Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2562
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
14 กรกฏาคม 2562
 
All Blogs
 
นิยายแปลเรื่องดาวพิษ บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า

LITERATURE
นิยายแปลเรื่องดาวพิษ
บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า
แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า
*********************************************************

ความเดิม:
บทที่ 1 ดาวพิษเวิร์มวู้ด
บทที่ 2 เหตุป่วนสมอง
บทที่ 3 หมอยา
บทที่ 4 ซอยอินนิโก้
บทที่ 5 ปีกเทวดาตกสวรรค์
บทที่ 6 คัมภีร์อาถรรพณ์
บทที่ 7 ร้านบิ๊บเบิ้ลวิคบนสพานลอนดอน
บทที่ 8 ต้องตายก่อนจึงจะได้เป็นอิสระ
บทที่ 9 ตายซ้ำเจ็ดครา
บทที่ 10 ประสานพลังศาสนเวทย์
บทที่ 11 เมืองต้องมนตร์
บทที่ 12 กำเนิดปีศาจร้าย

ใครคือผู้ที่มีอิทธิพลครอบงำอเก็ตต้า และ หุ่นดินเซคาริส ท่านที่อ่านมาตั้งแต่ต้นจะสามารถเดาได้ บทนี้น่าจะอ่านกันจนเหนื่อยนะคะ เพราะกว่าจะแปลจบ จขบ.ก็เหนื่อยหลายรอบเลยค่ะ แต่ก็จะตื่นเต้นไปจนจบนะคะ
 
 




บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า

ประตูห้องดูดาวมีลูกบิดทองเหลืองกลมใหญ่และที่ผลักประตูเป็นทองเหลืองขัดมันสะท้อนแสงเทียนเป็นประกายราวกับทอง บนผิวแผ่นทองเหลืองนั้นมีรอยขีดข่วนใหม่ๆ เป็นร่องลึก เศษโลหะดังกล่าวยังร่วงเกลื่อนพื้น อเก็ตต้าผลักประตูซึ่งดีดเปิดอย่างรวดเร็ว เจ้าหล่อนเห็นกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ชี้ขึ้นฟ้าตรงบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ภายในห้อง

ประตูตู้บานใหญ่ที่ผนังด้านในสุดนั้นแง้มอยู่เหมือนมีคนเปิดทิ้งไว้เพราะรีบร้อนไปที่อื่น บานประตูยังแกว่งไปมา เจ้าหล่อนไม่เคยเห็นสภาพในห้องมาก่อน เบล้กซ่อนข้าวของในตู้นี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ นี่คือห้องเวทมนตร์ของเขาซึ่งไม่ใช่ที่สำหรับคนที่สนใจแต่เรื่องปกติวิสัย ด้วยความที่อเก็ตต้าคิดถึงแต่เน็มโมเร็นซิสกับแธดเดียสซึ่งคงจะดีใจถ้าได้คัมภีร์คืน เจ้าหล่อนจึงเปิดประตูตู้ให้กว้างขึ้นและมองเข้าไป ภายในมีชั้นวางของเพียงชั้นเดียวและมีคัมภีร์นั้นวางอยู่แต่เล่มเดียว เด็กสาวลูบปกเก่าๆ ของคัมภีร์และคลำสัญลักษณ์แปลกๆ ที่สลักอยู่บนปก ก่อนจะค่อยๆ ประคองคัมภีร์จากชั้นขึ้นมากอดไว้แนบอก แน่นเสียราวกับอยากดูดกลืนเข้าไปในตัว ฝุ่นขาวๆ ร่วงไล่ตามกันลงมาจากคัมภีร์แต่ละแผ่นแต่ละบทราวกับหมอก ฝุ่นฟุ้งอยู่รอบกายอเก็ตต้าเหมือนหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ขณะเจ้าหล่อนเดินกลับไปที่ประตู

ตอนนั้นเองที่หล่อนแว่วเสียงหายใจเบาๆ ดังมาจากหลังม่าน อเก็ตต้าหยุดเดิน ไม่แน่ใจว่าได้ยินเสียงอะไร เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นเมื่อผ้าม่านเสียดสีกัน และแสงจากเทียนที่มีเพียงเล่มเดียวก็ส่องให้เกิดเงาทอดยาวไปบนพื้นไม้ เจ้าหล่อนกระชับกอดเน็มโมเร็นซิสและยืนนิ่งขึงอยู่ตรงนั้น จากตรงที่เสียงหายใจดังมามีมือพังผืดผอมยาวค่อยๆ แหวกม่านออกพ้นหน้าต่าง

แสงจันทร์ส่องเข้ามาทั่วห้อง อเก็ตต้าไม่กล้าขยับเมื่อเห็นหน้าเซคาริส ตาสีทองของสัตว์ประหลาดจ้องเจ้าหล่อนอย่างประสงค์ร้ายคล้ายแสงตะเกียงวาวๆ

“คัมภีร์ของข้า…” มันพูดเบาๆ พลางยื่นมือยาวเป็นพังผืดมาทางเจ้าหล่อน

ความคิดของอเก็ตต้าแล่นปราด เจ้าหล่อนจะทำให้แธดเดียสผิดหวังไม่ได้ “นี่มันคัมภีร์เน็มโมเร็นซิสนะ มันเป็นของแธดเดียส เบรสเกอร์เดิ้ลต่างหาก” เจ้าหล่อนตอบอย่างท้าทาย แล้วพยายามรวบรวมพละกำลังข่มความกลัวค่อยๆ ขยับถอยหลังช้าๆ กลับไปที่ประตู

เซคาริสเดินลากเท้าหนักอึ้งไปบนพื้นไม้เก้ๆ กังๆ ตรงเข้าหาเจ้าหล่อน ตาเป็นประกายวาว อเก็ตต้าหมุนตัวออกวิ่งเร็วจี๋ แขนข้างหนึ่งกอดเน็มโมเร็นซิสไว้แน่น อีกข้างเหวี่ยงประตูห้องดูดาวปิดตามหลัง ขณะหยุดอยู่นอกประตู สายตาก็สอดส่ายหาวิธีกันไม่ให้เจ้าสัตว์ร้ายตามออกมาได้ เมื่อเห็นลูกกุญแจสอดคาอยู่ จึงรีบบิดกุญแจปิดประตูอย่างแน่นหนา ก่อนเซเข้าพิงผนังทางเดินยาว พลางหายใจเข้าลึกๆ เส้นประสาทและกล้ามเนื้อทุกส่วนร้อนผ่าวเพราะความกลัวยังพล่านไปทั่วร่าง

“อเก็ตต้ารึนั่น” เสียงเบล้กตะโกนถามขึ้นมาจากโถงทางเดินชั้นล่างสุด “เกิดอะไรขึ้นล่ะ เกือบเที่ยงคืนแล้วนะ”

“ไม่มีอะไรค่ะ คุณหมอเบล้ก ลมพัดประตูกระแทกดังไปหน่อยเท่านั้นเอง” อเก็ตต้าตะโกนตอบ รู้ว่านี่เป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะขโมยคัมภีร์ออกไปได้ คำแก้ตัวจึงหลุดจากปากได้ง่ายดายราวน้ำผึ้ง เจ้าหล่อนเงี่ยหูฟังอยู่ในความมืด เมื่อไม่มีเสียงตอบ ไม่มีเสียงฝีเท้าจากโถงทางเดิน จึงหันกลับไปดูลูกบิดประตูซึ่งเริ่มขยับอย่างช้าๆ เพราะเจ้าสัตว์ร้ายพยายามเปิดประตูด้วยมือไม้ที่เงอะงะ อเก็ตต้าตั้งท่าจะขยับถอยห่างจากประตู

แต่พอจะหันกลับก็ได้ยินเสียงไม้หักเปรียะดังหูแทบแตก แล้วแขนยาวกำยำของเซคาริสก็พุ่งทะลุรอยแตกที่ประตูราวกับลูกปืนระเบิดจากปากกระบอกมาล็อคคอเจ้าหล่อนไว้ แล้วกระชากเข้ามาชิดช่องโหว่ขนาดเท่ากำปั้นนั้น มือของมันพยายามดึงเจ้าหล่อนเข้าไป ครั้นเข้าไม่ได้ก็ผลักออกแล้วดึงกลับมาใหม่ กระแทกเจ้าหล่อนเข้ากับประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นตุ๊กตาผ้าก็ไม่ปาน

เศษไม้แหลมหนาทิ่มตำใบหน้าอเก็ตต้าขณะที่เซคาริสผลักและอัดเจ้าหล่อนเข้ากับประตู แต่อเก็ตต้ายิ่งกอดเน็มโมเร็นซิสแน่นขึ้น ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ใครแย่งไปเด็ดขาด เจ้าหล่อนเตะประตูแล้วใช้คัมภีร์ฟาดมือของเจ้าสัตว์ประหลาดจนสุดแรงเกิด หวังเหลือเกินว่า มือที่บีบคอแน่นนั้นจะคลาย

“ให้ตายเหอะแม่คุณ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เบล้กตะโกนจากชั้นล่างขณะที่เดินขึ้นบันไดมากับบอนนั่ม

อเก็ตต้ารู้สึกขาอ่อนปวกเปียกลงทุกทีและตาก็ถลนเหมือนใกล้จะหลุดออกจากเบ้า มือเจ้าสัตว์ร้ายบีบคอแน่นเหมือนจะเค้นเอาลมหายใจจนเฮือกสุดท้าย เจ้าหล่อนเริ่มรู้สึกว่าตาพร่าเลือน เห็นหมอกสีแดงจางๆ ร่างทรุดฮวบไถลลงหน้าประตู เจ้าหล่อนรวบรวมกำลังเท่าที่เหลือฟาดคัมภีร์ที่แขนซึ่งรัดคอแน่นนั้นสุดแรง

เจ้าสัตว์ประหลาดคลายแขนออกชั่วขณะ อเก็ตต้าจึงฉวยโอกาสผละออกได้ แต่เข่าก็ทรุดลง เซคาริสยื่นมือสะเปะสะปะควานหาเจ้าหล่อนอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหล่อนคลานหนีไปบนพรม มือข้างหนึ่งยังกอดคัมภีร์ไว้แน่น ขณะเดียวกันเจ้าสัตว์ร้ายก็พยายามกระแทกให้ประตูหลุดออกจากบานพับ

“นี่ หล่อนทำบ้าอะไรอยู่น่ะ” เบล้กตะโกน เสียงใกล้เข้ามา

อเก็ตต้าลุกขึ้นยืนขณะที่เซคาริสพังไม้บานประตูจนเศษไม้โอ๊กกระเด็นไปทั่วระเบียง เจ้าหล่อนวิ่งหอบหายใจไปทางที่เห็นแสงไฟและได้ยินเสียงตะโกนแสบแก้วหูของเบล้ก อีกแค่สองก้าวจะถึงประตูริมบันไดลงไปห้องซักล้าง บันไดนั้นวนผ่านทั้งสามชั้นตรงไปยังห้องครัวและประตูเข้าออกสำหรับคนรับใช้ เจ้าหล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ของเบล้กกับบอนนั่มดังกระทบพื้นไม้และพรมที่ชานพักบันไดชั้นล่าง หันกลับไปก็เห็นเซคาริสเกือบจะพังประตูได้อยู่แล้ว เหลือแต่ไม้แผ่นสุดท้ายห้อยร่องแร่งติดอยู่กับวงกบ หล่อนโจนพรวดสุดท้ายเข้าคว้ามือจับประตูทางออกลงบันไดวน ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย กลิ่นกะหล่ำปลีต้มลอยฟุ้งขึ้นมาถึงข้างบน เจ้าหล่อนถลาออกไปยืนบนบันไดหินแคบๆ ขั้นบนสุดแล้วรีบปิดประตู แต่แง้มไว้พอมองเห็นทางเดินได้

จากที่ยืน อเก็ตต้ามองเห็นทั้งบันไดทางขึ้นและประตู เห็นเซคาริสกระแทกแผ่นไม้พร้อมๆ กับพยายามมุดผ่านช่องโหว่ออกมา มันม้วนคะมำลงบนพรมอย่างไม่เป็นท่า แล้วกลิ้งหลุนๆ ไปชนโต๊ะกระแทกเทียนหล่นลงพื้น

เบล้กจ้ำอ้าวนำหน้าบอนนั่มขึ้นมาจึงเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นก่อน “ไอแซค” เขาร้องเสียงหลง ขณะที่บอนนั่มตะกายขึ้นบันไดสองสามขั้นสุดท้ายตามมาแล้วหยุดพักหายใจ “เอาปืนมา”

บอนนั่มเงอะงะคลำหาปืนพกกระบอกจิ๋วในกระเป๋า เซคาริสยืนขึ้นแล้วหันไปมองชายทั้งสอง พอเห็นเบล้กเข้ามันก็ตัวสั่น ก้มลงมองที่นิ้วมือของตัวเอง มันแตะนิ้วที่ริมฝีปากบางซึ่งซ่อนอยู่ใต้ใบไม้สดที่ปกคลุมใบหน้าอยู่ แล้วค่อยๆ เลียนิ้วทีละนิ้ว

“แกนั่นเอง…” เจ้าสัตว์ประหลาดพูดพลางเดินเข้าหาชายทั้งคู่ “ถ้าร่วมมือก็จะดีกับตัวแกเอง ข้าสัญญาว่าจะฆ่าแกให้เร็วที่สุด แต่ถ้าขัดขืนก็คงแค่เสียเวลาอีกนิดหน่อย”

บอนนั่มควักปืนออกจากกระเป๋า เล็งไปที่เจ้าสัตว์ประหลาดขณะที่เบล้กถอยออกมา “ขืนขยับอีกก้าวเดียว ข้าเป่าหัวแกแน่” บอนนั่มขู่ เล็งปืนพกกระบอกเล็กไปข้างหน้า

“ไม่ต้องไปพูดกับมัน” เบล้กตะโกนอย่างเหลืออด “ยิงเลย”

“ข้าไม่อยากได้เจ้าสักหน่อย” เซคาริสตอบพลางค่อยๆ เดินเข้าหา “ข้าจะเอาไอ้เจ้านั่นต่างหาก” มันชี้ไปที่เบล้ก

บอนนั่มลังเลและหันไปมองเบล้ก “ยิงเสียทีซิโว้ย” เบล้กตะโกนซ้ำ กระถดถอยอย่างหวาดๆ “มันจะฆ่าข้า”

บอนนั่มง้างนกสับ ยกแขนขึ้นแล้วยิง เสียงปืนดังก้องทางเดินแคบๆ ขณะที่กระสุนและดินปืนระเบิดเป็นเปลวไฟสีแดงพุ่งจากปืนพกไปต้องเซคาริสจนหงายหลังล้มลงกองกับพื้น แน่นิ่งไป ผิวหนังที่ดูชุ่มชื่นมีชีวิตเปลี่ยนเป็นดินเผาสีขาว

“มันตายหรือยัง” บอนนั่มถาม หยิบกระสุนจากกระเป๋าคาดเอวใบโก้มาบรรจุเพิ่ม

เบล้กชะโงกออกมาจากที่หลบหลังบอนนั่มอยู่ “ดูมันก็ไม่ขยับและไม่เห็นทำเสียงอะไร รอก่อนนะ ข้าจะไปเอาดาบมา” เขาบอกแล้ววิ่งลงบันไดไปห้องชั้นล่าง

อเก็ตต้าหลบแว่บลงบันไดเวียนไปเงียบๆ เดินไปตามทางที่มืดสนิทอย่างคุ้นชินเพราะเคยเดินขึ้นลงมาเป็นพันเที่ยวแล้ว

บอนนั่มยืนเฝ้า จ่อปืนไปที่เจ้าเซคาริสซึ่งนอนแผ่จนเกือบเต็มทางเดินแคบๆ นั้น เบล้กรีบ กลับมา ถือดาบสั้นมีโกร่งแบบดาบชาวเรือซึ่งรับมรดกมาจากพ่อ “ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ข้าต้องใช้ดาบนี่” เขาพูดอย่างกระเหี้ยนกระหือรือขณะที่เดินเข้าไปใกล้เซคาริส “ไอ้เจ้านี่ดูประหลาดกว่าตัวอะไรๆ ที่เคยเห็นมา ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์จากสถานแสดงสัตว์หายากเสียด้วย”

บอนนั่มยืนอยู่สุดทางเดินขณะที่เบล้กเขยิบเข้าไปใกล้เซคาริส แล้วใช้ปลายดาบที่ชี้ไปข้างหน้าจิ้มร่างนั้น มันยังนอนแน่นิ่ง เขาลองเสียบใบดาบที่ขัดไว้มันวาวแทงขาเซคาริสเต็มแรง ปลายดาบคมกริบเหมือนมีดโกนจมลึกลงในเนื้อที่คล้ายดินเหนียว เบล้กเห็นแผลนั้นเริ่มแห้งคล้ายดินเผาไปกับตา

“บอนนั่ม เจ้าฆ่ามันได้แล้ว มาดูสิ” เขามองใบหน้าที่ปกคลุมด้วยใบไม้และตาสีทองไร้แววของมัน “เทียบกับที่เคยเห็นมาไอ้นี่มันปีศาจจากนรกชัดๆ ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยังล่ะว่า โลกนี้ไม่ได้มีแต่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออย่างเรา วิทยาศาสตร์ของข้าพิสูจน์เรื่องนี้ได้แล้ว นี่ไงตอนนี้ข้ามีสัตว์ประหลาดไว้อวดชาวบ้านแล้ว” เขามองบอนนั่ม “ข้ามั่นใจว่าอะไรๆ ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวกับดาวหางนั่นแน่ ดูเหมือนว่าพอดาวหางปรากฏมันก็ปลุกตัวอะไรต่อมิอะไรในนรกให้พลอยตื่นขึ้นมาด้วย เราคงต้องระวังตัวกันหน่อยแล้วละบอนนั่ม ยิ่งมังกรฟ้าใกล้โลกเข้ามาเท่าไหร่ก็คงจะมีอะไรแปลกๆ เข้ามาเขย่าขวัญสั่นประสาทเรามากขึ้นเท่านั้น”

“เจ้าคิดว่า มันกินสาวใช้ของเจ้าเข้าไปแล้วหรือเปล่า” บอนนั่มถามพลางมองหาอเก็ตต้าไปรอบห้อง

“เดี๋ยวเราก็รู้น่าว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าไม่ห่วงความปลอดภัยของหล่อนหรอก คนใช้น่ะหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเราก็ไปบอกพ่อของหล่อนสิว่าหล่อนเอ้เตอยู่ในท้องไอ้ผีนรกตกสวรรค์นี่ อ่ะฮ้า แล้วคอยดูสีหน้าของเจ้านั่นตอนได้รู้เรื่องนี้สิ” เบล้กหัวเราะ “เท่าที่รู้จักหล่อน ข้าแปลกใจจริงว่า เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเหลือชีวิตอยู่ให้เจ้ายิงตายได้ยังไง อีกเดี๋ยวเราคงได้รู้ชะตากรรมของหล่อนหรอก เพราะข้าจะผ่าไอ้ตัวนี้ออกเป็นสองซีกแล้วค่อยชำแหละมันเป็นชิ้นๆ โอกาสอย่างนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว”

เบล้กรู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่นำเจ้าเซคาริสมาหาเขา เขาสำรวจเนื้อตัวของมันคร่าวๆ เพื่อ มองหาสัญลักษณ์หรือยันต์อาคมซึ่งอาจช่วยให้สืบเค้าต้นตอของเรื่องได้ ใจเขาเต้นรัวด้วยความที่โลภอยากรู้อยากเห็น นี่เป็นของขวัญจากสวรรค์โดยแท้ ซากสัตว์ประหลาดจากภพอื่นตัวนี้นับได้ว่าดาวหางส่งมาให้เพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่มนุษย์

“ช่วยข้าหิ้วเจ้านี่ไปที่โต๊ะที เราจะได้หั่นมันเป็นชิ้นๆ และร่วมกันลิ้มรสความรู้สักมื้อ” ความโลภวิชาครอบงำเบล้กเข้าให้แล้ว เขาตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า ขณะที่คว้าตีนเจ้าเซคาริส ลากเข้าไปในห้องดูดาว ร่างของมันเย็นเหนียวคล้ายดินชื้นต้องน้ำค้างยามเช้าและมีของเหลวลื่นเป็นมันใสเหมือนไหมสีเขียวมรกตไหลเลอะมือเขาเหมือนฉาบสีไว้บางๆ “เร็วสิ ไอแซค ไอ้ตัวนี้มันหนักนะโว้ย”

บอนนั่มยังยืนนิ่งเป็นหิน มือถือปืนพกสุดเก๋เล็งเซคาริสอย่างพร้อมที่จะเหนี่ยวไก ท่าทีเขาหดหู่เหมือนกับไม่ได้ยินที่เบล้กพูด เขาเฝ้าเพ่งมองใบหน้าทุกส่วนของเจ้าปีศาจตรงหน้าราวกับว่า มันทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่เขารู้จักดี

“เฮ้ยไอแซค มันตายแล้ว” เบล้กเหน็บ “ไม่ต้องยิงซ้ำหรอกโว้ย” เสียงเริ่มขุ่นเพราะชักจะโกรธ “ข้าไม่อยากคอยเจ้าทั้งคืนหรอกวะ ไอแซค”

บอนนั่มตื่นจากภวังค์ มองเบล้กแล้วเก็บปืนใส่กระเป๋า “ไอ้นี่มันตัวอะไรกัน” เขาถาม ขณะเข้าไปจับแขนที่หนักอึ้งของมันแล้วช่วยลากเข้าไปในห้องดูดาว เขาสำรวจหน้าตาเจ้าเซคาริส” ดูเหมือนว่ามีคนประดิษฐ์มันขึ้นมา ยังกับรูปปั้นที่จู่ๆ ก็เกิดมีชีวิต”

เบล้กสวนทันควัน “ถ้าข้าคิดไม่ผิดละก็ ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดนี่แหละคือสิ่งที่ข้าอยากเห็นมานาน ข้าเคยได้ยินว่าเขาเสกขึ้นมาได้ตัวหนึ่งที่กรุงปราก แต่ข่าวลือเรื่องสัตว์ประหลาดคราวนั้นทำให้คนตายกันเป็นเบือเลย เมืองพินาศไปตั้งครึ่งเมืองเพราะคนที่ตามล่ามันฆ่าทุกคนที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมสร้างมันขึ้นมา บางคนก็ว่า ถึงเดี๋ยวนี้มันก็ยังไม่ตาย แต่ถูกขังอยู่ใต้หลังคาโดมของโบสถ์ลับแห่งหนึ่งเพื่อให้พ้นจากพวกตาสอดดูหูสอดฟัง” เบล้กหัวเราะกับตัวเองขณะที่ทั้งคู่ลากเจ้าสัตว์ประหลาดไปถึงกลางห้อง “ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีเซคาริสมาเยี่ยมข้าในช่วงอาหารค่ำอย่างนี้”

“มันบอกว่า มันจะฆ่าเจ้า” บอนนั่มพูด

“ข้าเสร็จมันแน่ ถ้าเจ้าไม่แม่นปืนขนาดนั้น คนที่ส่งไอ้นี่มาคงอยากให้ข้าตายหรืออยากได้ของที่ข้ามี” เบล้กมองมือตัวเอง “เมื่อคืนตอนข้านอนสลบอยู่ในหลุมศพ ก็คงพวกมันนั่นแหละที่แอบตัดเล็บมือของข้าเสียกุดหมด” เขามองมือของเจ้าสัตว์ร้าย “ถ้าข้าจำสูตรได้ถูกต้องละก็ เล็บที่ฝังอยู่ปลายนิ้วเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ต้องเป็นของข้าแน่”

เบล้กตรวจดูมือของเซคาริส แล้วดึงเล็บมนุษย์ออกจากปลายนิ้วแต่ละนิ้ว “เห็นมั้ยบอนนั่ม นี่ไงหลักฐานว่าข้าพูดถูก” เขาพยักหน้าอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยชื่นชมในตนเอง

“ใครนะที่อยากจะทำร้ายเจ้า ก็เจ้าน่ะเป็นแค่นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง” บอนนั่มตั้งข้อสงสัย

“ไอแซค มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยอยู่แล้ว แต่ข้าเองยังไม่อยากจะเชื่อ เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าคิดว่าไม่บอกเจ้าซะเลยจะดีกว่า เจ้าเป็นทั้งสหายร่วมชีวิตและร่วมรสนิยมเพียงคนเดียวที่ข้ามี ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องพลอยเสี่ยงชีวิตไปกับข้าด้วย” เบล้กยิ้มให้บอนนั่ม เขาเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์และผูกพันกับชายผู้นี้อย่างยิ่ง แม้จะมีโกรธเคืองหรือขัดแย้งกันมาบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าตัดไม่ตายขายไม่ขาด

ขณะช่วยกันยกร่างของเซคาริสขึ้นวางบนโต๊ะ เบล้กมองไปที่ตู้เก็บเน็มโมเร็นซิสเห็นประตูตู้แง้มอยู่ เขาปล่อยศพหลุดมือกระแทกพื้นโต๊ะดังพลั่กขณะจับจ้องบานประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่เล็กน้อยนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา “คัมภีร์หาย” เขาพึมพำ “เน็มโมเร็นซิสหายไป”

เขาเปิดประตูออกจนสุด คัมภีร์หายไปเหลือแต่ตู้ว่างเปล่า “เน็มโมเร็นซิสถูกใครขโมยไปแล้ว” เขาร้องตะโกนพลางออกวิ่งไปที่ทางเดิน

บอนนั่มคว้าไหล่เบล้กได้ก็ดึงตัวกลับเข้าไปในห้อง “เฮ้ย ให้ตายสิ สงบสติอารมณ์หน่อยเถอะวะ เซเบี้ยน”

“นังอเก็ตต้าแหละขโมย ต้องเป็นหล่อนแน่ๆ” เบล้กตะเบ็งไม่หยุด “ไอ้สัตว์นั่นพบหล่อนตอนที่มันมาตามหาข้า มันไม่ได้กินหล่อนเข้าไปหรอก หล่อนคว้าคัมภีร์ของข้าหนีไปได้ก่อนแหงๆ ข้ารู้จักไอ้เลเมี่ยนกับนังลูกสาวดี มันคงจะช่วยกันตัดคัมภีร์ออกเป็นชิ้นๆ สำหรับขายให้คนเอาไปเช็ดก้น” เบล้กโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หน้าแดงด้วยโทสะ “เอาปืนมาให้ข้า ไอแซค ข้าจะช่วยให้เพชฌฆาตได้เบาแรงสักหน่อย ทำอย่างนี้ถึงจะยังเด็กหล่อนก็ต้องรับโทษถึงตาย ถ้าไม่กินลูกตะกั่วก็ต้องถูกเอาไปแขวนคอ อยากเลือกก็ได้เลย”

“อเก็ตต้า เลเมี่ยนยังเด็ก หล่อนยังไม่รู้เดียงสาหรอก”

“หล่อนโตพอจะรู้แล้วว่า ขโมยของของนายนั้นโทษถึงตาย หลายปีมานี่หล่อนได้จากข้าไปจนน่าจะพอแล้ว ข้าอุตส่าห์ทำเป็นไม่เห็นเวลาหล่อนแอบล้วงเงินในกระเป๋าข้า มิหนำซ้ำยังลอบมาขโมยเงินบรรดาแขกของข้าอีก แต่ที่บังอาจขโมยเน็มโมเร็นซิสนี่หล่อนต้องชดใช้ด้วยชีวิตหรือไม่ก็ถูกเนรเทศไปอยู่อาณานิคมเสียเลย” เบล้กพ่นวาจาด่าแหลก เขาเชื่อว่าเน็มโมเร็นซิสตอบได้ทุกคำถามที่เขาอยากรู้ คัมภีร์ทำนายเรื่องดาวหางก็ได้ เขาเห็นคัมภีร์เพิ่มจำนวนหน้าขึ้นเองต่อหน้าต่อตา มันทั้งมีค่าทั้งงดงามและทรงอำนาจ มันรู้ว่าเขาคิดอะไรและบังคับจิตวิญญาณเขาได้

“อย่างนั้นเราคงต้องตามหาหล่อนเพื่อเอาคัมภีร์กลับมาก่อนที่นักโทษในคุกนิวเกตจะได้ทดสอบความนุ่มของเนื้อกระดาษ” บอนนั่มตอบขณะปล่อยมือจากเบล้ก “ถ้ารีบไปตอนนี้ เราคงจะไปถึงบ้านเช่าก่อนที่หล่อนจะทันได้หั่นคัมภีร์ เห็นท่าเจ้าจะต้องชะลอเรื่องผ่าซากเจ้าสัตว์ประหลาดไปก่อนแล้วละ” เขาควักผ้าหน้าเช็ดสีแดงผืนใหญ่จากกระเป๋าแล้วคลุมหน้าของสัตว์ประหลาด “ศพน่ะมักจะจ้องหน้าเราเป็นนิจศีล…ข้าถึงไม่ชอบมองหน้าศพ”

เบล้กกับบอนนั่มก้าวออกไปในโถงทางเดิน บอนนั่มหันกลับไปมองเซคาริส แว่บหนึ่งเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเขาเชื่อว่าเห็นเจ้าสัตว์ร้ายขยับตัว เขามองซ้ำให้แน่ใจว่าตัวเองตาฝาด หลังจากปิดประตูแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินไปที่บันไดซึ่งวนไปยังห้องซักล้าง


บทแปลนี้มิใช่เวอร์ชั่นก่อนพิมพ์เล่ม
จึงยังมีความลักลั่นเรื่องชื่อสถานที่อยู่บ้าง
ขออภัยด้วยค่ะ

(ติดตาม
บทที่ 14 - ไคมีร่า – สัตว์พหุพันธุ์
วันที่ 19 ก.ค. ค่ะ)

LITERATURE
 ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 14 กรกฎาคม 2562
Last Update : 14 กรกฎาคม 2562 6:31:03 น. 21 comments
Counter : 1332 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณเริงฤดีนะ, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณวลีลักษณา, คุณtoor36, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณtuk-tuk@korat, คุณเนินน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณhaiku, คุณตะลีกีปัส, คุณสองแผ่นดิน, คุณSai Eeuu, คุณTurtle Came to See Me, คุณkae+aoe, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณSertPhoto, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณruennara


 

สวัสดียามเช้าครับพี่ภา


ลุ้นเลยครับว่าอเก็ตต้าจะเป็นยังไงต่อ
ตอนนี้เข้มข้นเป็นพิเศษเลยครับพี่



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:50:41 น.  

 
แฟนคลับ ตามมาๆ ถึง ..
บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า


ตอนนี้ไม่โหดร้ายเท่า ตอนที่ 13
ในที่สุดภาระกิจ โขมยคัมภีรื
ก้เป็น Mission possible ของอเก๊ตต้า
ฝีมือจริงๆ

มา..มาติดตามตอนที่ 14 ต่อ
หนุกหนานๆ ทุกขณะที่อ่านค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:7:49:42 น.  

 
โอเล่มาส่งกำลังใจให้พี่ภางานเขียนค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:9:29:43 น.  

 
คัมภีร์เน็มโมเร็นซิส

รอตามตอนต่อไปค่ะพี่ภา
ขอบคุณนะคะ


โดย: วลีลักษณา วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:10:24:31 น.  

 
ทั้งเล่มนี่น่าจะเป็นร้อยตอนเลยนะครับ เพราะตอนที่เอามาลงแต่ละตอนนี่อย่างมากก็ 4-5 หน้า A4 เอง


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:10:47:17 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับพี่ภา

ผมทำงานที่ร้านมา 20 กว่าปี
ได้อะไรจากการทำงานเยอะมากครับพี่ภา
เป็นประสบการณ์ตรงจากของจริงเลย

ปล. งานตะพาบโจทย์นี้
ยากมากจริงๆครับ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:13:59:52 น.  

 
มันค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:16:12:50 น.  

 
5.. ทั้งเล่มมี 28 บท/ตอนเองค่ะ น้องต่อ พี่ลงครั้งละ
1 บท/ตอนเท่านั้น ต้นฉบับเค้ามี 312 หน้า บทแปล
ของพี่จะไม่สั้นยาวกว่าต้นฉบับมาก คือระวังเรื่อง
สำนวนกระชับมากกว่าอธิบายเยิ่นเย้อเพราะหาคำ
หรือวลีที่เหมาะสมไม่ได้ ทั้งเรื่องของพี่จึงมี 396 หน้าค่ะ
ภาษาไทยต้องยาวกว่าอังกฤษบ้างอยู่แล้ว ตกบทละ
10-15 หน้า pocket book

อีก 15 บท/ตอนก็จบแล้วค้าบบบ ถ้าเดือนละ 5 บท
ก็จบกลางๆตุลาชัวร์ค่ะ

ขอบคุณที่สนใจนะคะ



โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:19:35:56 น.  

 
อเก็ตต้าน่วมเลย ลุ้นไปด้วย...ที่สุดก็รอด เฮ้อ

คำบรรยายเจ้าเซคาริส...น่าเกลียดน่ากลัวเนาะคะ



โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:19:41:02 น.  

 
มายิ้มตอบค่ะพี่
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ


โดย: วลีลักษณา วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:21:01:11 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะพี่ภาขา

อเก็ตต้าเก่งกาจ เพราะมนต์สะกดใจให้ขโมยคัมภีร์
ไปให้แธดเดียสให้จงได้ แต่ก็คงเจ็บแย่

แล้วเซคาริส จะสิ้นฤทธิ์มั๊ย
คัมภีร์จะตกอยู่ที่ใคร
ตามต่อค่ะ



โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:22:00:32 น.  

 
ส่งกำลังใจไว้ก่อนครับ พี่ภา
อ่านบท 12 อยู่


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:22:26:36 น.  

 
มาให้กำลังใจพี่ภาค่ะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 14 กรกฎาคม 2562 เวลา:23:48:06 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับพี่ภา



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:46:48 น.  

 
วันก่อนผมอ่านพบข้อความหนึ่ง
เขาบอกว่าเป็นนกในกรง
ก็ใช่ว่าจะไม่ดี
แม้ชีวิตจะไม่มีอิสระแต่ก็ปลอดภัย
มีข้าวกิน มีที่อยู่ที่ดี

การคิดว่าจะเป็นอิสระอย่างเดียว
โดยเฉพาะในวัยรุ่น
อาจนำไปสู่หนทางที่ผิดพลาด
และหลายคนก็ผิดพลาดแบบกู่ไม่กลับ
จนชีวิตวอดวายไปเลย

อ่านเม้นท์พี่ภา
ผมเชื่อมั่นครับ
ว่าถ้าเมล็ดพันธุ์เป็นพันธุ์ที่ดี
ถึงสภาพแวดล้อมอาจจะไม่ดีนัก
หรือมีปัญหาจากบุคคลรอบข้าง
แต่เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ
เหมือนที่พี่ภาเล่าไว้ในเม้นท์เลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:10:32:57 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะ

ขอบคุณอิแปะก้นไถ้ด้วยค่ะ
ตุงแระ

ลูกจ่ายๆๆๆๆไปเรื่อยๆ อิแม่ก็แอบสังเกตว่าน่าจะประมาณเท่าไหร่ได้ กลับมาแล้วก็โอนเงินใส่บช.ให้ลูก
เพราะถามทุกครั้งว่าให้แม่ช่วยออกเท่าไหร่
ลูกก็จะปฏิเสธทุกครั้ง ตกลงไม่ได้ไปฟรีค่ะ
จ่ายบ้าง ตามศรัทธา...แฮ่ะ



โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:12:46:00 น.  

 
เจ๋ง..ครับพี่ กำหนดวันอัพบล๊อกได้ล่วงหน้า...

เมื่อก่อนผมก็ถูกแซวจากเพื่อนว่า ขยันจริงเลย
เขาคงคิดว่าผมเขียนไว้ล่วงหน้า..

ที่ไหนได้ ผมนั่งอยู่บนโต๊ะในที่ ๆ หนึ่งนั่งปั่นเขียน
ไปเรื่อย ๆ สมาธินิ่งดี แล้วค่อยไปเกลาที่บ้าน..

...
พอหลังจากนั้นค่อย ๆ ผ่อนเบาลง สมองไม่ค่อย
แล่นยุ่ง ๆ หน่อยเลยนำของ ลูกชายมาลง ทีนี่
สบายมาก ๆ รู้งี้ทำตั้งนานแล้ว 555

...
งานแปลงานเขียนของพี่ ผมอ่านบทหรือตอนนี้
ทีแรกคิดว่า มีกล้องโทรทรรศน์ แบบวงจรปิด
แหะ ๆ หายจริงเลยกะจะแซวพี่ ว่านิยายบรรยากาศสมัยโน้นมีได้ไง

พอกลับมาอ่านอย่างละเอียด อาย..พี่เลย กลาย
เป็นกล้องโทรทรรศน์ ส่องดูดาวแหง๋ม ๆ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:14:06:43 น.  

 
สวัสดี ยามดึก ค่ะ พี่ภา

มาอ่านดาวพิษต่อ ค่ะ เนื้อหาเข้มข้นมาก
อเก็ตต้า เคราะห์ร้ายโดนเซคารีสบีบคอเกือบตาย แต่
ก็เก่งเนาะ หนีรอดไปได้ กว่าเบล้กจะรู้ว่าคัมภีร์ถูก
ขโมย ก็สายไปแล้ว
ส่วนเจ้าเซคารีส จะตายไหม ให้เดา คิดว่ายัง
ไม่ตาย เพราะก่อนจบบทนี้มีการทิ้งท้ายว่า บอนนั่ม
เห็นนิ้วมันกระดิกได้ ห้าห้า เลยเดาว่า คงไม่ตาย

โหวดหมวด งานเขียน ฯ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 15 กรกฎาคม 2562 เวลา:20:40:53 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับพี่ภา



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กรกฎาคม 2562 เวลา:6:37:58 น.  

 
อเก็ตต้า แอบขโมยของคนอื่นบ่อยๆ
แล้วนี่จะขโมยไปให้คนแปลกหน้าทำไมก็ไม่ทราบ


โดย: mcayenne94 วันที่: 17 กรกฎาคม 2562 เวลา:21:44:19 น.  

 
อ่านจบบท 13 แล้วครับ พี่ภา
เซคาริสตายหรือยังครับ



โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 19 กรกฎาคม 2562 เวลา:8:21:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ภาวิดา คนบ้านป่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 140 คน [?]




BG Pop.Award #17
BG Pop.Award #16
BG Pop.Award #15
BG Pop.Award #14
BG Pop.Award #13
BG Pop.Award #12
BG Pop.Award #11
BG Pop.Award #10
BG Pop.Award #9
BG Pop.Award #8
BG Pop.Award #7
BG Pop.Award #6
*****
*****
Friends' blogs
[Add ภาวิดา คนบ้านป่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.