คริสเดินตัวลอยตามคุณลักษณากลับเข้าไปในบริเวณที่จัดงาน ตอนนี้เขาอยากอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะนับแต่วินาทีนั้นสายตาของมารดาลลิตาก็จับจ้องมาที่เขาตลอดเวลา ชายหนุ่มเดินอย่างมึนงงเข้าไปหาคู่หมั้น พอลงนั่งข้างเธอได้เขาก็คว้าแก้วเหล้าที่ทิ้งดายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วส่งสัญญาณกับพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ใกล้ๆ ให้นำเหล้ามาให้อีกแก้วหนึ่ง
ลลิตาซึ่งสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความสุข ส่งยิ้มหวานแฉล้มให้คริส ถามด้วยเสียงอ้อนกระหนุงกระหนิงอย่างที่เขาเคยชอบฟังว่า
“พี่หายไปไหนตั้งนานคะ? ลิตาอยากเต้นรำกับพี่ คืนนี้เราเพิ่งเต้นกันได้ไม่กี่เพลงเอง”
ความจริงชายหนุ่มไม่นึกอยากจะทำอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่สามารถปลีกตัวอยู่ตามลำพังได้เขาก็อยากจะนั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆอย่างนี้ ดื่มให้เมาไปเลยจะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัวใจ แต่คำร้องขอของเธอผู้นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยปฏิเสธมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนสำคัญของเธอและเขาอย่างคืนนี้ ควรหรือที่จะปฏิเสธเธอให้เสียน้ำใจ เธอผู้เป็นที่รักที่เสน่หามายาวนานเกือบสิบปี เธอผู้ที่เขากระทำการประหนึ่งทรยศหักหลัง แอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
แม้หัวใจกำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แต่คริสก็ไม่อาจทำร้ายลลิตาผู้ไม่มีความผิด ให้เสียใจหรือสงสัยในสีหน้าท่าที ที่เปลี่ยนไปของเขาในตอนนี้ได้ เขาไม่ไว้ใจตัวเองว่าจะไม่ทำพิรุธออกมาให้เธอสงสัย ทางที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือพาเธอออกไปเต้นรำเสีย ฟลอร์เต้นรำที่แน่นขนัดและมืดสลัว คงจะช่วยอำพรางสีหน้าแววตาที่ผิดปกติ จากสายตาที่ช่างสังเกตของลลิตาได้บ้าง ตอนนี้มันกระทันหันเกินกว่าที่เขาจะกดเก็บความเจ็บปวดในหัวใจ เอาไว้ลึกๆไม่ให้ลลิตาเห็นได้ เขาต้องการเวลาเพื่อปรับสีหน้าแววตาของตัวเอง
คริสประคองคู่หมั้นคนงามออกไปบนฟลอร์ โอบร่างของเธอไว้ในวงแขน เคลื่อนคล้อยไปตามจังหวะดนตรีที่นุ่มนวลอ่อนหวาน ลลิตาสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดที่รัดรึงเธออย่างแนบแน่น ผิดไปจากการเต้นรำสองสามเพลงแรก ที่มีโอกาสได้เต้นด้วยกันก่อนหน้านี้ หัวใจของหญิงสาวเอิบอาบด้วยความสุข ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าผู้ชายคนที่กำลังกอดรัดเธออยู่นี้ กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยึดเธอเป็นที่พึ่ง ช่วยเหนี่ยวรั้งส่วนหนึ่งของหัวใจที่ปลิวตามผู้หญิงอีกคนหนึ่งไปแล้ว ให้กลับคืนสู่ที่เดิมของมัน ที่เดิม...ที่เคยมีเธอเป็นเจ้าของครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
“พี่คริสคะ ลิตามีความสุขมากเลย พี่ล่ะคะ รู้สึกเหมือนลิตาไหม” ลลิตาเงยหน้าขึ้นฉะอ้อนถามเขา ดวงตาคู่งามของเธอเจิดจรัสบ่งบอกถึงความสุขจนล้นหัวใจ
ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจกับความผิดของตัวเอง เขาเลี่ยงที่จะไม่ต้องตอบคำอ้อนของเธอ ด้วยการกดคางลงบนกลุ่มผมที่มีกลิ่นหอมระรวยของลลิตานิ่งอยู่อย่างนั้น แม้หัวใจของเขากำลังร้าวระบมด้วยเหตุที่เกิดจากหญิงอื่น คริสก็แสนสงสารผู้หญิงในอ้อมกอดที่เขาเพิ่งประจักษ์เป็นครั้งแรก ว่าความรู้สึกของเขาต่อเธอในตอนนี้ไม่เต็มเปี่ยมเหมือนเดิมเสียแล้ว เงาบางๆของอะไรอย่างหนึ่ง กำลังเคลื่อนตัวรุกล้ำเข้ามาอย่างแช่มช้า แต่มั่นคงและเงียบกริบ
เขาจะทำอย่างไรต่อไปจึงจะยุติธรรมต่อลลิตา เป็นไปได้อย่างไรที่คนอย่างเขาจะรักผู้หญิงสองคนได้พร้อมๆกัน หญิงหนึ่งเป็นหลักชัยที่เขายึดมั่นตลอดมา เป็นความรักที่สุจริตไม่เคยคิดจะทำให้เสียหาย แต่อีกหญิงหนึ่งเล่า ผู้หญิงคนที่เขาไม่เคยคิดว่ารัก แต่ทำไมเพียงได้เห็นหน้าเธอเมื่อครู่ก่อน เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของตัวเองต่อเธอ ที่ทั้งรุ่มร้อนและอ่อนหวาน ปรารถนาจะได้ชิดใกล้เป็นเจ้าของครอบครองเธอ แม้หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขื้นก็ยอม
ทันทีที่ความคิดเช่นนั้นเกิดขึ้นคริสก็ใจหายวาบ รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถจะยอมรับได้ว่าเขากลายเป็นผู้ชายหลายใจไปแล้ว
“ลิตา” เขากระซิบแผ่วๆแต่เร่งร้อนอยู่ใกล้หูเธอ “เรารีบแต่งงานกันดีไหม พี่ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวหรอกว่าคำพูดที่หลุดออกจากปากเขาในตอนนั้น คือพลังกดดันที่พยายามจะเสริมสร้างความมั่นใจในความรักของเขาต่อลลิตา เป็นความพยายามอย่างแรงกล้าที่จะบอกตัวเองว่า เขายังรักเธอเพียงคนเดียวอยู่เหมือนเดิม ไม่มีผู้หญิงคนใดจะแทรกซ้อนเข้ามาในหัวใจของเขาได้
เสียงที่แม้จะเบาหวิวแต่ก็สั่นพร่าด้วยแรงกดดันของคริส ทำให้ลลิตาแปลกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองตาเขา “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ อยู่ๆก็มาเร่งเรื่องแต่งงาน”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ชายหนุ่มพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ “เพียงแต่อยากอยู่กับลิตาเร็วขึ้นเท่านั้น หรือว่าลิตายังไม่อยากแต่ง?”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส มองเขาอย่างเอ็นดู “โถ..ทำไมลิตาจะไม่อยากแต่งกับพี่ล่ะคะ ฤกษ์แต่งงานของเราที่แม่ลิตาหามาให้ก็อีกแค่สองเดือนกว่าๆเท่านั้น หรือพี่เกิดใจร้อนอยากแต่งขึ้นมาวันนี้พรุ่งนี้ อย่าลืมสิคะว่าเรายังต้องเตรียมอะไรต่ออะไรอีกตั้งหลายอย่าง สถานที่จัดงานก็ยังไม่ลงตัว คุณป้ากับแม่ของลิตายังโต้กันเรื่องนี้ไม่จบเลย”
ลลิตาให้เหตุผลยืดยาวในขณะที่หัวใจเป็นสุขอย่างยิ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาจากการหายตัวไป ที่คริสเป็นฝ่ายออกปากเร่งรัดการแต่งงาน ความจริงเธออยากแต่งงานกับเขาตั้งแต่ตอนที่เขากลับมาใหม่ๆ ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ผัดผ่อนเรื่อยมาโดยอ้างเรื่องงาน ว่าเขาควรจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับงานของเขามากขึ้นกว่าเดิมสักระยะหนึ่ง เพื่อชดเชยกับช่วงที่เขาหายตัวไปเสียก่อน
แล้วต่อมาก็อ้างเรื่องต้องเดินทางไปที่โน่นที่นี่ด้วยเรื่องงาน จนเวลาผ่านไปอีกเป็นปี ทำให้ความมั่นใจของเธอค่อยๆลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาลลิตาเป็นฝ่ายร้อนใจอยากให้การแต่งงานเกิดขึ้นโดยเร็ว แต่ความเป็นหญิงทำให้ไม่อาจเอ่ยปากเร่งรัดเขาได้
คริสกอดร่างลลิตาแน่นขึ้นกว่าเดิม พึมพำว่า “นั่นสินะ จะแต่งงานทั้งทีก็ต้องจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเสียก่อน”
เต้นรำกันไปเงียบๆเพลงแล้วเพลงเล่า ในที่สุดชายหนุ่มก็บอกลลิตาว่า “จะต้องเตรียมอะไรมั่งก็บอกพี่แล้วกัน”
“แม่ของลิตากับคุณป้ากำลังเตรียมกันอยู่ค่ะ ที่ลิตากับพี่ต้องจัดการกันเองก็คงจะเรื่องเสื้อผ้า เมื่อ 2-3 วันมานี้ลิตาไปเห็นชุดเจ้าสาวชุดหนึ่ง สวยสุดใจเลย ว่าจะชวนพี่ไปดู แต่แม่ลิตาอยากให้ตัดใหม่ แม่บอกว่าเราแต่งงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” หญิงสาวเล่าให้เขาฟังอย่างมีความสุข
“พี่ก็เห็นด้วยกับคุณน้านะ ตัดเอาใหม่เถอะ แพงเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา ขอให้สวยสมกับลิตาก็พอแล้ว งานของเราอีกตั้งสองเดือน ทันถมเถ”
ลลิตาแหงนหน้าขึ้นจูบแผ่วๆที่ปลายคางของคริส อ้อนเขาด้วยเสียงหวานๆว่า “ขอบคุณค่ะพี่ ลิตาสัญญาว่า ไม่ว่าจะแต่งกันที่ไหน ลิตาก็จะพยายามเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดให้พี่ภูมิใจให้ได้”
คืนนั้นเมื่อขับรถไปส่งลลิตาที่อพาร์ตเมนท์ของเธอ คริสอิดออดไม่ค่อยจะยอมจากลลิตาเสียเลย อาการเหมือนไม่อยากพรากจากเธอของเขาในคืนนี้ ทำให้หญิงสาวทั้งดีใจและแปลกใจ เขาเฝ้าแต่อิงแอบแนบชิดอยู่กับเธอบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ประเดี๋ยวกอดประเดี๋ยวจูบราวกับเด็กหนุ่มแรกรัก แต่แล้วอีกประเดี๋ยวต่อมาเขาก็ทอดถอนใจ
เสียงถอนใจยืดยาวของคริสทำให้ลลิตาถามขึ้นมา อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่า “วันนี้พี่เหนื่อยมากหรือคะ ถอนใจเหมือนเหนื่อยหลายครั้งแล้ว ถ้าเหนื่อยพี่ก็กลับบ้านไปพักผ่อนเสียเถอะ พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่”
คำถามซื่อๆที่แสดงถึงความห่วงใยของเธอต่อเขา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มนึกสงสารลลิตามากขึ้น จนต้องกระชับแขนกอดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม ซบหน้าลงบนศีรษะที่อิงแอบซุกซบอยู่บนอก อ้อมแอ้มแก้ตัวว่า
“คงเหนื่อยนิดหน่อย แต่อย่าเพิ่งไล่พี่กลับบ้านเลยนะ ขอกอดลิตาอยู่อย่างนี้อีกสักพักแล้วพี่จะกลับบ้าน ได้ไหม?”
ลลิตากอดตอบเขาอย่างแนบแน่นไม่แพ้กันเมื่อตอบเสียงใสว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ลิตาอบอุ่นใจจะตายเวลาที่พี่กอดลิตาแบบนี้”
คริสอ้อยอิ่งอยู่กับคู่หมั้นอีกนานกว่าจะเอ่ยปากลาเธอได้ แต่แล้วแทนที่จะตรงกลับบ้านเหมือนที่บอกลลิตา เขากลับไปนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวในผับเล็กๆเงียบๆแห่งหนึ่ง
ตอนนี้เมื่อห่างจากลลิตาออกมา หัวใจที่บังคับไม่ได้ของเขาก็ติดปีกบินไปหาผู้หญิงอีกคนหนึ่งทันที ผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าตามหามานานแต่ไม่เคยได้พบ แล้วอยู่ๆเมื่อเขาคิดว่าตัดใจจากเธอได้แล้ว เพราะเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบจากเขาและคงมีชีวิตใหม่ไปแล้ว เธอก็กลับมาปรากฏตัวในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่คาดฝันราวกับปาฎิหารย์
เธอกลับมาทำไม? หรือตอนนี้เธอต้องการให้เขารับผิดชอบในความผิดที่ได้ทำลงไป ถ้าเช่นนั้นทำไมเธอจึงเพิ่งจะปรากฏตัวออกมาในตอนนี้ ตอนที่เขาผูกมัดตัวเองกับลลิตาแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยการประกาศความเป็นคู่หมั้นกันอย่างเปิดเผยเป็นทางการ ต่อหน้าสักขีพยานเต็มห้อง ทำไมเธอจึงไม่มาให้เร็วกว่านี้?
เมื่อถามตัวเองต่อไปว่าแม้ตอนนี้เขาจะหมั้นกับลลิตาอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ถ้าทิพย์สุรางค์ยังไม่ได้แต่งงานไปกับใครและต้องการให้เขารับผิดชอบ เขาจะทำอย่างไรต่อไป คำตอบที่ได้ที่ทำให้เขาตกใจคือเขาก็พร้อมที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
คำตอบที่เพิ่งค้นพบทำให้คริสยิ่งทุรนทุรายมากขึ้น เขาจำเป็นต้องพบกับทิพย์สุรางค์ไม่ว่าเธอจะอยากพบเขาหรือไม่ คุณธรรมประจำใจที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะมาตั้งแต่เยาว์วัย ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแบบไทยๆที่เคยเรียนรู้มายาวนานบอกเขาว่า การเสียตัวของผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนในวัฒนธรรมแบบตะวันตกของเขา
ที่สำคัญคือชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าทิพยสุรางค์รู้หรือไม่ ว่าเขาไม่เคยลืมสัญญาในจดหมายฉบับนั้น เขาได้ทำตามคำสัญญานั้นแล้วอย่างถึงที่สุด ถ้าเธอไม่เคยรู้เธอก็อาจจะคิดว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย ที่ทำร้ายทำลายผู้หญิงคนหนึ่งให้เสียหาย แล้วหลีกลี้หนีหน้าไปโดยไม่คิดจะกลับไปรับผิดชอบ เขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคลียร์เรื่องนี้กับทิพย์สุรางค์ อย่างน้อยก็เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขา ที่จะไม่ยอมถูกกล่าวหาว่าผิดสัญญากับใคร
แล้วในที่สุดก็มาถึงปัญหาสำคัญ เขาจะพบทิพย์สุรางค์ได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เธอมาร่วมงานของเขาในฐานะแขกของใคร คิดวุ่นวายอยู่พักหนึ่งชายหนุ่มก็นึกถึงบ็อบ โฮเวิร์ด เพื่อนนักธุรกิจของบิดาขึ้นมาได้ เขาควรจะเริ่มต้นตรงนั้นไม่ใช่หรือ ในเมื่อคนที่ขอสลับคู่เต้นแล้วส่งทิพย์สุรางค์เข้ามาในอ้อมแขนเขาคือชายวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะเป็นความหวังริบหรี่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่อาจจะนำเขาไปสู่หญิงสาวคนนั้นได้ นอกจากนี้เขาไม่เห็นหนทางใด
แต่แล้วคริสก็นึกถึงความไม่เหมาะสมที่จะบุ่มบ่ามเข้าไปถามเรื่องคู่เต้นรำ กับผู้ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเขามาก แล้วพอนึกถึงบ็อบ โฮเวิร์ด เขาก็นึกถึงเจนนิเฟอร์ บุตรสาวของนักธุรกิจใหญ่ผู้นั้นขึ้นมาได้ เขานึกออกแล้วว่าหญิงสาวผู้นั้นเคยโทรมาถามว่า เธอจะพาเพื่อนผู้หญิงมาร่วมงานของเขาได้หรือไม่ ตอนนั้นเขาคิดว่าคงเป็นเพื่อนสาวชาวอเมริกันเช่นเดียวกับเจนนิเฟอร์ แต่ตอนนี้เพื่อนที่ว่านั้นอาจจะเป็นทิพย์สุรางค์ก็ได้
วันรุ่งขึ้นคริสโทรศัพท์ไปถามเจนนิเฟอร์ถึงเรื่องเพื่อน คนที่เธอขออนุญาตพาไปร่วมงานด้วย และเมื่อได้รับคำยืนยันว่าเป็นทิพย์สุรางค์จริง ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะขอนัดพบกับเธอ
เจนนิเฟอร์ทำหน้าเจื่อนๆ เมื่อพบหน้าคริส คืนที่ผ่านมาเธอได้โทรศัพท์พูดคุยกับทิพย์สุรางค์ และรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว
“เจนนี่ ผมอยากพบเพื่อนของคุณสักครั้ง คุณจะช่วยบอกที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของเธอให้ผมได้ไหม” คริสเปิดประเด็นทันทีโดยไม่มีอารัมภบท
เจนนิเฟอร์รู้สึกอึดอัดเมื่อนึกถึงคำขอร้องของทิพย์สุรางค์ ที่ห้ามเธอให้ข้อมูลแก่คริส แต่เมื่อเห็นสีหน้าขรึมแกมเศร้าและแววตาวิงวอนของผู้ชายตรงหน้า เธอก็เริ่มสงสัยและอยากรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่กับเพื่อนของเธอ
“บอกฉันก่อนได้ไหมว่าทำไมถึงอยากพบเขา?”
คริสนิ่งอึ้ง ไม่แน่ใจว่าหญิงสาวผู้นี้รู้เรื่องระหว่างเขากับทิพย์สุรางค์มากน้อยแค่ไหน ในที่สุดก็ตัดสินใจถามเธอว่า “คุณหนู เอ้อ..ผมหมายถึงทิพย์สุรางค์ พักอยู่กับคุณหรือเปล่า?”
“เคยพักตอนที่มาอเมริกาใหม่ๆ แต่ตอนนี้ย้ายออกไปแล้ว” เจนนิเฟอร์ให้ข้อมูลอย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างสงสัย ถามต่อทันทีว่า “เธอมาอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกผมได้ไหม”
“ก้อ..ประมาณสองปีกว่าๆ”
คริสประเมินเวลาอย่างรวดเร็วแล้วก็ได้คำตอบว่า ทิพย์สุรางค์มาอยู่ที่นี่หลังการเสียชีวิตของคุณดนัยไม่นาน ในขณะที่เขาวิ่งวุ่นเที่ยวตามหาเธอในประเทศไทย
“เธออยู่ในนิวยอร์คนี่ตลอดเวลาเลยหรือ?”
เจนนิเฟอร์พยักหน้า “ใช่”
คราวนี้คริสอึกอักไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามว่า “เธอเคยเล่าอะไรเกี่ยวกับผมให้คุณฟังบ้างหรือเปล่า?”
เจนนิเฟอร์เป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง ใช้เวลานั้นคิดอย่างรวดเร็วว่าควรจะตอบเขาอย่างไร จึงจะได้รู้ถึงใจที่แท้จริงของเขาว่าคิดอย่างไรกับเพื่อนของเธอ
“ทิปปี้กับฉันเรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ พักอยู่ห้องเดียวกันด้วย ตอนอยู่โรงเรียนประจำที่สวิสเซอร์แลนด์ เราสนิทกันมาก” หญิงสาวพูดอ้อมๆ ให้เขารู้ถึงความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิทของเธอกับทิพย์สุรางค์
“ถ้างั้นคุณคงรู้เรื่องระหว่างผมกับเธอหมดแล้วใช่ไหม?”
“ที่จริงทิปปี้คงไม่คิดจะเล่าให้ฉันฟังหรอก เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่พอฉันซักมากๆเขาก็เลยยอมเล่าให้ฟัง” เจนนิเฟอร์พยายามออกตัวให้เพื่อน
“ตอนนี้คุณก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว คุณจะบอกที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของเธอให้ผมได้หรือยัง”
“เดี๋ยวก่อน คุณบอกฉันได้ไหมว่าอยากพบเขาทำไม คุณเพิ่งหมั้นอย่างเป็นทางการกับแฟนคุณเมื่อคืนนี้เองไม่ใช่หรือ? คุณจะพบทิปปี้ไปเพื่ออะไร ไม่สายเกินไปหรอกหรือ?” หญิงสาวพยายามตะล่อมถามเอาความจริงในหัวใจของเขา
ชายหนุ่มอึกอัก ก่อนตอบด้วยสีหน้าแววตาที่เศร้าหมองว่า “ผมกับเธอมีเรื่องต้องทำความเข้าใจกัน โปรดอย่าถามอะไรผมมากไปกว่านี้เลย ขอให้ผมได้พบเธอสักครั้งก่อน”
ความจริงเจนนิเฟอร์อยากจะถามให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ว่าเขารักเพื่อนเธอหรือเปล่า แต่ก็รู้มารยาทว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขากับทิพย์สุรางค์เท่านั้น เธอซึ่งเป็นคนนอกไม่สมควรจะเข้าไปวุ่นวายด้วย
“คริส เรื่องของคุณกับทิปปี้น่ะฉันเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้หรอก แม้ว่าฉันจะสงสัยอะไรบางอย่างก็ตาม”
เธอกำลังสงสัยว่าหนุ่มสาวคู่นี้อาจจะต่างคนต่างรักกัน แต่มีอะไรบางอย่างเป็นอุปสรรคขัดขวางอยู่ ซึ่งคงไม่ใช่เพราะเรื่องคู่หมั้นของเขาอย่างเดียวเท่านั้น
“หมายความว่ายังไง?” คริสมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
เจนนิเฟอร์ถอนใจยาวอย่างอึดอัดเมื่อนึกถึงคำสั่งของเพื่อน “ที่จริงฉันอยากให้ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ของทิปปี้แก่คุณเหมือนกัน อยากให้คุณกับเขาได้มีโอกาสพูดจากัน แต่ทิปปี้ห้ามเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ฉันต้องขอโทษด้วยนะ”
ท่าทางผิดหวังของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้เจนนิเฟอร์นึกสงสาร และยังนึกเลยไปถึงสุ้มเสียงของทิพย์สุรางค์เมื่อคืนนี้ด้วยว่า แม้จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างโกรธแค้นคริส แต่เจนนิเฟอร์ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่เพื่อนของเธอพยายามปกปิดเอาไว้
แล้วในที่สุดเมื่อเห็นความสิ้นหวังในแววตาของคริสที่จับจ้องมองมา หลังจากพยายามอ้อนวอนหลายครั้ง ให้เธอใจอ่อนยอมบอกที่อยู่ของทิพย์สุรางค์ เจนนิเฟอร์ซึ่งมองการณ์ไกลก็ประนีประนอมให้ความหวังแก่คริส
“ความจริงฉันก็เห็นใจคุณมากนะ เอางี้ดีไหม ขอเวลาฉันสักหน่อย ฉันจะลองเกลี้ยกล่อมทิปปี้ดู เผื่อเขาจะใจอ่อนลงบ้าง ได้ผลยังไงฉันจะติดต่อคุณทันที”
สีหน้าที่สลดหมดหวังของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที เขาตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “ขอบคุณมากนะเจนนี่ แต่ระหว่างนี้ผมขอพบหรือโทรศัพท์มาหาคุณบ้างได้ไหม?”
“ได้สิ โทร.หรือมาหาฉันได้ทุกเวลา”
แล้วคนทั้งสองก็แยกทางกันไป ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยความหวังว่าเจนนิเฟอร์จะช่วยเขาได้ ในขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้ทิพย์สุรางค์ใจอ่อนยอมพบหรือพูดคุยกับคริส
เจนนิเฟอร์นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่คริสมีคู่หมั้นแล้วมากมายนัก เธอคิดว่าตราบที่ชายหนุ่มคนนั้นกับคู่หมั้นของเขายังไม่ได้แต่งงานกัน ทั้งสองฝ่ายก็ย่อมยังมีสิทธิเปลี่ยนใจได้เสมอ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร เหมือนที่เพื่อนของเธอยกมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่พบปะพูดจากับคริส
แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจด้วยกันทั้สองฝ่ายมั๊ยคะ