The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes (2023) เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม
หนังเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ ''เกมล่าชีวิต ครั้งที่ 10'' ในตอนนั้น สาวจากเขต 12 ที่ถูกคัดเลือกมาเล่นเกมนี้ก็คือ 'ลูซี่ เกรย์' เธอต้องร่วมมือกับ 'คอริโอเลนัส สโนว์' ในวัยหนุ่ม (ประธานาธิบดีสโนว์ตัวร้ายจากภาคก่อนๆ ที่เหตุการณ์เกิดหลังจากภาคนี้) เพื่อเอาชีวิตรอดจากเกมล่าชีวิตครั้งนี้ ซึ่งทางลูซี่ เกรย์เพียงอยากเอาชีวิตรอด ส่วนสโนว์อยากพิสูจน์ตัวเอง จนนำไปถึงการร่วมมือ ความสัมพันธ์แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไปจนถึงการสำรวจความดำมืดที่ซ่อนไว้ในก้นบึ้งลึกๆ ของจิตใจ
โดยหนังภาคนี้จะเน้นความสัมพันธ์ของ 'คอริโอเลนัส สโนว์' กับ 'ลูซี่ เกรย์' ชายหนุ่มจากแคปิตอล กับ สาวจากเขต 12 ที่ความสัมพันธ์ยังไงก็ไม่น่าไปกันได้ ถ้าจะบอกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบความรัก อันนี้คือห่างไกลเลย แต่ถ้าบอกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบต่างคนต่างต้องพึ่งพาอีกฝ่ายเพื่อตัวเอง อันนี้น่าจะใกล้เคียงกว่า เพราะเมื่อความสัมพันธ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น จุดตัดของหนัง บทสรุปในท้ายที่สุด มันน่าจะเจ็บปวด แม้จะไม่ใช่เจ็บปวดเพราะความรัก แต่มันก็เจ็บปวดอยู่ดี
ด้านฉากแอ็คชั่น เอาตัวรอด ในหนังภาคนี้จะมีไม่เยอะเหมือนฉบับของ ''แคตนิส เอฟเวอร์ดีน'' เพราะตัวละคร ''ลูซี่ เกรย์'' ไม่ได้เก่งด้านต่อสู้ เธอเพียงแค่เอาตัวรอดตามสถานการณ์ไป และหนังก็ไม่ได้เน้นตรงเกมล่าชีวิตด้วย แต่เธอมีจุดเด่นตรงมีเสียงอันทรงพลัง เสียงเพลงของเธอสามารถทำให้หลายๆ คนหลงใหลได้
ตัวหนังจึงเพิ่มจุดแข็งตรงเสียงร้องเพลงของ Rachel Zegler ที่ไพเราะทรงพลังจับใจ (จริงๆ อยากให้เธอมาทางนี้น่าจะเหมาะนะ) ส่วน Tom Blyth ในบทสโนว์ก็เล่นดีไม่แพ้กัน คือสามารถเล่นบทได้หลายอารมณ์เลย ทั้งซีนที่ต้องใช้ความเห็นใจ ความเมตตา หรือแม้แต่ซีนที่แสดงถึงด้านมืดของอำนาจ เขาก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน
ตัวหนังโดยรวมหนังค่อนข้างยาว และไม่ได้เน้นความทรงพลัง ปลุกระดมคนลุกฮือเหมือนฉบับ 'แคตนิส เอฟเวอร์ดีน' แต่จะได้จุดแข็งตรงที่เราได้เฝ้าดูสองตัวละครค่อยๆ ปล่อยตัวเองเข้าถึงด้านมืดแบบที่เรารู้ปลายทางกันอยู่แล้ว (เสมือนดูอนาคินใน Star Wars) และเสียงบทเพลงที่ไพเราะ ทั้งระหว่างดูหนัง ยันฉากจบ End credit ที่เพลง Can’t Catch Me Now ของ Olivia Rodrigo ที่ทั้งไพเราะ ลึกซึ้ง และสรุปความหมายของเรื่องราวทั้งหมดได้ดี
คะแนนความชอบส่วนตัว 7/10