แต่ด้วยการที่บรรพบุรุษของเขาย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่แผ่นดินอเมริกาตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก และการได้ย้ายที่อยู่บ่อยๆในช่วงวัยเด็ก ทำให้ในละแวกบ้านของเขาแทบไม่มีเพื่อนชาวยิวเลย กล่าวก็คือตัวตนของเขาเริ่มห่างไกลกับคำว่า 'ยิว' ไปทุกที
แต่ความเป็นยิวของเขาทำให้เขาแปลกแยกกับคนละแวกนั้น รวมถึงเพื่อนในโรงเรียนต่างๆ ทำให้เขามักจะถูกแกล้ง และเหตุผลนี้ทำให้เขามักจะทำนั้นแนวที่หลบหนีจากอะไรบางอย่างด้วย ศัตรูเป็นตัวอะไรที่น่ากลัวกว่า ไล่มาตั้งแต่รถบรรทุก ฉลาม ไดโนเสาร์ หรือแม้แต่นาซีในอินเดียน่า โจนส์
แต่สุดท้ายภายในเขาคือชาวยิว และมันต้องเป็นชาวยิวแท้ๆ ที่จะถ่ายท้องเหตุการณ์อันโหดร้ายแบบในหนัง Schindler's List ได้อย่างชัดเจน แม้ในตอนเเรกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมทำหนังเรื่องนี้และพยายามจะผลักดันให้ผู้กำกับมือดีคนอื่นมาทำแทน
แต่ในที่สุดเขาก็ยอมลงมือกำกับหนังเรื่องนี้เอง และมันก็เป็นหนังเรื่องแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าผู้กำกับคนนี้ไม่ใช่แค่ผู้กำกับหนังเน้นเอาบันเทิง แต่เป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องหนักๆผ่านมุมมองของความโหดร้ายได้เหมือนกัน
หนังเปิดเรื่องโดยการให้แสงไฟจากเทียนค่อยๆดับลง ความโหดร้ายและความสิ้นหวังค่อยๆ มาเยือน และความหลากสีของเรื่องถูกย้อมไปด้วยสีขาวดำ หนังเดินเรื่องด้วยภาพขาวดำเพื่อปกปิดความโหดร้าย ที่สื่อให้เห็นแบบจะแจ้ง และปกปิดสีของดอกไม้ สีของพื้นหลังที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ในเรื่องราวอันแสนหดหู่เช่นนี้
ตลอดสามชั่วโมงกว่าๆ เราจึงต้องอยู่กับสีขาวดำ แต่ก็มีเด็กหญิงสวมชุดแดงโผล่เข้ามา เด็กคนนั้นวิ่งออกมาท่ามกลางเหตุการณ์อันโหดร้าย ชาวยิวถูกฆ่า ถูกใช้เป็นเเรงงาน ถูกไล่ต้อนให้จนมุม แต่เด็กคนในชุดสีแดงคนนี้เป็นสีเเห่งความหวังที่วิ่งมาโดยไม่มีใครสนใจ
มันก็เหมือนกับสื่อให้เราคือผู้นำของประเทศต่างๆในยุคนั้น พวกเขารู้ว่าเกิดเหตุการณ์ร้าย รู้ว่าชาวยิวที่จับ ถูกใช้งาน และถูกฆ่าอย่างทารุณ แต่จะมีใครบ้างที่คิดทำอะไรจริงๆจังๆ เพื่อหยุดเหตุการณ์เหล่านี้เลย
ภาพของหนังจึงเต็มไปด้วยเหตุการณ์หดหู่ๆ ที่ทำร้ายเรามาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ตลอดสามชั่วโมงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หดหู่ และเครียด เป็นหนังที่ดีแต่ถ้าจะให้หยิบมาดูบ่อยๆก็คงไม่ไหว เพราะมันโหดร้ายกับจิตใจเกินไป
''ชีวิตแม้มันจะสั้น แต่มันก็คือชีวิต''
คะแนนความชอบส่วนตัว 9/10