กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
พฤษภาคม 2565
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
31 พฤษภาคม 2565
space
space
space

บุคคลหาได้ยาก ต่อ



   วันหนึ่ง ผมไปที่พัทลุง เข้าไปในถ้ำวัดคูหาสวรรค์ เห็นแม่กับลูกไปนั่งกราบพระอยู่ พอกราบเสร็จแล้วมองมา ก็เลยถาม ถามว่ามากราบพระเรื่องอะไร   แม่บอกว่าลูกชาย นี่ลูกชายของอิฉัน ก่อนอิฉันไม่มีลูก แล้วฉันมาไหว้หลวงพ่อองค์ใหญ่นี้แหละ ขอลูกสักคนเถอะว่าอย่างนั้น ไว้สืบวงศ์สกุลต่อไป หลังจากขอแล้วไม่เท่าไรก็มีลูกขึ้นมาเป็นลูกชาย พอได้ลูกก็เอาลูกมาไหว้ฝากเนื้อฝากตัว  แล้ววันนี้ที่มาไหว้ เพราะลูกติดทหารจะต้องไปอยู่ราชการทหารที่เมืองนครศรีธรรมราช ที่มากราบลาเพื่อไปรับใช้ชาติบ้านเมือง ขอให้หลวงพ่อตามไปรักษาด้วย
ได้ฟังแล้วรู้สึกว่า เออ คนเรานี้มันเหลือเข็ญ อยากจะมีลูกก็เที่ยวขอกราบไหว้วิงวอนเพื่อให้ได้ดังใจ

   อันนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า มารดาบิดานั้นต้องการจะมีบุตร ไม่ใช่มันเรื่องของผลพลอยได้ แต่ว่า มันเป็นผลที่ต้องการจริงๆ ให้เราเกิดมาจริงๆ แล้วเมื่อพอรู้ว่าท้อง ตั้งท้องแล้ว แสดงว่าระดูหยุด แล้วมีอาการว่าตั้งท้อง เช่น อาเจียนบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง อยากกินของเปรี้ยวๆ อะไรนี้ ดีใจแล้ว ดีใจว่าจะมีลูกแล้ว  แล้วถ้ากระซิบบอกพ่อเจ้าประคุณสามี บอกว่าฉันมันเปรี้ยวปาก หมู่นี้อยากจะกินส้มมะขาม อยากจะกินไอ้นั่นไอ้นี่ พ่อก็ดีใจว่า เออ ไม่เท่าใดกูจะได้เป็นพ่อคนแล้ว จะได้มีลูกกับเขาสักคนหนึ่ง  อันนี้แหละ คือ น้ำใจที่แม่พ่ออยากจะได้ลูกอย่างนี้

  อย่านึกเขวไปตามพวกมิจฉาทิฐิว่า พ่อแม่สนุกกันแล้วก็เกิดลูกมาเท่านั้นเอง เรียกว่าไม่มีน้ำใจ เราต้องนึกว่า คุณพ่อคุณแม่นี้ ในส่วนลึกท่านต้องการจะมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ออกมาแล้วพอใจทั้งนั้น ได้ลูกหญิงก็พอใจ ได้ลูกชายก็พอใจ แล้วก็อุตส่าห์ทะนุถนอมกล่อมกล่อมเลี้ยง  ให้เรานึกว่า สมัยเราเป็นเด็กนะเหมือนกับอะไรดี เหมือนกับของที่ว่าจะต้องทะนุถนอมอย่างที่สุด คล้ายกับเราถือไข่เดินไปบนหิน ต้องประคับประคอง คุณพ่อคุณแม่ประคับประคองลูกนักหนา แต่ว่าผู้ที่เอาใจใส่มากที่สุดคือแม่ เพราะหน้าที่โดยตรงของท่าน  พ่อนั้น ต้องออกไปนอกบ้าน ไปทำมาหากินหาเงินหาทองเอามาเลี้ยงครอบครัว  แม่ก็ก็มีหน้าที่อยู่กับลูก อาบน้ำให้ ให้กินนม กลางค่ำกลางคืนก็นอน เอาลูกนอนในเปลเห่กล่อมเพื่อให้ลูกหลับ  พอลูกหลับแล้วแม่นอนละ  มือถือเชือกไว้ ถือเชือกเปลไว้ ไม่ใช่นอนหลับสนิทนะ  ให้นึกเอาเองว่า สมมติว่าเราจะไปนั่นไปนี่ จะต้องตื่นแต่เช้า ใจมันกังวลอยู่ด้วยเรื่องที่จะไป กลัวจะตื่นสาย กลัวจะพลาดรถไฟ เพราะฉะนั้น ต้องตื่น ตื่นแล้วดูนาฬิกาตี ๒ เท่านั้นเอง นอนต่อ นอนต่อไปหน่อย เอาละ เดี๋ยวตื่น เออ ตีสามครึ่งเท่านั้นเอง เอาลุกขึ้นได้แล้ว เป็นอย่างนี้ฉันใด 




   มารดาก็คงจะมีใจอย่างนั้น   นอนไม่หลับสนิทดอก  มือจับเชือกไว้  พอได้ยินเสียงลูก แว้ ดึงเชือกงัวเงียๆ ดึงไปตามเรื่อง ให้ลูกหลับต่อไป ให้ลูกนอนต่อไป  ถ้าหากสมมติว่า ร้องดังจัด แสดงว่า มีอันตราย มดกัดหรือว่ามีอะไร หรือว่าอะไรมันออกมาทำให้ผ้าเปรอะเปื้อน เกิดความชิ้น ลูกน้อยของแม่นอนไม่สบาย   ต้องลุกขึ้นเปิดไฟ  แล้วยกขึ้นดู  อ้อ ลูกไม่สบาย เอาไปเช็ดล้างน้ำเสร็จแล้วก็นอนกล่อมต่อไป  ถ้าลูกเป็นไข้แม่เป็นไข้ด้วยนะ ถ้าลูกสบายแม่สบายด้วย แต่ถ้าลูกเป็นไข้แม่เป็นไข้ด้วยนะ  เรามันโตแล้ว ไม่ค่อยนึกถึงเรื่องอย่างนั้น ไม่ได้นึกย้อนหลัง ถ้านึกเสียบ้างก็จะรักคุณแม่มากขึ้น รักคุณพ่อมากขึ้น  คนเราถ้ารักพ่อรักแม่ดีมากละก็ ไม่เสีย ไม่ทำชั่ว คนที่ไปทำชั่ว ไม่รักแม่ ไม่รักพ่อ ไม่รักอะไรทั้งนั้นแหละ รักแต่ความชั่วเลยเสียคน 

  ที่นี้ เพื่อให้เกิดความรัก เราก็นึกถึงว่าเมื่อเราอยู่เป็นเด็กนี้ แม่พ่อเอาใจใส่เราอย่างไร บางที อาจจะจำเหตุการณ์บางอย่างได้ว่าเราทำอะไร แล้วคุณแม่รักษาเราอย่างไร ทะนุถนอมเราอย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยท่านรักษาในรูปใด สิ่งเหล่านี้ บางทีนึกแล้วมันก็ตื้นตันใจ แน่นอนขึ้นมาเชียว พูดไม่ออกว่าความตื้นตันนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากความปลื้มในบุญคุณของมารดาที่เราเคารพ ของบิดาที่เราเคารพ ถ้าเรานึกแล้วมันก็น่ารักน่าบูชา เราจะรักท่านมากขึ้นอย่างนี้


   มื่อเราเติบโตขึ้นไปโรงเรียน  ต้องการอะไร  หนังสือหนังหา สมุดเครื่องเขียน ขอได้ทั้งนั้น พ่อแม่นี่เหมือนกับน้ำบ่อทราย   ตักเท่าใดๆ  ก็ไม่รู้จักแห้ง   ความจริงมันแห้งเหมือนกันละ แต่ว่าท่านไปหามาชดเชยไว้ ไม่ให้มันแห้งเป็นอันขาด  ลูกต้องการ แม่หาให้ เว้นดาวกับเดือนแม่ไม่สามารถจะสอยมาให้ลูกได้ แต่ถ้าเป็นของบนพื้นโลกแล้ว เอาอะไรล่ะลูกเอ๋ย แม่ก็ต้องจัดหาให้ทั้งนั้นแหละ นี่ละ ลูกบางคนจึงขู่เข็ญคุณแม่ จะเอานั่น จะเอานี่

ถ้าสมมติว่าแม่บอกว่า แม่ยังไม่มี โอ้ย ไม่ได้ต้องเอาอย่างนั่น เอาอย่างนี้ ตีอกชกตัวกระทืบเท้าปึงปัง ล้มลงกลิ้งเกลือกให้แม่เห็นใจ พอแม่เห็นอย่างนั้น ก็สงสารลูก เอามา ลุกขึ้นลูก ลุกขึ้นมาเอาไป ได้ไปอีกละ ทำอย่างนี้ เมื่อได้แบบนี้ ทีหลังก็เอาอีก ได้โดยวิธีโกรธก็ต้องโกรธอีก ได้โดยวิธีร้องไห้ก็ต้องร้องไห้อีก อย่างนี้ทำให้เสียหาย แม่ไม่รู้เท่าลูกเลยปล่อยตามใจ ลูกเสียคน  แต่ก็น่าเห็นใจแม่ว่าท่านรักลูกเหลือเกิน รักจนลืมว่าอะไรเป็นอะไร มีแต่ว่าจะให้ลูกสบายใจ ก็เลยให้ตามต้องการ ต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เราขู่ได้โดยไม่ต้องรับความเดือดร้อนก็คือแม่กับพ่อนี่เอง ไปขู่คนอื่นเดี๋ยวก็เกิดเรื่อง แต่คุณพ่อคุณแม่นี่ขู่เอาได้ ก็ขู่เอาได้ตามชอบใจ แล้วก็ได้ทุกทีด้วย น่ารักไหมล่ะ ถ้าเราคิดอย่างนี้

แล้วเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย มีความเดือดร้อน ใครที่มาช่วยเราก่อนเพื่อน ก็คุณแม่นั่นแหละไม่มีใคร คุณพ่อคุณแม่นั่นแหละมาก่อน เพราะฉะนั้น ดวงหน้าคุณพ่อคุณแม่เป็นดวงหน้าที่น่ารักน่าบูชา ถ้าเราไม่สบายเจ็บไข้ พอเห็นคุณแม่มานั่น เห็นหน้าท่านเท่านั้น มันหายขึ้นมาเลย สบายขึ้นมาเลย ลุกขึ้นนั่งได้เดินได้ขึ้นมาทีเดียว ใจมันสบาย คนเราพอใจสบายมันก็หายโรคหายภัยไปเท่านั้นเอง อันนี้แหละคือน้ำใจที่เราได้รับ เป็นอิทธิพลทางจิตใจที่สำคัญที่สุด ซึ่งลึกลับซ่อนเร้นอยู่ในคุณแม่คุณพ่อของเรา

   คนบางคนกลัวแม่หรือว่าติดแม่ บางคนก็ติดพ่อ สุดแล้วแต่ว่าอยู่ใกล้ ถ้าอยู่ใกล้ใครมากก็ติดคนนั้นแหละ  ถ้าอยู่ใกล้แม่ก็รักแม่มากกว่าพ่อ   ถ้าอยู่ใกล้พ่อมากก็รักพ่อมากกว่าแม่ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปตามใครว่าคุณนี่รักใครมากกว่ากัน บางคนก็ตอบว่า ผมรักแม่ บางคนก็บอกว่า รักพ่อ เนื่องจากความใกล้ชิดนั่นเอง

ถ้าใกล้ชิดพ่อก็รักพ่อ   ถ้าใกล้ชิดแม่ก็รักแม่   สินสมุทรในเรื่องพระอภัยมณีไม่รักแม่เท่าใด รักพ่อมาก เพราะว่าพ่อไม่ค่อยดุค่อยว่า ส่วนนางยักษิณีนั้นดุบ่อยๆ สินสมุทรก็ไม่ค่อยชอบเท่าใด คิดอยู่เสมอตลอดเวลา จะพาพ่อหนีไปหาคุณปู่คุณย่าให้ได้ ก็เลยพาหนีเอาจริงๆ

อันนี้เขาเขียนจากน้ำใจคนแท้ๆ สุนทรภู่แกถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องพระอภัยมณี สินสมุทร สุดสาคร อะไรนี่แหละ เอาเรื่องในใจคนมาเผยแผ่ทีเดียวว่า รักอะไรมาก เราอยู่ใกล้แม่ก็รักแม่มาก อยู่ใกล้พ่อก็รักพ่อมาก แล้วถ้าคนใดรักแม่มาก นิสัยใจคอการเดิน การยืน การนั่ง กิริยาท่าทางเอียงไปทางแม่ แต่ถ้ารักพ่อมากเอียงไปทางพ่ออีกเหมือนกัน

   เพราะฉะนั้น คนเขาจึงสังเกตเห็น สมมติว่าเด็กคนหนึ่งเขาไม่ถามว่าลูกใคร แต่เขาก็รู้ว่าเป็นลูกของใคร เป็นคนคุ้นเคยกัน เขาดูหน้าดูตา กิริยาท่าทาง เขารู้ว่า อ้อ เป็นลูกคนนั้น เป็นลูกคนนี้ โดยมากมักจะตรงตามที่รู้ อันนี้ ก็เพราะว่า สมบัติของคุณพ่อคุณแม่ถ่ายทอดมาให้ลูกทุกอย่าง ลูกรับไว้หมด เป็นภาพอยู่ในชีวิตของลูกทั้งเพ เราจึงเห็นได้ง่าย คือว่าพ่อแม่เป็นอย่างนี้

   จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานการ มีเหย้าเรือน เดือดร้อนหันไปหาคุณพ่อคุณแม่ต้องได้ เรื่องหนี้เรื่องสิน เรื่องอะไร ไปถึงกราบเท้า ผมแย่ละครับคุณแม่ เป็นหนี้เขามาก ถ้าไม่ได้ให้เขา คราวนี้เขาอาจจะฟ้อง ผมอาจจะต้องติดคุกติดตะรางก็ได้ แม่ก็ดุคำสองคำเท่านั้นละ ไม่ว่าอะไรดอก ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นละ เอาไปเถอะ ติดคุกติดตะรางลูกจะลำบาก ดุอย่างนั้นละ ได้อีกแล้ว อันนี้ ก็เรียกว่า ทำให้ลูกเสียเหมือนกัน แต่ว่าเพราะรักมากจึงต้องทำอย่างนั้น

 




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2565
0 comments
Last Update : 18 มกราคม 2567 18:16:01 น.
Counter : 165 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space