โรคกรดไหลย้อน โรคสุดฮิตของคนรุ่นใหม่
"สุขภาพดีไม่มีขาย...ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง"
การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความเร่งรีบตลอดเวลา แม้เวลารับประทานอาหารก็เร่งรีบไปด้วย อีกทั้งยังมีความเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ที่ชอบกินจุบจิบ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รวมทั้งผู้ที่ชอบทานอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่ก็เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อนได้เช่นกัน
"โรคกรดไหลย้อน" คือ ภาวะที่น้ำกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร บางรายอาจไหลย้อนขึ้นมาถึงคอ และกล่องเสียงได้
โดยปกติร่างกายจะมีกลไกป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในระบบทางเดินอาหารส่วนบน ในรายที่เกิดโรคนี้ เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ ทำให้มีการไหลย้อนกลับของกรดขึ้นในหลอดอาหารได้ง่าย ปกติถ้ากรดไหลย้อนขึ้นไปในคอหอย จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบนหดตัว ป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นไป สำหรับผู้ที่เป็นโรดกรดไหลย้อนนั้นเชื่อว่า การทำงานของระบบป้องกันดังกล่าวเสียไป จึงมีกรดไหลย้อนขึ้นไปในคอหอย กล่องเสียง และปอดได้
อาการ
มักมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว คลื่นไส้ ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ แล้วลามขึ้นที่หน้าอกหรือคอ เสียงแหบมีเสมหะอยู่ในคอตลอด หรือคันคอ แสบคอ หรือระคายคอ
อาการเสียงแหบเป็นเพราะกรดไหลย้อนขึ้นไปสัมผัสสายเสียงที่อยู่ด้านหน้า ทำให้สายเสียงบวม ปิดไม่สนิท เกิดลมรั่ว ทำให้มีเสียงแหบได้ สาเหตุที่มีเสียงแหบตอนเช้า เกิดจากเวลานอน กรดจะไหลได้ง่ายกว่าเวลาที่นั่งหรือยืน สายเสียงจึงถูกกรดสัมผัสมากกว่าช่วงอื่นๆของวัน ทำให้ขณะตื่นมาตอนเช้ามีเสียงแหบได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้?
ถ้าคุณมีอาการดังกล่าวมา ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจ การรักษาที่ได้ผลดีที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนแผนการใช้ชีวิต ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอาจต้องพึ่งยาลดกรด และยาอื่นๆช่วยเสริมไปตลอดชีวิต
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
1.รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ ไม่ควรรับประทานอาหารมากเกินไป ควรรับประทานในปริมาณน้อยๆแต่บ่อยครั้ง และ ไม่ควรรับประทานอาหารใดๆอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนนอน ภายหลังรับประทานอาหารหลีกเลี่ยงการนอนราบ ถ้าชอบนอนหลังอาหารหรือง่วงจริงๆควรนอนบนเก้าอี้นอนที่ยกหัวสูงกว่าส่วนท้อง และพยายามรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ พวกผักผลไม้ที่มีใยอาหาร (ไฟเบอร์) ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ควรกินผักผลไม้เพิ่มขึ้นทีละน้อย ดื่มน้ำระหว่างมื้อให้มากพอ เพื่อป้องกันท้องอืด
2.หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมันๆ ฟาสต์ฟูด ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย นม ไข่ หรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กาแฟ (แม้จะเป็นกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน) ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ วิสกี้ ไวน์ โดยเฉพาะในตอนเย็น
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนตัวได้ดี และยังลดอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด หัวใจทำงานดีขึ้น ลดระดับไขมันในเลือด เพื่อป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โดยออกกำลังกายต่อเนื่องวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน เช่น วิ่ง เดินเร็ว ขึ้นลงบันได ว่ายน้ำ ขี่จักรยานฝืดแบบปรับน้ำหนักในฟิตเนส เตะฟุตบอล เล่นเทนนิส แบดมินตัน หรือบาสเกตบอล
4.พยายามลดน้ำหนัก เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินจะทำให้ความดันในช่องท้องมากขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนมากขึ้น
5.หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะจะทำให้เกิดการหลั่งกรดมากขึ้น
6.ผู้ที่สูบบุหรี่ ควรเลิกสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ เพราะจะทำให้เกิดการหลั่งกรดเพิ่มมากขึ้น
7.หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
เนื่องจากโรคกรดไหลย้อนมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และไปซื้อยาเคลือบแผลในการะเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงกับสาเหตุ หากละเลยไม่ไปพบแพทย์เพื่อการรักษา อาจทำให้เป็นเรื้อรัง ทำให้หลอดอาหารเป็นแผล และอาจกลายเป็น มะเร็งหลอดอาหาร ได้ในระยะยาว
เพื่อนๆทุกท่านจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ หากมีอาการควรรีบไปปรึกษาแพทย์ใกล้บ้านนะคะ
อย่างที่บอก สุขภาพดีไม่มีขาย...ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง
เป็นห่วงเพื่อนๆทุกคนนะคะ รักษาสุขภาพด้วยค่ะ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก blog คุณญามี่
และ ยายเก๋า
อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเธอ และ vote ให้เธอด้วยนคะะ
Create Date : 10 กันยายน 2554 |
Last Update : 11 กันยายน 2554 21:25:32 น. |
|
134 comments
|
Counter : 2521 Pageviews. |
|