ใส่ใจสุขภาพกาย สุขภาพจิต
ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ ขอโทษเพื่อนๆที่ไปทักทายช้า
ชีวิตที่รีบเร่ง
กับการทำงานที่เร่งรีบ ใส่ใจสุขภาพกาย สุขภาพจิต ด้วยการบำบัดชีวิตแบบ Slow Living 05.30น. ตื่นนอน อาบน้ำ 6.00 น. แต่งตัว 7.00 น. เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ 8.30 ถึงที่ทำงาน รับโทรศัพท์ ส่งแฟกซ์ ปั่นงาน 12.00 น. กินข้าว 12.30 น. ทำงานต่อ ประชุม 19.00 น. กลับบ้าน 20.30 น. กินข้าวเย็น อาบน้ำ ดูละครหลังข่าว เช็คเมลล์ อ่านหนังสือ 24.00 น. หมดเวลา ปิดไฟ นอน ใน 1 วันคุณเคยคิดหรือเปล่าว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่คุณต้องทำอะไรบ้าง หรือไม่มีเวลาจะคิด ไตรตรอง หรือทบทวนสิ่งที่เพิ่งทำเมื่อวานเลย หากเป็นเพราะว่าความเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม ดูเหมือนว่าจะทำให้ชีวิตเล็กๆ ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนสังคมวิ่งวนอย่างรีบเร่ง ไม่ว่าจะเป็นความเร่งรีบในที่ทำงาน ความเร่งรีบบนโต๊ะอาหาร ไปจนถึงความเร่งรีบที่จะล้มตัวลงนอน เพื่อชาร์จแบตให้มีแรงตื่นขึ้นมาพบกับความเร่งรีบอีกครั้งในเช้าวันใหม่ แน่นอนว่าความเร่งรีบเหล่านี้ไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ความรีบเร่งในทุกจังหวะชีวิตกลับทำให้สุขภาพกายย่ำแย่ ที่สำคัญ ยังก่อให้เกิดมลพิษทางจิต และสร้างมลพิษแก่โลกใบนี้อีกด้วย ก่อนที่ความเร่งรีบจะทำร้ายตัวเราและโลกไปมากกว่านี้ นักสิ่งแวดล้อมและนักบำบัดทั้งหลายจึงได้คิดค้นการใช้ชีวิตแนวใหม่ที่ช้าลง ในแบบที่เรียกว่า Slow Living ขึ้น (เป็นบทความจากนิตยสารซีเคร็ต) ทำไมต้อง ช้า หลายคนคงตั้งคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมชีวิตต้องเชื่องช้าคำตอบก็คือ หากหันไปมองรอบๆ ตัวเรา จะพบว่าทุกวันนี้ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟสายด่วน อาหารจานด่วน บทสนทนาที่รีบเร่ง ชะโงกทัวร์แบบด่วนจี๋ เอสเอ็มเอสย่อยข่าวทุกนาที ฯลฯ
แม้ความเร็วจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย แต่หากมากไปก็อาจทำให้เราลืมรายละเอียดสำคัญๆ รอบกายได้ เช่น ลืมให้เวลากับคนที่เรารัก ลืมใส่ใจความอร่อยของอาหารรสเลิศที่อยู่ตรงหน้า หรือลืมแม้กระทั่งความสุขที่อยู่สองข้างทางระหว่างบ้านถึงที่ทำงาน
ความเร็วนอกจากจะเป็นตัวการสำคัญในการบั่นทอนความสุขทางใจแล้ว ในทางการแพทย์ ความเร่งรีบยังก่อให้เกิด โรค Hurry Sickness Syndrome ทำให้คนที่ใช้ชีวิตเร่งรีบเกินไป รู้สึกหายใจไม่ทัน หรือหายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว ส่งผลให้แขนขาหมดแรง ใจหวิว และทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ก็คือ ความรีบเร่งยังเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม เพราะความเร่งรีบทำให้ต้องใช้สารเคมีมากมายเพื่อกระตุ้นผลผลิตทางการเกษตร และเพิ่มศักยภาพทางการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
เพื่อเป็นการหยุดชีวิตที่เร่งรีบ ขอเสนอเทคนิคการใช้ชีวิตแช่มช้า แบบที่เรียกว่า Slow Living ซึ่งสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในทุกที่ ทุกเวลา และทุกวัน ดังนี้ 1. ตื่นให้เร็วขึ้น แต่หายใจให้ช้าลง ใครที่เคยชินกับชีวิตในแบบที่เร่งรีบ และรู้สึกว่าเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันนั้นไม่เคยพอ ให้ลองเริ่มต้นใหม่ด้วย การตื่นให้เช้าขึ้น เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาเพิ่มขึ้น พร้อมทั้ง หายใจให้ช้าลง เพื่อเรียกสติให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ เคยสังเกตไหมว่า เมื่อไรที่คุณตื่น คุณก็จะรีบอาบน้ำ รีบกินข้าว โดยที่ใจไม่เคยได้สัมผัสกับความเย็นฉ่ำของน้ำ หรือความอร่อยของอาหารมื้อแรกเลยสักนิด แต่หากเมื่อไรคุณตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม แล้วค่อยๆล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ และถ้าใครไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานนาน อาจจะลองเดินออกจากบ้านไปตักบาตร หรืออาจจะเดินไปรดน้ำต้นไม้สักนิด พร้อมทั้งสำรวจว่าต้นไม้แต่ละต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง นับแต่วันแรกที่เราซื้อมาแล้ว ที่สำคัญอย่าลืมสูดอากาศยามเช้าให้เต็มปอด เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสุขใจและไม่เร่งรีบได้แล้ว ประสิทธิภาพสมองกับ Slow Morning รู้ไหมว่า หากเราตื่นนอนอย่างงัวเงีย เราจะสามารถดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การจะดึงอีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาใช้ ทำได้ด้วยการทำให้คลื่นสมองช้าลง ด้วยการหยุดความเร่งรีบในยามเช้านั่นเอง 2. ปฏิบัติการเพื่อความเงียบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายและใจของคุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง หลังจากทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงที่มีแต่ความวุ่นวาย ขอให้ลอง หามุมเงียบๆให้ใจได้พักบ้าง สักสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี มุมเงียบๆที่ว่าไม่ได้หมายถึงการหนีไปไหนไกลๆ แต่ทำได้ง่ายๆเพียงแค่อยู่กับตัวเองเงียบๆ สักวัน แล้วปิดโทรศัพท์มือถือ เลิกดูโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ รวมทั้งงดใช้งานอินเทอร์เน็ต และการแชตชั่วคราว เพื่อให้คุณได้หยุดวิ่งตามกระแสต่างๆ แล้วหันกลับมาฟังเสียงธรรมชาติดูบ้าง ที่สำคัญการอยู่เงียบๆคนเดียว ยังทำให้เราได้ยินเสียงลมหายใจเข้า-ออก และเสียงของหัวใจตัวเองชัดเจนขึ้นอีกด้วย วันหยุดเพื่อหยุด อย่ากลัวที่จะปิดโทรศัพท์มือถือในช่วงวันหยุดพักร้อนของคุณ 3. ทำงานช้าลง แต่ได้ผลเต็มร้อย บางครั้งการทำงานด้วยความรีบเร่งก็ไม่ได้เกิดประโยชน์เสมอไป ตรงกันข้าม การทำงานด้วยความรอบคอบและมีสติ ต่างหากที่จะทำให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ ลองหัดทำงานให้ช้าลง แต่ได้ผลเต็มร้อยด้วยเทคนิคง่ายๆเหล่านี้ - ทำให้คลื่นสมองช้าลง หากกำลังเครียด ลองผ่อนคลายด้วยการนั่งหลับตา ผ่อนคลายใบหน้า วางมือและเท้าในท่าที่สบายแล้วจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม เพื่อให้คลื่นสมองทำงานช้าลง รู้สึกเบาสบาย และสามารถคิดสร้างสรรค์งานได้ดีขึ้น
- รอบคอบ แต่ไม่คิดมาก หัวใจของการทำงานแบบเชื่องช้า คือการคิดและทำอย่างรอบคอบ แต่ไม่ใช่การคิดมาก เพราะการคิดมากจะทำให้เรากลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอยู่ที่เดิม โดยไม่ได้พบทางออกของปัญหา
- ใส่ใจกับปัจจุบัน ฝึกตัวเองไม่ให้กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เลิกวิตกกับกำหนดเวลา แต่มีสมาธิอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างผ่อนคลาย
- รับมือกับความเครียดด้วยสติ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อความเครียดเกิดขึ้น เราสามารถรับมือกับความเครียดอย่างมีสติด้วยการเตือนตัวเองให้ค่อยๆคิดทบทวนอย่างช้าๆ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา วิธีนี้จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และสามารถหาทางแก้ปัญหาได้ทันท่วงที และถูกต้องตรงจุดยิ่งขึ้น
4. รักษ์โลกและร่างกายด้วย Slow Food slow food ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธอาหาร fast food เท่านั้น แต่ slow food ยังหมายรวมถึงการให้ความสำคัญกับศิลปะในการปรุงอาหาร ตั้งแต่การเตรียมส่วนผสม การคัดสรรวัตถุดิบ รวมทั้งการปรุงอาหารแต่ละจานด้วยความใส่ใจ ไปจนถึงการค่อยๆเคี้ยวอาหารแต่ละคำ เพื่อให้ได้รับรสของอาหารอย่างแท้จริง ลองฝึกเทคนิคการบริโภคแบบ slow food ดังนี้ - ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อให้ได้ของสดใหม่ รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง
- กินตามฤดูกาล เพื่อลดการใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ย และสารเคมีในการเร่งดอกออกผล
- สนับสนุนเกษตรอินทรีย์ แบบไม่ใช่สารเคมี แม้จะทำให้ได้ผลผลิตช้ากว่าการใช้สารเคมี แต่รับรองว่าปลอดภัยกว่าแน่นอน
- ปรุงด้วยการนึ่ง ต้ม ตุ๋น แทนการผัดและทอด ที่อุณหภูมิสูง เพื่อรักษาคุณค่าของสารอาหาร และลดการปล่อยความร้อนออกสู่สิ่งแวดล้อม
- เคี้ยวอย่างเชื่องช้า เพื่อช่วยระบบการย่อยอาหาร และทำให้ได้สัมผัสถึงรสชาติของอาหารอย่างแท้จริง
ผัก-ผลไม้สดกู้โลก แทบไม่น่าเชื่อว่า การบริโภคผัก-ผลไม้สดแทนผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องหรือแช่แข็ง จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมาก เพราะแค่ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ก็สูญเสียพลังงานจากการแช่แข็งและผลิตผัก-ผลไม้กระป๋องไปถึงสามพันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากพอจะทำให้หลอดไฟทุกดวงในมหานครนิวยอร์กสว่างไสวได้นานถึงสามปี 5. ชีวิตแช่มช้าด้วย Slow Shopping การ ช็อปปิ้ง เป็นอีกวิธีในการใช้ชีวิตอย่างแช่มช้าได้เช่นกัน ด้วยการสนับสนุนสินค้าในท้องถิ่นหรือสินค้าแฮนด์เมด ที่ต้องใช้เวลาในการผลิต รวมทั้งการซื้อผัก ผลไม้ตามฤดูกาล เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ และได้รับประทานอาหารสดใหม่ อีกทั้งยังช่วยลดปรากฏการณ์เรือนกระจก เพราะมลพิษจากการขนส่งสินค้าทางไกลอีกด้วย ใช้บริการร้านค้าใกล้บ้าน อีกวิธีที่จะช่วยประหยัดพลังงาน หรือพยายามซื้อสินค้าจากร้านและตลาดใกล้บ้าน หรือแวะซื้อจากร้านที่เป็นทางผ่าน แทนการตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปห้างสรรพสินค้าไกลๆ เพื่อซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้น 6. ชีวิตไร้มลพิษกับ Slow Travel ใครที่ชอบเดินทางด้วยความด่วนจี๋ ลองเปลี่ยนวิธีเดินทางเป็นแบบ slow travel ดูบ้าง เริ่มจากเปลี่ยนการเดินทางด้วยเครื่องบินมาเป็นรถไฟ เรือ จักรยาน หรือแม้แต่การเดิน เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่โลก และใช้เวลาต่อหนึ่งทริปให้นานขึ้น โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมระหว่างทาง เช่น แวะไปเที่ยวตลาดสดกลางหมู่บ้าน ทักทายผู้คนสองข้างทาง และเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยการเลือกไปพักแบบโฮมสเตย์ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเดินทางในครั้งนี้ให้เต็มที่ 7. ออกกำลังกายสร้างสมาธิ อีกวิธีที่จะสลัดความเคร่งเครียดที่มาพร้อมกับความเร่งรีบ คือการออกกำลังกายในแบบที่แช่มช้า เช่น โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง และการออกกำลังกายตามแบบเต๋า ซึ่งนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงจากความเครียดผ่อนคลายลงแล้ว ยังช่วยให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้สติและสมาธิที่กระเจิงไป เพราะความรีบเร่งกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ซึ่งท้ายที่สุด สติและสมาธิที่เกิดขึ้นนี้เอง จะเป็นตัวการสำคัญในการดึงจังหวะชีวิตของเราให้ช้าลงโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อจะไปสู่จุดหมาย ความสนุกย่อมหล่นหายไประหว่างทาง เมื่อคุณพะวงและรีบร้อนให้แต่ละวันผ่านพ้น ก็เท่ากับคุณได้โยนของขวัญที่ยังไม่ได้เปิดทิ้งไป ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน จงปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างช้าๆ บล็อคนี้อยู่ในหมวดสุขภาพ
Create Date : 23 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 23 กรกฎาคม 2555 22:33:19 น. |
|
104 comments
|
Counter : 2539 Pageviews. |
|
|