ลลิตาจ้องมองรูปในจอคอมพิวเตอร์ด้วยนัยน์ตาที่พร่าพราย ก้อนสะอื้นตันขึ้นมาจนรู้สึกแน่นหน้าอก เขาคนที่เป็นคู่หมั้นที่รักกันมายาวนาน กำลังจะแต่งงานกับเธอในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือนั่น ที่กำลังโอบกอดผู้หญิงที่อุ้มเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งอยู่อย่างแนบแน่น เด็กคนเดียวกับที่เธอเห็นในรูปถ่ายที่พบในห้องนอนเขา รูปต่อมาก็ยังเป็นเขา ผู้หญิงคนนั้นกับเด็กอีกนั่นแหละ แต่เปลี่ยนเป็นรูปเขากำลังจูบเด็กที่อุ้มอยู่อย่างรักใคร่เอ็นดู มีผู้หญิงคนนั้นยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ
และรูปสุดท้ายคือรูปที่เขาทำท่าเหมือนกำลังขโมยจูบผู้หญิงคนนั้น เห็นได้จากท่าที่เจ้าหล่อนพยายามป้องปัด ในขณะที่เขายื่นหน้าเข้าไปจนเกือบจะสัมผัสแก้ม
ลลิตาหลับตาลงจากภาพบาดใจที่อยู่ตรงหน้า พักใหญ่เธอก็ลืมตาขึ้นมาใหม่ แล้วซูมรูปแต่ละรูปจนเต็มหน้าจอ เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของคริส สีหน้าของคนที่รู้สึกว่ากำโลกทั้งใบไว้ในกำมือ ไม่ใช่สีหน้าที่บางครั้งแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา เห็นโลกมืดดำเวลาที่อยู่กับเธอในระยะหลังๆนี้
หญิงสาวผละจากจอคอมพิวเตอร์ เดินไปนั่งแปะอย่างหมดเรี่ยวแรงบนเก้าอี้นวมนั่งสบายตัวหนึ่ง สมองมึนงงคิดอะไรไม่ออก สับสนทุรนทุรายแพ้พ่ายและสิ้นหวัง แต่อีกอึดใจต่อมา หัวใจที่คับแค้นเพราะถูกหญิงชายและเด็กคนหนึ่ง ช่วยกันกลุ้มรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ก็กระตุกโลดขึ้น พร้อมที่จะต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหมดแรงล้มตายลงไป บอกตัวเองว่าทำไมจะต้องยอมแพ้โดยยังไม่ได้ต่อสู้ รูปแค่สองสามใบนี่น่ะหรือที่จะบีบให้เธอต้องจำนนยอมปล่อยคริสไป รูปจริงหรือรูปปลอมก็ยังไม่แน่ใจเลย
แต่ถึงจะจริง ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรับรู้เลยนี่ ทำเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้แล้วแต่งงานกับเขาไปเสียก็จบ ใครหน้าไหนจะหาญกล้ามาชี้หน้าว่าเธอทำไม่ถูก คนที่ผิดในเรื่องนี้ไม่ใช่เธอ ผู้หญิงคนนั้นคือจำเลยหมายเลขหนึ่ง จำเลยที่หน้าด้านไร้ทั้งศีลธรรมและคุณธรรม บังอาจแย่งชิงชายที่มีเจ้าของจับจองอยู่แล้วโดยชอบธรรม ชายผู้ที่ต้องพลอยตกเป็นจำเลยร่วมไปด้วย เพราะถูกหลอกล่อด้วยเล่ห์เพทุบายของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนที่เธอจะไม่มีวันอภัยให้เป็นอันขาด
แต่สำหรับคริสแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขากลับมาหาเธอ ถึงจะให้อภัยไม่ได้ แต่เธอก็พร้อมจะลดหย่อนผ่อนโทษให้เขา ดูแต่ศาลสิ ยังยกโทษหรือลดหย่อนผ่อนโทษให้เลย ในกรณีที่จำเลยผู้นั้นไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน สมองที่สับสนวุ่นวายของลลิตาเฝ้าเพ้อเจ้อไปเรื่อย จับต้นชนปลายไม่ถูก
อีกครู่ต่อมาลลิตาซึ่งกำลังสับสนวุ่นวายใจ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับหลักฐานดังกล่าว ก็กลับมานั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้อีกครั้งหนึ่ง หัวใจที่ยังไม่ยอมรับความจริง ยังพยายามคิดหาหนทางที่อย่างน้อยก็จะช่วยปลอบใจ ว่าหลักฐานที่แสดงอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ของจริง อาจจะเป็นภาพที่ตกแต่งหรือตัดต่อขึ้นมาหลอกเธอให้เข้าใจผิดก็ได้
รูปพวกนี้ไม่ใช่ของจริง อย่างน้อยก็คงไม่ได้ถ่ายจากสถานที่จริง เป็นไปไม่ได้ สายสืบของมารดาจะเข้าไปแอบถ่ายรูปพวกนั้น ในบ้านของผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไร เพราะเท่าที่ได้ฟังมาจากคริส ที่เล่าให้บิดามารดาของเขาและเธอเองฟังตอนกลับมาใหม่ๆ ว่าเป็นไร่และโรงบ่มยาสูบที่มีอาณาเขตกว้างขวาง มีคนงานหลายสิบคน ก็น่าจะเป็นสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน การลักลอบเข้าไปภายในคงทำไม่ได้ง่ายๆ
แต่เมื่อดวงตาที่พร่าพรายและสมองที่ยังมึนงง เพ่งดูรายละเอียดรอบตัวคนในรูปอยู่หลายนาที ก็เห็นบางส่วนของสิ่งก่อสร้างซึ่งน่าจะเป็นตึกหลังใหญ่ อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเนินใกล้ๆ มองไม่เห็นชัดเพราะมีต้นไม้ใหญ่น้อยล้อมรอบ แต่แล้ว...เมื่อเห็นรถเก๋งสีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่ใกล้บันไดหินกว้างยาว ซึ่งลลิตารู้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าคือรถของคริส ที่ปกติจะเก็บอยู่ในบ้านที่ถนนสาทร เธอก็รู้แจ้งโดยไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป ว่ารูปภาพเหล่านั้นเป็นของจริง
คนทั้งสามในรูปยืนอยู่ด้วยกันบนลานหินกว้าง คนที่ถ่ายรูปพวกนี้คงจะอยู่ในที่สูง เช่นบนต้นไม้ที่อยู่นอกบ้านและซูมกล้องเข้าไป เป็นไปได้ว่าผู้หญิงและเด็กคงจะออกมาส่งคริส ที่จอดรถไว้ตรงลานกว้างนั่น ซึ่งเธอเห็นว่าต่อจากลานนั้นเป็นถนนที่คงจะนำออกไปนอกบริเวณบ้าน
เขามาร่ำลากันตรงนั้นหรืออย่างไร ร่ำลากันถาวรเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะจากกันไปตามทางของแต่ละคน แม่ลูกคู่นั้นก็อยู่กันต่อไปตามลำพังเหมือนเดิม ส่วนคริสก็กลับมาแต่งงานกับเธอตามกำหนด หรือว่าเป็นเพียงการร่ำลาชั่วคราวพร้อมคำมั่นสัญญา ที่จะมาจัดการเรื่องระหว่างเธอกับเขาให้เรียบร้อย เพื่อกลับไปพบกันใหม่ในฐานะชายโสด ที่ไม่มีคู่หมั้นมาเป็นพันธะอีกต่อไป อย่างไรกันแน่ หญิงสาวคิดอย่างร้อนรนว่าเธอจำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัด เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ลลิตาไม่รู้ว่าคริสจะกลับมาอเมริกาเมื่อไร แต่ก็ไม่น่าจะเกินวันสองวันนี้ เพราะเขาต้องกลับมาทำงาน เขาคงจะต้องรีบกลับมารับหน้า ก่อนที่เธอจะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี.อย่างที่ควรจะอยู่ แล้วหญิงสาวก็ได้รับคำตอบกลางดึกของคืนนั้น เมื่อคุณลักษณาโทรศัพท์มาหา
“นี่..ลิตา แม่เพิ่งรู้จากนักสืบว่าคริสเดินทางกลับไปอเมริกาแล้ว เพิ่งขึ้นเครื่องเมื่อสักครู่นี้แหละ กลับไปแล้วเขาคงจะไปหาลิตา ลูกคิดออกหรือยังว่าจะเอายังไง ถ้าเป็นแม่ๆจะถอนหมั้นเสียเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปซักถามเขาหรอก อะไรๆ มันก็ชัดเจนขนาดนี้แล้ว เชื่อแม่เถิดนะ”
บุตรสาวของเธอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบด้วยเสียงต่ำๆ
“ลิตายังไม่ได้คิดว่าจะทำยังไงต่อไป คงต้องรอฟังเขาก่อน ก็อย่างที่แม่ว่า เขาอาจจะไปร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ แล้วก็อาจจะจบกันแค่นั้น”
ฟังเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความหวังของลลิตาแล้ว คุณลักษณาก็อึกอักพูดไม่ออก ไม่กล้าบอกสิ่งที่เธอสันนิษฐาน หลังจากที่มีเวลาพิจารณารูปสามใบนั้นอย่างถี่ถ้วนหลายครั้ง ในช่วงหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เธอเห็นสีหน้าท่าทางของชายหญิงสองคนที่ปรากฏอยู่ในรูป ที่ทำให้สามารถตีความได้อย่างไม่กลัวผิดว่า คนทั้งสองน่าจะตกลงทำความเข้าใจกันได้ด้วยดี เห็นได้จากสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ความสมหวัง
นอกจากนี้ คุณลักษณายังคิดอีกด้วยว่า ถ้าเธอเป็นคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นอะไรกับลลิตา เธอก็คงจะเห็นด้วยว่าพ่อแม่ลูกสามคนนั้นควรจะได้อยู่ด้วยกัน เหมือนพ่อแม่ลูกอื่นๆทั่วไป แต่ลลิตาเป็นลูกของเธอ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่เธอจะเห็นดีเห็นงามไปกับคนอื่นมากกว่าลูกของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม แม้จะเคียดแค้นคริสและเจ็บใจแทนลลิตาที่ถูกเขาทรยศ จนน่าจะแก้แค้นเขาไม่ให้ได้สมหวังกับผู้หญิงคนนั้น แต่คุณลักษณาก็ไม่คิดจะสนับสนุนลลิตาให้แต่งงานกับคริสอีกแล้ว ประสบการณ์ชีวิตบอกให้เธอรู้ว่า ถ้าลลิตาดึงดันที่จะแต่งงานเพื่อเอาชนะผู้หญิงคนนั้น และแม้ว่าคริสจะยอมแต่งงานด้วยก็ใช่ว่าชีวิตแต่งงานจะราบรื่น ในเมื่อเขาสองคนมีลูกด้วยกัน
ลลิตาจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าเขาจะไม่กลับไปติดต่อกันอีกโดยอ้างเรื่องลูก ผู้หญิงผู้ชายที่แต่งงานและเลิกร้างกันไปแล้ว อาจจะกลายเป็นคนอื่นได้ แต่ลูกนั้นไม่สามารถจะเป็นคนอื่นไปได้เลย ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นลูกของพ่อของแม่คนเดิมอยู่วันยังค่ำ ทั้งพฤตินัยและนิตินัย
คุณลักษณาแน่ใจว่าลลิตาคงไม่มีทางจะลืมเรื่องการทรยศขบถรักของคริสครั้งนี้ได้เลยตลอดชีวิต มันจะเหมือนหนามแหลมที่ค้างคา คอยทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บปวดเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา แล้วลูกสาวเธอจะทนอยู่กับคริสได้หรือ ขนาดเรื่องที่สามีนอกใจไปมีสาวๆสวยๆอีกหลายคน แม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรจริงจัง เพราะคุณปราโมชไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูใครถาวร เบื่อขึ้นมาก็เลิกแล้วมีคนใหม่ต่อไป ไม่เคยแอบไปมีลูกกับผู้หญิงคนไหน เธอยังเจ็บปวดทุกข์ทรมานแทบทนไม่ไหว แล้วนี่คริสมีลูกกับผู้หญิงคนนั้นทั้งคน มีหรือที่ลลิตาจะไม่ยิ่งเจ็บปวดมากกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า
และคนอย่างคริสที่คุณลักษณารู้จักมาตั้งแต่เกิด ว่าเป็นคนที่มีจิตสำนึกความรับผิดชอบสูงน่ะหรือ จะไม่มีเยื่อใยใดใดกับลูกของเขา ซึ่งแน่นอนที่จะต้องเผื้อแผ่ไปถึงแม่ของลูกด้วย ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังไม่ยอมแต่งงานไปเสียกับใคร ลลิตาจะเชื่อใจและมั่นใจในความรักของคริสได้อีกต่อไปหรือ ชีวิตแต่งงานที่ต้องคอยหวาดระแวง หมดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จะเป็นชีวิตที่มีความสุขได้อย่างไร
“ทำไมแม่เงียบไปล่ะคะ?” หญิงสาวเริ่มสงสัย “มีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ลิตา แม่กำลังคิดว่าคริสเขาอาจจะตัดสินใจแล้วก็ได้นะ” คุณลักษณาคิดว่าเธอจำเป็นต้องเตือนลลิตาทางอ้อมให้เตรียมตัวเอาไว้
“แม่หมายความว่ายังไงคะ แม่ทราบหรือคะว่าพี่คริสตัดสินใจแล้ว?” เสียงของลลิตาสั่นด้วยความหวาดระแวง “หรือแม่รู้อะไรมาอีก แม่รู้อะไรก็บอกลิตามาเถอะค่ะ อย่าปล่อยให้ลิตาโง่ต่อไปเลย”
คราวนี้คุณลักษณาอึกอัก ไม่อยากจะพูดหรอกเพราะรู้ว่าลูกจะต้องเสียใจ และอีกอย่างเธอก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าคริสจะตัดสินใจอย่างไร เป็นเพียงการสันนิษฐานของเธอเท่านั้น
“เปล่า แม่ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มหรอก” เธอนิ่งไปอึดใจหนึ่งเพื่อหาคำพูดที่จะไม่แสลงใจลลิตาเกินไปนัก “แม่แค่คิดเอาเองน่ะ จะผิดหรือถูกก็ยังไม่รู้เลย”
หญิงสาวที่กำลังกลั้นใจฟังเรื่องที่คิดว่าคงจะร้ายแรง ถอนใจยาวอย่างโล่งอก
“โธ่ แม่ทำให้ลิตาตกใจแทบตาย นึกว่านักสืบแม่รู้มาว่าพี่คริสตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บผู้หญิงคนนั้นไว้เสียอีก”
คราวนี้คุณลักษณาเริ่มเงอะงะ พูดอะไรไม่ออก รู้ทันทีว่าใจไม่แข็งพอที่จะทำลายความหวังที่ขณะนี้คงจะเหลือริบหรี่เต็มทีของบุตรสาว
“เอ้อ..ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่อยากให้ลิตาเตรียมตัวให้พร้อม ไปถึงโน่นแล้วเขาคงรีบไปหาลิตา แม่ถึงอยากให้ลูกเตรียมตัวไว้ก่อน” แต่ในที่สุด เธอก็ยังพยายามเตือนอยู่ดี แม้จะอ้อมเสียไกลก็ตาม
“จะต้องเตรียมตัวอะไรเล่าคะ พี่คริสสิคะที่ควรจะต้องเตรียมตัว อย่างน้อยก็ต้องเตรียมหาข้อแก้ตัวมาให้ลิตา ว่าเขาไปหาผู้หญิงคนนั้นทำไม แล้วยังเรื่องเด็กคนนั้นอีก”
คุณลักษณาสงสารบุตรีจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ โธ่..ลูกเอ๋ย รู้เห็นขนาดนี้แล้วยังทำราวกับว่าคริสจะเหมือนเดิม ไม่นึกสังหรณ์ใจบ้างเลยหรือ ว่าเขาอาจจะมาเอ่ยปากขอยกเลิกการแต่งงานก็ได้ ก็ดูสีหน้าแววตาที่ล้นปรี่ด้วยความสุขของเขาในรูปพวกนั้นสิ ลลิตาตาบอดไปแล้วหรืออย่างไร
ในที่สุดเมื่ออดรนทนไม่ได้ เธอก็ตัดสินใจบอกบุตรสาวแบบอ้อมๆว่า
“ถ้าแม่เป็นลิตาแม่จะเตรียมตัวรับมือกับการตัดสินใจของคริส ซึ่งจะมีอยู่แค่สองอย่างเท่านั้น คือเลิกกับผู้หญิงคนนั้นโดยเด็ดขาด ไม่กลับไปติดต่อเกี่ยวข้องกันอีก หรือไม่ก็ยกเลิกการแต่งงานกับลูกเพื่อไปรับผิดชอบลูกเมียของเขา”
ลลิตาร้องเสียงแหลมดังลั่นเข้ามาในหูของคุณลักษณา
“แม่! แม่พูดแบบนั้นได้ยังไง!? พี่คริสมีสิทธิอะไรที่จะเป็นคนตัดสินใจ แม่พูดเต็มปากเต็มคำได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียพี่คริส เมียบ้าบออะไร อย่างเก่งก็แค่พี่คริสไปมีอะไรด้วยชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถูกมันจับเพราะท้องขึ้นมา แบบนี้น่ะหรือคะที่แม่เรียกว่าเมีย”
เสียงเกรี้ยวกราดของลูกสาวที่แผดเข้ามาในหู ไม่ได้ทำให้คุณลักษณาโกรธ ตรงกันข้ามกลับนึกสงสารและเห็นใจด้วยซ้ำ เธอเข้าใจดีจนเกินจะเข้าใจว่าขณะนี้ลลิตา กำลังเจ็บปวดกับความจริงที่ว่าอย่างถึงที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นความจริง เพราะถ้ารับได้ก็เท่ากับยอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้วเกือบเต็มร้อย คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงและรักษาหน้ามากอย่างลูกสาวเธอน่ะหรือ จะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้โดยไม่รู้สึกอะไร
ถึงคุณลักษณาจะเห็นใจลลิตา ที่อาจจะต้องกลายเป็นผู้แพ้อย่างไม่ยุติธรรม แต่เธอก็รู้ดีว่าสงครามแห่งความรัก ไม่ใช่แค่การแข่งขันของนักกีฬาในสนามกีฬาเท่านั้น แต่เป็นสงครามที่สับประยุทธห้ำหั่นกันในสนามหัวใจ ที่มีคู่แข่งเพียงสองคน ที่ถึงอย่างไรก็คล้ายคลึงกับการแข่งขันในสนามกีฬาอยู่บ้างก็ตรงที่ ในบางครั้งบางกรณีการแพ้ชนะไม่ได้อยู่ที่ฝีมือ
ผู้ชนะไม่จำเป็นต้องมีฝีมือเหนือคู่แข่ง แต่สามารถชนะอย่างพลิกล็อคได้ ด้วยการตัดสินชี้ขาดของกรรมการหรือเจ้าของสนาม ซึ่งอาจจะเป็นคนๆเดียวกัน จะโดยความพอใจส่วนตัว อคติหรืออะไรก็ตาม ที่ช่วยพลิกผู้ที่ควรจะพ่ายแพ้ให้กลับมาเป็นผู้ชนะ อย่างค้านสายตาคนดูทั้งสนามได้เสมอ
คุณลักษณารีบประนีประนอมโดยเร็วอย่างน่าสงสารว่า “จ้ะ จ้ะ แม่ขอโทษด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ลิตาเสียใจหรอก”
หลังจากนั้นเธอก็เงียบกริบ ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย ทั้งๆที่มีอะไรอีกมากมายที่จะเตือนบุตรสาว
“แม่บอกว่าพี่คริสเพิ่งขึ้นเครื่อง ถ้างั้นเขาคงจะมาถึงพรุ่งนี้ ประมาณเที่ยงๆของที่นี่” ลลิตาพูดเหมือนรำพึง
“นั่นสิ” คุณลักษณาพึมพำกับตัวเอง แล้วก็อดไม่ได้อีกตามเคย “แม่ว่าเอางี้ดีไหม ช่วงนี้ลิตาอย่าเพิ่งพบเขาเลย ลูกน่าจะหาเวลาไปที่ไหนสักวันสองวัน จะได้มีเวลาคิดให้รอบคอบ เขามารูปไหนเราจะได้ตอบโต้ได้โดยไม่เสียเปรียบ ดีไหมลูก”
ที่แนะนำเช่นนั้นเพราะคุณลักษณาสังหรณ์ใจว่า คริสคงจะรีบร้อนมาขอเลิกกับลลิตา เพื่อหยุดการเตรียมงานแต่งงานที่กำลังรุดหน้าไป จนใกล้จะถึงวันแจกบัตรเชิญอยู่แล้ว ซึ่งถ้ายังรีรอไม่พูดอะไรอยู่อีก ก็จะทำให้เสียหายมากขึ้นทั้งสองฝ่าย ถ้าบัตรเชิญออกไปแล้วแต่ไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น เธอต้องการให้ลลิตามีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังก่อนที่จะเผชิญหน้ากับคริส จะได้เอาคำพูดของเธอไปไตร่ตรองให้รอบคอบ เพื่อที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น เลิกหลับหูหลับตาหลอกตัวเองอีกต่อไป
คราวนี้ลลิตาไม่คัดค้าน เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ดีเหมือนกันนะคะแม่ ลิตาจะหายตัวไปสักสองสามวัน ให้พี่คริสตกใจเที่ยววิ่งตามหาจนหัวหมุนไปเลย”
บุตรสาวตัดสัญญาณโทรศัพท์ไปนานแล้ว แต่คุณลักษณายังนั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียว ความเป็นห่วงลูกจากคำพูดของลลิตาที่เพิ่งโต้ตอบกัน ยิ่งทำให้กลัดกลุ้มมากขึ้น คืนนั้นเธอกระสับกระส่ายนอนไม่หลับจนต้องลุกขึ้นมากินยานอนหลับ เพื่อเอาแรงไว้หาช่องทางช่วยเหนี่ยวรั้งลลิตา ไม่ให้ทำอะไรที่ร้ายแรงจนเกิดอันตรายแก่ตัวเอง เมื่อเหตุการณ์ผันแปรไปจากความคาดหวัง