กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
เมษายน 2565
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
30 เมษายน 2565
space
space
space

อปัณณก-(ต่อ)


ต่อ


   เขาเล่าว่าพระเถระรูปหนึ่ง   ท่านยืนอยู่ที่ปากถ้ำ   แล้วก็มีผู้หญิงเดินผ่านมา ผ่านมาแล้วผู้หญิงเห็นพระยืนซึมๆ อยู่ก็เลยหัวเราะ กิ๊กๆ พอหัวเราะ พระท่านก็เห็นฟัน เห็นฟันนี่ ท่านเห็นว่า เป็นกระดูก  มีผู้ชายเดินตามมาถาม   พระคุณเจ้าอยู่ตรงนี้เห็นผู้หญิงเดินไปหรือเปล่า  ท่านบอกว่า ฉันไม่เห็นผู้หญิง   แต่ฉันเห็นกระดูกเดินไป  คือท่านคิดเป็นกระดูกไป  ฟันนั้นเห็นคิดเป็นกระดูก พอตาประสบกับฟันปั๊บ ท่านคิดเป็นกระดูก ไม่นึกว่าเป็นฟัน
ถ้านึกว่าเป็นฟันมันก็เกิดรักขึ้นมาได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ฟันมันก็ยั่วกิเลสเหมือนกัน ฟันงามๆ ยั่วกิเลส ฟันเรียบร้อย เป็นแวววาวเหมือนไข่มุก เรียงไว้ในปากของหล่อน มันเกิดกิเลส ถ้าดูอย่างนั้นแล้วมันเกิดกิเลส ทีนี้ ให้ดูเพียงฟันเฉยๆ เป็นกระดูกเดินไป ฉันไม่เห็นอะไรมากไปจากนั้น อย่างนี้ เรียกว่า สำรวมเหมือนกัน

   เวลาที่เราออกไปนอกวัดนี่สำคัญ อย่าไปเก็บอะไรๆเอามา ออกไปนอกวัดนั่งรถไปบ้าง เดินไปบ้าง ชมอะไรมักจะนำติดตัวไป คือ อารมณ์นั่นเอง ไปเห็นรูปร่างอะไรต่ออะไรเข้า เอามาคิดมานึก จิตใจฟุ้งซ่าน เพราะไม่สำรวม เช่น ไปบิณฑบาต เห็นคนนุ่งผ้าหลุดๆหลวมๆ เราก็เอามาคิดมาฝัน ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นได้

   สมัยก่อนเคยมี   ครั้งพระพุทธเจ้า   เคยมีผู้หญิงชื่อ สิริมา คือเป็นหญิงโสเภณี แต่ว่าโสเภณีชั้นสูง  อยู่ปราสาท   มีคนรับใช้  พวกที่จะไปนอนด้วยต้องเป็นเศรษฐี เจ้าชาย คหบดีร่ำรวย คืนหนึ่ง ก็ต้อง ๕,๐๐๐ กหาปณะ นอนคืนเดียว ๕,๐๐๐ กหาปณะ  เพราะฉะนั้น ฐานะดี  ต่อมาก็ได้มาฟังธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า  เลิกอาชีพนั้นเป็นอุบาสิกา เลิกอาชีพอย่างนั้น ก็นิมนต์พระไปฉันที่บ้าน ไปรับบิณฑบาตทุกวัน วันหนึ่ง ก็ ๑๕ รูป ผลัดเปลี่ยนกันไป
พระหนุ่มองค์หนึ่งก็นั่งคิดอยู่   เมื่อไรถึงเวรเราสักที  เขาว่าแม่สิริมานี่รูปสวยนักหนา อยากจะไปดูสักหน่อย ก็พอดีวันหนึ่งมาถึงวาระตัวเข้า ก็เลยเข้าไปบิณฑบาต
วันนั้น นางสิริมาแกไม่ค่อยสบายไม่ได้เมคอัพ ธรรมดาๆ พระนั่นก็เห็นว่า นี่ไม่แต่งหน้ายังงามถึงขนาดนี้ ถ้าแต่งจะงามขนาดไหน เลยเอารูปที่ตนเห็นมาด้วย ใส่บาตรมาด้วย มานอนคิดนอนนึกอยู่ จนข้าวบูดไม่ฉัน ไม่ได้ฉันข้าววันนั้น คิดถึงนาง นี่เรียกว่า ไม่สำรวม ไปเอารูปอะไรมา

   ก็พอดีกับวันนั้น   นางสิริมาเป็นลม  ถึงแก่กรรม  คือไม่สบายแล้วก็ตายไป  คนก็มากราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่านางสิริมา ถึงแก่กรรมแล้ว
พระองค์ก็ตรัสสั่งไปยังพระเจ้าแผ่นดิน   บอกว่า   อย่าเอาไปเผาก่อน ให้แต่งตัวนางด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างดี แต่งหน้าแต่งตาให้เรียบร้อย ยกขึ้นวางบนเกวียนน้อย แล้วก็ขับตีไปในเมือง ประกาศว่านางสิริมาตายแล้ว เวลานี้ศพนางสิริมาราคา ๕,๐๐๐ กหาปณะ ใครเอาบ้าง ถ้าเอาก็มารับเอาไปเลย ไม่มีใครเอา
ลดลงมา ๒,๕๐๐ ไม่มีใครเอา ลดลงมาอีก ไม่มีใครเอา ลดจนกระทั่งว่า ๑ กหาปณะไม่มีใครเอา ลดลงมาจนกระทั่งว่า เอาไปเปล่าๆ เลย ไม่มีใครเอาสักคนเดียว  ผลที่สุดก็ต้องเอาไปเผา 
แต่ว่าก่อนจะเผานี่   พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่า พระองค์นั้น กำลังกระสันคิดถึงนางสิริมา ก็เลยบอกว่า เขาจะเผาศพพาพระองค์นั้นไปดูเสียหน่อย ให้ไปยืนดูศพนางสิริมา  เมื่อยังไม่ได้ขึ้นเชิงตะกอน แล้วก็ให้ดูเรื่อยไปจนเขาต้องเผา ไฟแลบผิวหนัง เห็นเนื้อ จนกระทั่งกลายเป็นตอตะโกดำ ดูจนกระทั่งเป็นขี้เถ้า ผลที่สุดก็เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย มองเห็นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลยบรรลุมรรคผลไป นี่เป็นเรื่องตัวอย่าง ไอ้ที่ได้ไปเอารูปนางมาฝันก็เพราะว่าไปเห็น ไม่สำรวมในเวลาบิณฑบาต นั่งชำเลียงดู นางไปใส่คนอื่นก็ไปดู แล้วก็ติดอกติดใจ อย่างนี้ เขาเรียกว่าติดในรูป รูปมัดใจดิ้นไม่หลุด เลยก็เสียหาย


   เพราะฉะนั้น เวลาเราไปไหน ถ้าไปในฐานะแม้จะเป็นชาวบ้านก็ต้องสำรวมเอาไว้บ้าง อย่าไปดูให้มันมาก คือถ้าดูจนเกิดราคะแล้วไม่ได้ ดูเฉยๆได้ ดูพอเห็นว่ามันจะเกิดอะไร รีบสลัดหน้าไปเสีย รีบรู้สึกตัว อย่าเพลิน อย่าหลง ในสิ่งนั้น
ถ้าดูจนเพลิน จนหลงแล้วจะตาย ตายจากคุณงามความดี ถูกกิเลสโจมตีพังไปเลย เสียหาย เพราะฉะนั้น อย่าดูให้นาน พอเห็นว่าเป็นอะไรละก็รีบดูซะ อย่าไปดูนานๆ แล้วเวลาไปก็อย่าไปคิดถึง ผ่านไปเฉยๆ
ถ้าใจมันคิดถึงว่าไม่ใช่ของเรา บอกตัวเองว่าคิดไปทำไม มันไม่ใช่ของเรา ของเรามีแล้ว คิดถึงของเราดีกว่า อย่างนั้นก็ดี ว่าอย่างนั้นแหละ สอนตัวเอง
ถ้ายังไม่มีก็อย่าไปดูเลย ดูก็ไม่ได้ ค่อยดูดีกว่า อะไรอย่างนั้นล่ะ พูดเตือนตัวเองอย่างนี้ ในเมื่อเกิดอะไรขึ้นในใจ ถ้าเราหมั่นสะกิดตัวเอง หมั่นเตือนตัวเองละก็ไม่เสียหาย เรื่องยุ่งยากมันจะไม่เกิด ผลของการสำรวมระวังก็จะเกิดขึ้น


   ไอ้ที่ได้เตือนนั้น หมายความว่า ให้ระวังใจเรา พอใจคิดเขว คอยกำหนดรู้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะใด ถ้าเราคอยสะกิดเตือนใจเราไว้ ไม่เสียคน ไม่เสียคน ไม่ทำชั่ว คนที่ทำชั่วจนเสียคน เพราะไม่เตือนตัวเอง ไม่สะกิดบอกตัวเองว่ามันจะเลอะแล้วนะ ไม่บอกอย่างนั้น ไหลไปตามอารมณ์เพลิน ไปเพลินนักในอารมณ์นั้น เพลินจนตกเหวไม่รู้ตัว นี่คือความเสื่อมของชีวิต เพราะฉะนั้น การระมัดระวังตัวเอง การคอยตักเตือนตัวเองไว้ นี่มันดี


   ทีนี่  การที่เราจะเตือนตัวเองได้นั้น  ก็ต้องรับรู้ว่า  อะไรถูก  อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษแก่ชีวิตของเรา เราต้องรับรู้เรื่องนี้ไว้ แล้วก็เอาไปใช้เป็นหลักวินิจฉัยว่า อันใดถูก อันใดผิด อันใดควร อันใดไม่ควร  ถ้าจะทำสิ่งใดลงไปก็ต้องวินิจฉัยว่า มันถูกหรือผิด มันดีหรือชั่ว เสื่อมหรือเจริญ เราก็รีบแก้ได้   แม้การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน   เราต้องพิจารณาว่าเราอยู่อย่างไร  อยู่อย่างคนก้าวหน้า  หรือว่าอยู่อย่างคนล้าหลัง  เตือนตัวเองอย่างนี้ก็อยู่ในประเภทสำรวมเหมือนกัน   หมายความว่า   ระมัดระวังไว้   ระวังความคิดไว้  ระวังสิ่งที่มากระทบทุกแง่ทุกมุม ไม่ให้เกิดยินดียินร้าย เราก็ปลดอภัย อันนี้เป็นประการหนึ่ง

 




 

Create Date : 30 เมษายน 2565
0 comments
Last Update : 30 เมษายน 2565 13:06:54 น.
Counter : 347 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space