อลวงจนเป็นเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟแล้วปีกก็ถูกเผาผลาญ ข้าภาวนาขอให้เขาไม่ถลำลึกจนเกินไป ไม่จมความมืดลงไปจนมิดเท้า เขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้อำนาจทางโลกแล้วต้องสูญเสียความเป็นอมตะไป” เขามองเบล้ก “เทกาตัสเหมือนแกะหลงฝูงที่เลือกทางเดินของตัวเอง โอกาสอาจยังพอมีสำหรับเด็กสาวคนนั้นและเราทุกคน” เอบรามเดินต่อสองสามก้าวไปที่ริมท่าเรือ มองตามน้ำที่เอ่อท้นไปทางบ้านเรือนแถวสะพานลอนดอน “เจ้ารู้จักคนขายหนังสือที่ชื่อแธดเดียส เบรสเกอร์เดิ้ลมั้ย” เขาถามขณะขยับเข้าไปใกล้ๆ เบล้ก

“ข้ารู้จักคนชื่อนั้นดี หน้าตาประหลาด ดวงตากลมเล็กเป็นประกาย และจมูกรั้นเหมือนหมู”

“แล้วร้านของเขาเป็นที่ที่ยายหนูอเก็ตต้าควรจะไปบ่อยๆ หรือ” เอบรามถามช้าๆ

“หล่อนเป็นเด็กฉลาด ใฝ่รู้ แต่ไม่ใช่คนชอบเข้าร้านหนังสือหรอก” เบล้กตอบอย่างมั่นใจ

“ข้าเคยเจอสาวใช้ของเจ้าที่ร้านนั้น ท่าทีหล่อนเหมือนรู้จักเบรสเกอร์เดิ้ล อย่างกับเป็นเพื่อนกันแน่ะ ในร้านนั่นยังมีใครต่อใครอีกนะ ล้วนแต่เด็กๆ” เอบรามชะงัก มองไปรอบๆ ไม่อยากให้ใครได้ยิน “เด็กๆ ที่ตายแล้ว วิญญาณของแกถูกล่อมากักไว้ในตึกหลังนั้น ข้ารู้สึกเหมือนเดินอยู่บนขอบหุบเหวนรก ไม่เคยรู้สึกถึงอำนาจอำมหิตขนาดนี้มาก่อนเลย เจ้ารู้มั้ยว่าทำไม”

ท่าทางเบล้กแปลกใจและตอบตะกุกตะกัก “ที่นี่เคยเป็นโบสถ์ เป็นโบสถ์เล็กๆ สำหรับนักเดินทางที่มาเมืองนี้ มีตำนานว่า ณ ช่วงหนึ่งของปี เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบผืนน้ำ จะเกิดวังน้ำวนขึ้นใต้สะพาน ใครกระโดดลงไปในน้ำวนนั้นก็จะได้ผ่านเข้าประตูสู่โลกหน้า เมื่อครั้งที่ในเมืองเกิดโรคระบาด คนที่กลัวตายกระโจนจากโบสถ์ลงน้ำไปมาก และไม่มีใครพบศพคนเหล่านั้นอีกเลย ที่ตรงนี้กลายเป็นเหมือนป่าช้า ไม่ใช่ที่ของคนเป็น คนสุดท้ายที่กระโดดลงไปเป็นบาทหลวง ท่านตีระฆังบอกเวลาสวดมนตร์ เสร็จก็ปิดประตูแล้วกระโจนลงน้ำไปเลย ว่ากันว่าแม่น้ำใต้สะพานตรงจุดนั้นจะไม่มีวันเป็นน้ำแข็ง เพราะไฟนรกร้อนแรงและไอลมหายใจมังกรผุดพลุ่งจากบาดาลขึ้นมาอุ่นกระแสน้ำตรงนั้น” เบล้กพยายามปะติดปะต่อ “หลังจากนั้น ที่นั่นก็กลายเป็นร้านหนังสือ และแธดเดียส เบรสเกอร์เดิ้ลก็เป็นเพื่อนกับคนแปลกๆ มากมาย”

“อย่างเลดี้แฟลมเบิร์กใช่มั้ย” เทวดาถาม

“ใครๆ ก็รู้จักเลดี้แฟลมเบิร์กกันทั้งเมือง” เบล้กตอบยิ้มๆ “นางวนเวียนอยู่แถวนี้แหละ”

“และนางก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่เคยแก่ ขณะที่สามีอ้วนขึ้น เหี่ยวย่นและตกกระ แต่นางกลับดูเหมือนเด็กสาวที่เขาพบเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว” เอบรามมองไปทางสะพาน “นางกลัวว่าการเปลี่ยนร่างครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้นครั้งนี้นางจะต้องไม่พลาด ทุกเรื่องเป็นแผนการของนาง ทั้งดาวหาง ชีวิตใหม่และเมืองใหม่ไงล่ะ”

“เห็นสองคนนั้นบอกว่าจะขึ้นเหนือไปบ้านในชนบท จะไปดูดาวหางจากที่นั่น” เบล้กกล่าวโดยหวนคิดถึงสิ่งที่ลอร์ดแฟลมเบิร์กบอก

“เยอร์ซีเนียจะไม่ไปไกลจากที่นี่หรอก นางจัดแจงให้สาวกผู้ภักดีรายล้อมอยู่แล้ว พรุ่งนี้พอพระจันทร์เต็มดวงขึ้นพ้นผิวน้ำ ดาวหางจะพุ่งชนโลกพอดีกับที่การเปลี่ยนร่างก็จะสำเร็จสมบูรณ์”

“แล้วลอนดอนล่ะ” เบล้กถามเสียงแผ่ว

“ก็ถูกทำลายราบ วิญญาณร้ายจะผุดขึ้นจากขุมอเวจีมาทรมานมนุษย์ที่ยังรอดตายน่ะ”

“แล้วยายเด็กนั่นล่ะ”

“วิญญาณหล่อนก็จะถูกขับออกจากร่างไปร่อนเร่ไร้จุดหมายตลอดกาล เฮซรินจะใช้ร่างหล่อนเป็นพาหนะ และร่างเดิมที่ไร้ประโยชน์ของเลดี้แฟลมเบิร์กก็จะกลายเป็นซากศพเน่าเปื่อย ลอร์ดแฟลมเบิร์กจะตื่นขึ้นมาพบว่าภรรยาของตนเหลือเพียงกองหนังและกระดูกเน่าๆ” เทวดาหัวเราะ “แต่ยังมีอะไรอื่นอีกมาก ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนร่าง เจ้าพูดถูก ดาวหางเป็นสัญลักษณ์แห่งโลกใหม่ โลกที่เป็นพิษและมืดมน ตกอยู่ใต้อำนาจเหนือมนุษย์ซึ่งเจ้าทั้งหมดจะต้องตกเป็นทาสรับใช้ นางจะสร้างเมืองใหม่ที่มีแต่ความเสื่อมทรามและหวาดกลัว มังกรจะเป็นทั้งประกาศกและทวารบาลประจำนครของนาง”

“แล้วท่านจะทำยังไง” เบล้กถามเทวดา

“ข้าจะทำยังไงน่ะเหรอ” เทวดาทำท่าขำ “แล้วคาดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ ข้าก็จะนั่งเอนหลังดูมหรสพคราวนี้ให้เพลิน ดูเผ่าพันธุ์มนุษย์สูญสลายไปต่อหน้าต่อตา แล้วเจ้าหวังจะให้ข้าทำอะไรล่ะ เจ้าเก่งนักนี่ทั้งเรื่องเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ เจ้าก็คงมีพลังอำนาจที่จะยับยั้งทุกเรื่องที่กำลังจะเกิดได้แหงๆ”

เบล้กเงียบ พลางมองไปยังอีกฟากหนึ่งของเมือง ฝูงกาดำบินวนเวียนเหนือถนนที่มีศพและซากรถม้าเกลื่อนอยู่

เทวดามองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าเห็นอะไรรึเบล้ก”

“ข้า...ข้าว่าเราหมดหวังแล้วละ แค่มันพาดาวหางมาเยือนอย่างเดียวเมืองนี้ก็ถึงจุดจบ แหลกละเอียดเหมือนหญ้าถูกตัดแล้วปลิวไปตามลม เหมือนว่าเราเป็นแกลบในลานนวดข้าว” เขามองดูความเสียหายรอบๆ “ที่นี่เป็นที่เดียวที่ข้ารู้จัก แต่กลับจะถูกฉกฉวยไป แล้วข้าจะทำอะไรได้”

“เป็นแค่ผงละอองฝุ่นปลิวไปตามสายลมที่แผ่วเบาที่สุด อ่อนแรงและเปราะบางเหมือนหมาแก่รอวันตาย เจ้าเชื่อว่าตัวเป็นเช่นนั้นหรือ”

“ข้าเชื่อว่าพระผู้ทรงพลังที่ส่งเจ้ามาทอดทิ้งเราแล้ว องค์เทพผู้อ่อนแรงทิ้งเราไว้ในอำนาจไอ้เทวดาตกสวรรค์น่ะสิ” เบล้กตะคอกเอบราม

“ไม่เห็นรึไงว่าเรื่องมันเกิดเพราะเจ้าไม่ยอมรับพระผู้ที่ไถ่บาปให้แก่เจ้า” เทวดาตะคอกให้บ้างพลางเตะถังปลาเค็มที่ตั้งซ้อนกันอยู่ตรงท่าเรือ “ใครๆ ก็ชอบทำตามสิ่งที่คิดว่าถูกโดยสัญชาตญาณ เจ้าเสาะหาพลังอำนาจและความมั่งคั่งให้ตัวเจ้าเอง ปล่อยให้วิญญาณหิวโหยเพราะมัวแต่เชื่อปรัชญาเพ้อฝัน แต่ไม่มีใครสักคนที่สำนึกถึงความจริงข้อนี้ ไม่เชื่ออะไรเลยยังจะดีซะกว่าเชื่อทุกอย่างที่เขาประเคนให้และบอกว่านั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าจะต้องเชื่อ”

“แต่อะไร...” เบล้กพยายามพูดแทรก

“ข้าละเอียนเจ้าจริงๆ พอเกิดภัยพิบัติ เจ้าก็ได้แต่ชูมือร่อนตะโกนขึ้นฟ้าขอความช่วยเหลือ เจ้าหวังว่าจะได้รับอภัยในทุกเรื่อง และคุณงามความดีก็จะรี่เข้ามาหาเหมือนข้ารับใช้เชื่องๆ ที่เจ้าล่ามตรวนไว้ รีบเข้ามาโค้งคำนับพลางลูบเคราขาวด้วยดีใจที่เจ้ายังจำเขาได้ เฮอะ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”

เอบรามแผดเสียงตะโกนลั่นก้องไปทั่วถนนอันว่างเปล่า สะเทือนแผ่นกระจกหน้าต่างที่แตกกระจายจนสั่นรัว เสียงนั้นครั่นครืนเหมือนฟ้าไหวครั้งแรก เบล้กรู้สึกว่าลมหายใจร้อนๆ ของเทวดาเป่ามากระทบผิว แล้วก็พลันผงะเพราะเปลวไฟพุ่งจากปากเทวดา ส่งควันสีส้มจัดจ้าเข้าห่อห้อมตัวเขา “สิ่งที่เจ้ามุ่งหวังจะได้มาด้วยกำลังของตัวเองนั้นเราเห็นว่าก็เป็นแค่ผ้าขี้ริ้วสกปรก มนุษยชาติไม่มีคุณความดีในตัวเองเลย มีแต่พวกเชื่อผิดๆ ไร้ศรัทธา เหมือนบอดจูงบอด จมูกทิ่มดินจมลึกเสียจนมองเห็นได้เพียงโลกนี้เท่านั้น ถึงได้แต่กลัวจนตัวสั่นงันงกเมื่อรู้ว่าจะถูกแย่งเอาไป แหกตาดูสิ ไอ้จ๋อแห่งอีเดน จะได้เห็นว่าอะไรกันแน่ที่กำลังจะเกิดขึ้น” ทันใดเทวดาก็ง้างเท้าเตะเบล้กป้าบเข้าที่หลังอย่างแรงจนตัวลอย ฝ่ายเทวดาหอบแฮ่ก ควันพวยพุ่งออกจากรูจมูก

เบล้กนั่งแผละอยู่กับพื้น งุนงงด้วยภาพเจิดจ้าที่ปรากฏแก่สายตา ตาพร่าราวกับจ้องตะวันจ้าอยู่ “เราทำได้แต่เท่าที่เรารู้เท่านั้น” เขาพูดหงอยๆ เหมือนเด็กโดนดุ

“เจ้าทำตามที่ความละโมบบงการและหวังให้อมตเทพคอยตามล้างตามเช็ด” เอบรามกล่าวพลางฉุดตัวเบล้กขึ้น “เปลี่ยนใจแล้วสิ ใช่มั้ย อยากให้ข้าทิ้งให้เจ้าไปต่อสู้ตามลำพังใช่มั้ย ก็ไปสิเบล้ก ถ้าคิดว่าจะหานางพบและห้ามนางได้ก็เอาเลย บอนนั่มเพื่อนเจ้าคงช่วยเจ้าหรอกถ้าเขาไม่เอาแต่ซุกอกนางเหมือนชายคนอื่นๆ”

เสียงฝูงหมาเห่าดังใกล้เข้ามา ทั้งเสียงผู้คนที่กลัวเกินกว่าจะหนีออกจากเมืองหวีดร้องอยู่บนถนนกรับ

“ไปกันได้แล้ว” เทวดาพูดพลางมองท้องฟ้า “ไม่งั้นเจ้าก็จะเป็นแค่เนื้อให้หมากิน”


ขณะทั้งสองหันกลับจะออกเดิน ชายสองสามคนวิ่งมาทางท่าเรือ มีหมาฝูงใหญ่ซึ่งตื่นเต้นด้วยเสียงตะโกนไล่กวดตามหลังมาไกลๆ เสียงเห่าหอนของหมาร้ายซึ่งวิ่งเร็วขึ้นๆ กลบเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของชายกลุ่มนั้น ชายอ้วนใหญ่คนหนึ่งสวมชุดคลุมเปื้อนเลือดวิ่งหนีต่อไปไม่ไหว จึงกระโจนจากตลิ่งลงแม่น้ำ แล้วก็ถูกโคลนดูดลงไปใต้น้ำขุ่นคลั่กแตกเป็นฟอง เห็นหัวล้านผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ระหว่างซากเรือก่อนจะจมวับหายไปในที่สุด

เบล้กยกไม้เท้าขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม เขารู้สึกสับสนจนวิ่งไม่ออก ซ้ำความหวังที่จะยุติฝันร้ายลงตรงนี้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำในเมืองที่ตนรักก็จูงใจเขามากขึ้นทุกวินาที

“เอ้า จะสู้กับหมาเหรอ” เทวดาถามพลางควานมือลงในกระเป๋าเสื้อคลุม

“ในบ้านเมืองนี้เราถือว่าต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไป” เบล้กตอบอย่างไม่หวาดหวั่น กวัดแกว่งดาบพลางทำเสียงฮึดฮัดเหมือนหมีแก่เตรียมลงสังเวียน

“ข้าร่วมสนุกด้วยสิ แต่ยกโทษให้ด้วยนะถ้าข้าต้องหายตัวไปก่อนจบเรื่อง ข้าไม่ชอบเล่นกับหมาทั้งฝูงสักเท่าไร”

“ถ้าข้าต้องตายที่นี่ ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่า” เบล้กตะโกนพลางตวัดดาบ

“ถ้างั้น บางทีข้าควรจะอยู่รอเก็บวิญญาณเจ้าไปที่ที่เจ้าควรจะไป” เทวดาพูดยิ้มๆ

กลุ่มคนวิ่งเร็วขึ้นเมื่อฝูงหมาจะไล่ทัน คนที่วิ่งล้าหลังอยู่ไกลๆ เป็นผู้พิพากษาที่ยังสวมวิกและครุยสีแดง เบล้กจ้องมองเห็นเขาวิ่งขาขวิด เท้าลีบๆ สวมรองเท้าหนังเก่าๆ หลวมโพรกเพรก เหมือนกับว่าเขาลนลานคว้าได้รองเท้าของเพชฌฆาตมาสวม

หมาล่าเนื้อโจนเข้าชนหลังผู้พิพากษาเต็มแรงจนเขาล้มลง มันทึ้งวิกผมยาวออกจากหัวเขาแล้วสะบัดไปมาเหมือนจับได้กระต่าย จากนั้นจึงเอาอุ้งตีนข้างหนึ่งเหยียบวิกผมไว้กับพื้นแล้วขย้ำผมปลอมนั้น ผู้พิพากษาถือโอกาสลุกขึ้น สลัดบู๊ตหลวมออก แล้ววิ่งเท้าเปล่ามาหาเบล้กและเทวดา กลุ่มคนที่นำหน้าผู้พิพากษามานั้นแตกกระเจิงเหมือนหนูตื่น วิ่งหายเข้าไปในบ้านเรือนซึ่งตั้งหันหลังให้ถนนกรับสตรีท ปิดประตูโครมลงกลอนกันฝูงสัตว์ร้ายที่ไล่ตามมาแล้วขึ้นไปมองลงมาจากอาคาร ไม่นึกอยากช่วยชายผู้เคยเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้ตนเลย

“เฮ้ย หนีไปก่อนเร็ว” เบล้กตะโกน วิ่งถลันเข้าไปหาผู้พิพากษาพลางกวัดแกว่งดาบ เอบรามทอดน่องตามมา ทำท่าชื่นชมสถาปัตยกรรมบ้านเรือนหลังงามๆ ที่หันสู่แม่น้ำ

ผู้พิพากษาวิ่งช้าๆ ไปหาเบล้กด้วยความเจ็บปวด โหย่งเท้าเพราะถูกเศษแก้วทิ่ม หมาใหญ่กว่าอีกตัวหนึ่งได้กลิ่นเลือดจึงวิ่งไล่กวดแล้วโดดตะครุบ ตะปบเพียงครั้งเดียวผู้พิพากษาก็ล้มลงกับพื้น มันงับหัวเขาไว้แน่นแล้วตั้งท่าจะฉีกเนื้อ

เบล้กฟาดหัวเจ้าหมาร้ายเข้าเปรี้ยงใหญ่ มันล้มลงตายสนิท ผู้พิพากษาลุกขึ้นอีกครั้ง หอบแฮ่กๆ น้ำตาอาบแก้ม พูดอึกๆ อักๆ เหมือนมีหินร้อนๆ ติดคอ เบล้กยืนถือดาบรอให้ฝูงหมาดาหน้าเข้ามา พลางตะโกนท้าทายสุดเสียงจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เอบรามรีบล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ หยิบวัตถุกลมๆ เล็กๆ ออกมา เขาเล็งแล้วปาลูกแก้วเลื่อมลายเข้าใส่หมาทั้งฝูงที่รี่เข้ามา

แสงจัดจ้าวาบขึ้นจนตาแทบบอดเมื่อเบล้กเสียหลัก ถูกลมหอบลอยขึ้นจากพื้นแล้วตีลังกาหลายตลบลงไปทางแม่น้ำ หล่นเผละลงบนกองถังไม้ เสียงระเบิดคำรนราวฟ้าผ่าเหมือนจะอัดปอดเบล้กจนแฟบแล้วร่างก็กระเด็นกระดอนกลับเข้ามาใหม่

ทุกอย่างเงียบงัน เบล้กยืนขึ้นงงๆ ได้ยินแต่เสียงดังวิ้งๆ อยู่ในหู เขามองไปรอบๆ เห็นหมานอนตายเกลื่อน ร่างแหลกกระจายด้วยแรงระเบิด เอบราม ริกเคิร์ดสนั่งอยู่บนกำแพงเตี้ยๆ ยิ้มแย้มพลางปัดฝุ่นขาวๆ ออกจากไหล่เสื้อคลุมยาวสีดำ เบล้กค่อยๆ หายหูอื้อกลับได้ยินอีกหน เสียงระเบิดสะท้อนจากอาคารหนึ่งไปสู่อีกอาคารหนึ่ง ข้ามท้องทุ่งย่านเซ้าธเวิร์ด ไปสู่โรงฟอกหนังซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ

“ข้าอดไม่ได้เลยต้องขอเอี่ยวด้วยสักหน่อย ข้าว่าลูกแก้วอะบาริสนี่เล่นสนุกดีนา มีประโยชน์มากและไม่มีอะไรต้านทานอานุภาพมันได้...” เอบรามหัวเราะ “บอกข้าซิ ลูกแก้วนี้นับเป็นวิทยาศาสตร์ เวทมนตร์ หรือศาสตร์อื่นที่เหนือกว่ากันแน่” เทวดาลุกขึ้นยืน “เอาละ ทีนี้ไปตามหาเน็มโมเร็นซิสกันได้หรือยัง”


บทแปลนี้มิใช่เวอร์ชั่นก่อนพิมพ์เล่ม
จึงยังมีความลักลั่นเรื่องชื่อสถานที่อยู่บ้าง
ขออภัยด้วยค่ะ

(ติดตาม
บทที่ 24 – เผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ &
บทที่ 25 - เทพธิดามายาวี

วันที่ 23 สิงหาคม ค่ะ)
#ไปต่อไม่รอแล้วค่ะ

LITERATURE
 ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 20 สิงหาคม 2562
Last Update : 20 สิงหาคม 2562 13:42:59 น. 29 comments
Counter : 1177 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณกะว่าก๋า, คุณตะลีกีปัส, คุณอุ้มสี, คุณmcayenne94, คุณเริงฤดีนะ, คุณวลีลักษณา, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณSai Eeuu, คุณหอมกร, คุณkae+aoe, คุณmambymam, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณเรียวรุ้ง, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณJinnyTent, คุณThe Kop Civil, คุณFreakGirL


 
สวัสดีค่ะพี่ภา มาส่งกำลังใจให้ค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:11:34:30 น.  

 
นิยายแฟนตาซีน่าสนุกครับพี่ภา
ผมเองก็ยังไม่เคยลองเขียนแนวนี้เลย
ผมว่ามันเปิดช่องให้เราใส่จินตนาการเข้าไปได้เต็มที่เลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลึกลับ ไสยศาสตร์ เทพ ฯลฯ

คนเขียนเรื่องนี้น่าจะชอบเรื่องเทพ แม่มด
และเรื่องราวลึกลับไม่น้อยเลยนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:12:03:13 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะพี่ภาขา

อเก็ตต้าเป็นร่างแทนที่เฮซรินต้องการนี่เอง
นางฟ้าที่ร้ายกาจจะจัดการเปลี่ยนร่างได้หรือไม่
น่าสนใจ
ใครจะช่วยอเก็ตต้าได้เล่า....ตามต่อค่ะ


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:12:10:49 น.  

 
วันนี้แอบไปโหวตบล็อกอาหารมาค่ะพี่ภา



โดย: หอมกร วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:12:18:51 น.  

 
ขอบคุณนะครับพี่ภา
ผมโชคดีมากครับ
มีเพื่อนๆพี่ๆ
ช่วยกันตรวจทานคำผิดให้ด้วย
บางคำผมก็ใช้จนชิน
ไม่รู้ผิดรู้ถูก

เมื่อวานคุณเต้ยก็สะกิดเตือนคำว่า "ตาแดงก่ำ"
ผมสะกดเป็น แดงกล่ำ ครับ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:13:42:21 น.  

 
เคยเห็นแต่ในรูปครับพี่ 555
หลายคำผมสะกดตามความเคยชินครับ
พอเช็คดูอีกที อ้าว --- พิมพ์ผิด 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:14:24:25 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
tuk-tuk@korat Travel Blog ดู Blog
JinnyTent Book Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
ตะลีกีปัส Pet Blog ดู Blog
The Kop Civil Movie Blog ดู Blog
หอมกร Movie Blog ดู Blog
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog

ตามมาอ่านและมาโหวตให้พี่ภาค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:15:53:44 น.  

 
พระเอก มีตัวช่วยตลอด
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ


โดย: mcayenne94 วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:19:08:51 น.  

 
ฝนตกมากค่ะ
เพิ่งถึงบ้าน
มาจองที่ จองมุมอ่านนิยายไว้ก่อน


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:19:38:56 น.  

 
สนุกมากเลยค่ะ รอๆ ตอนต่อไปค่ะ


โดย: วลีลักษณา วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:19:50:02 น.  

 
แปะกำลังใจไว้ก่อนครับ พี่ภา


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:22:05:32 น.  

 
ขอบคุณพี่ภาสำหรับดาวพิษสองบทนี้นะคะ
พี่ภานอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 20 สิงหาคม 2562 เวลา:23:36:01 น.  

 
มาให้กำลังใจพี่ภาค่ะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:3:13:42 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่ภา



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:6:37:03 น.  

 
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog
วันนี้แวะมาโหวตให้พี่ภาตามบัญชาแล้วค่ะ



โดย: หอมกร วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:7:29:18 น.  

 
พุธสวัสดีครับ พี่ภา
ฝนตกหนักไหมครับ
อุทัย ฝนตกหนักหลังเลิกงานทั้งสองวัน



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:8:09:50 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับพี่ภา

สิ่งหนึ่งที่หนังจีนหรือนิยายจีนเขียนไว้เสมอ
ก็คือ ในดำมีขาว ในขาวมีดำ
คนดีคนร้ายจึงสลับไปสลับมาอยู่เสมอ
ผมก็เลยเขียนในแนวนี้ด้วยครับ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:10:41:18 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ภา มาทักทายวันละนิดหน่อย ช่วงนี้งานยุ่งเลยค่ะ


โดย: kae+aoe วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:13:00:30 น.  

 
มาโหวตให้กำลังใจนะคะพี่ภา

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เริงฤดีนะ Sports Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
ตะลีกีปัส Food Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Travel Blog ดู Blog
ภาวิดา คนบ้านป่า Literature Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:14:19:22 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะพี่ภาขา

ส่งอีกค่ะ ทำกินเองอยู่แล้วทุกวัน
เสียเวลาตรงถ่ายภาพหน่อย
ต้องเผื่อเวลาทำก่อนเที่ยงแยะๆ
จะได้ไม่หิวจัด คนคอยจะพาลอารมณ์เสียค่ะ
ขอบคุณอิแปะ..ค่ามาดมผ้ดพริกขิงด้วยค่ะ..กิกิ


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:14:55:26 น.  

 
วันนี้เข้าบล็อกแกงค์เจอนิยายจีนของคุณก๋า
แวะมานี้เจอนิยายแปลอีก

ช่วงนี้เหมือนจะสนุกกับการแปลหนังสือกันแฮะ

แปลข่าวกับเขาบ้างดีกว่ามั้งเรา
(นิยายยาวไป ไม่อยากสู้ค่ะ)


โดย: เพรางาย วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:16:56:31 น.  

 
สวัสดี ยามค่ำ ค่ะ พี่ ภา

อ่านจบแล้ว ค่ะ พี่ภา ตอนที่ 22 บรรยายถึง
การหลบหนีของอเก็ตตร้าและเทวดา ในที่สุดก็หนี
ออกมาได้ ลุ้นสำเร็จค่ะ

ตอนที่ 23 ชอบความกล้าหาญของเบล้กนะ ที่
พยายามช่วยผู้คนที่หนีฝูงสุนัข

รออ่านตอน ต่อไป ค่ะ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:18:35:40 น.  

 
หลับฝันดีนะคะพี่ภา..ถ้าฝันถึงแกง..


โดย: สันตะวาใบข้าว วันที่: 21 สิงหาคม 2562 เวลา:22:02:22 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับพี่ภา



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 สิงหาคม 2562 เวลา:6:23:57 น.  

 
สวัสดีอกีรอบค่าพี่ภา

ที่ไปกินไกลนี่เป็นทริปไปเชียงใหม่กับครอบครัวค่าา ตั้งแต่ก่อนปีใหม่โน้นนนน ทยอยๆ ลงค่ะ แหะๆ

เชียงใหม่นี่เป็นจังหวัดที่หนูไปบ่อยสุดแล้วค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 22 สิงหาคม 2562 เวลา:9:49:09 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ


โดย: kae+aoe วันที่: 22 สิงหาคม 2562 เวลา:13:26:42 น.  

 
แฝดสี่หนอนก็ยังไม่เคยค่ะ อิอิ
ก็อยากจะลองดูบ้างนิดหนึ่ง 555+
ขอบคุณที่แวะไปหานะคะ น้องพยามดึงความเครียดตัวเองอยู่ ลดแบบสนุกๆ ดีกว่าเยอะเนอะ


โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 22 สิงหาคม 2562 เวลา:13:40:21 น.  

 
สวัสดี ค่ะ พี่ภา

ขอบคุณค่ะ พี่ภา ที่ตามไปเม้นท์ที่บล็อกของหนู ใช่ค่ะ ลูกศิษย์รุ่นนี้ หนูสอนตอนเขาอยู่
ม.ศ. 1 ตอนปี 2520 ค่ะ ตอนนี้ ปีนี้ รุ่นนี้ ก็เลข 5
แล้ว ค่ะ อิอิ

รออ่าน ดาวพิษ ตอนต่อไป นะคะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 22 สิงหาคม 2562 เวลา:14:40:26 น.  

 
ตอน 23
อเก๊ตต้า และเทวดาก็หนีรอด
ออกมาได้แล้ว (ก็นางเอกนี่นา)
มนต์จากการอยู่กับคัมภีร์นั่นเองที่ทำให้อเก็ตต้าเกลียดเทกาตัส
พอห่างไปความสัมพันธ์และมิตรภาพดีๆกลับคืนมา
ลุ้นๆสนุกและhappyที่ทั้งคู่เข้ามาที่ร้านหนังสือได้
ช่วงวิ่งหนีตายมาด้วยกันนี่ประดุจซีนพระ-นางเลย

ตอน 24
นี่คลายปมจริงๆ
อเก็ตต้า เป็นเด็กสาวที่ "เฮฃริน" นางฟ้าลืมตน
ต้องการใช้เปลี่ยนร่าง
ในวันที่ดาวหางพุ่งชน เพื่อครองทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์

และสุดท้าย (หรือยังไม่ท้ายสุด)
เบล็กกับเอบราม
เทวดาประจำตระกูล นี่กลับมาเป็นฝ่ายธรรมะ?



ขำกับตลกร้าย อขงเอบราม
กว่าจะใช้ลูกแก้วอะบาริส ช่วงเบล็กและผู้พิพากษา







วันนี้อ้อแวะมาเก็บ entryนี้
ก่อนตามไปอ่านอีก 2 entry ข้างหน้า


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 25 สิงหาคม 2562 เวลา:11:53:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ภาวิดา คนบ้านป่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 140 คน [?]




BG Pop.Award #17
BG Pop.Award #16
BG Pop.Award #15
BG Pop.Award #14
BG Pop.Award #13
BG Pop.Award #12
BG Pop.Award #11
BG Pop.Award #10
BG Pop.Award #9
BG Pop.Award #8
BG Pop.Award #7
BG Pop.Award #6
*****
*****
Friends' blogs
[Add ภาวิดา คนบ้านป่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.