We Have Always Lived in the Castle (2018) บนดวงจันทร์ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
''ฉันจะพาเธอไปดวงจันทร์ ที่นั่นมันสวยมาก บนดวงจันทร์นั้นเรามีทุกอย่าง''
วันนี้เขียนถึงหนังเรื่อง We Have Always Lived in the Castle ซึ่งจริงๆ หนังเรื่องนี้ยังไม่มีชื่อไทย เพราะไม่ได้เข้าฉายในไทย แต่ฉบับหนังสือที่เขียนโดย Shirley Jackson มีจำหน่ายทั่วไปในร้านหนังสือไทย โดยมีชื่อไทยว่า
'' บนดวงจันทร์ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ'' จึงขอหยิบยืมมาเป็นชื่อภาษาไทยของหนังเลยละกัน
เริ่มด้วย Shirley Jackson ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ เคยมีผลงานอันโด่งดังคือ The Haunting of Hill House ซึ่งตัวนิยายจะมีบรรยากาศลึกลับๆ เล่นกับจิตใจคน เนื้อเรื่องถือว่าสนุกน่าติดตาม (แต่ฉบับซีรีส์ของ Netflix ยังไม่เคยดูนะ)
ทำให้พอรู้ว่ามีหนังสือ We Have Always Lived in the Castle วางขาย จึงสนใจมาก และก็ไปซื้อมาเก็บไว้เล่มนึง แต่จนทุกวันนี้ยังไม่มีโอกาสหยิบมาอ่านเลย จนมาเจอฉบับหนัง ที่แสดงนำโดย Alexandra Daddario ใครกันจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ
ทำให้ตอนนี้มีโอกาสได้ดูฉบับหนังจบไปแล้ว (แต่นิยายยังไม่ได้แตะ)
โดยหนังเล่าถึงสองพี่น้อง ''แบล็ควูด'' คือ 'แมริแคท' กับ 'คอนสแตนซ์' และอาจูเลียน ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเคยเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ถูกฆาตกรรมหมู่ด้วยยาเบื่อหนู จนเหลือแค่สามคน ทำให้ทั้งสามต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยความเจ็บปวดลึกๆ จนกระทั่งการโผล่มาของ 'ชาร์ลส์ แบล็ควูด' ลูกพี่ลูกน้องในครอบครัว ที่มาพร้อมภัยคุกคามอันน่ากลัว
ตอนแรกๆ หนังเดินเรื่องด้วยช้าๆ ซ่อนปริศนา บทสนทนาแปลกๆ ที่พอจะสัมผัสได้ว่า ''สองพี่น้องแบล็ควูด'' อยากจะปกป้องอยู่ด้วยกันจากทุกสิ่งทุกอย่าง มิอยากให้สิ่งอื่นใดจากภายนอกมายุ่งกับพวกเธอ เพราะนอกจากพวกเธอ และอาจูเลียน ที่โดนผลกระทบจากยาเบื่อหนูจนพิการเเล้ว คนอื่นล้วนอันตรายทั้งสิ้น
หนังเดินเรื่องน่าสนใจในแบบของมัน ถ้าใครชอบดูหนังแนวลึกลับแนวประมาณ Stoker (2013) เรื่องนี้จะมีแนวทางประมาณนั้น
ตัวหนังจริงๆ ด้านเนื้อหา และการเล่าเรื่อง อันนี้น่าจะอยู่ที่ตัวบุคคลเลยนะ บางคนถ้าไม่ชอบหนังแนวลึกลับ ดูเครียดๆ บรรยากาศไม่น่าไว้ใจ ตัวละครจิตๆ อาจจะไม่ใช่ทางได้เลย
แต่ถ้าใครผ่านหนังแนว Tim Burton มาแล้วชอบ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะดูหนังเรื่องนี้ได้แบบไม่มีปัญหา แต่จะชอบหรือเปล่าคืออีกเรื่อง
ด้านนักแสดงก็ได้ทั้ง Alexandra Daddario, Taissa Farmiga และ Sebastian Stan มาแสดงนำ แต่น่าเสียดายหนังยังดึงศักยภาพของทั้งสามมาใช้ได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ คือยังดูเฉยๆ มากๆ
โดยรวมเป็นหนังที่เรียกว่าแนวเฉพาะกลุ่มจริงๆ ทั้งเนื้อเรื่อง และการเล่าเรื่อง แม้ตัวหนังโดยรวมส่วนตัวยังคิดว่ายังไม่โดนเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้อยากไปหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเลย เพราะเชื่อว่าน่าจะมีแง่มุมที่น่าสนใจ ที่ตัวหนังยังเล่าไม่ถึงซ่อนอยู่แน่ๆ
คะแนนความชอบส่วนตัว 6.5/10