เวลาที่หายไป - บทที่ 58
คืนนั้นเมื่อได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสองในห้องชุดของโรงแรมหรูในพัทยา คริสก็ตะกองกอดเจ้าสาวของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เฝ้าแต่กอดจูบเธออยู่นั่นแล้วจนทิพย์สุรางค์ต้องผลักเขาออกห่าง

“ฉันอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” เธอบอกด้วยเสียงอ่อยๆ ไม่สบตาเขา

คริสจูบทิพย์สุรางค์อีกสองสามครั้งแล้วก็ปล่อย ยืนดูหญิงสาวดึงกิ๊บฝอยตัวเล็กๆที่ยึดตรึงผมยาวของเธอเป็นช่อชั้นออกวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนเครื่องประดับที่อยู่บนผมถูกดึงออกไปหมดแล้วก่อนออกเดินทางมาที่นี่

“คุณไปอาบน้ำตอนนี้ก็ได้ ฉันต้องล้างเครื่องสำอางพวกนี้ออกก่อน คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก” ทิพย์สุรางค์บอกคริสที่ยังยืนมองเธออยู่

“ก็ได้” แล้วชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

หลังจากสางผมดกดำยาวแล้วขมวดขึ้นไว้กลางศีรษะ หญิงสาวก็เปลื้องเครื่องแต่งกายออก เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำ เดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็กของคริส ที่พนักงานโรงแรมนำมาวางไว้ให้ในห้องคู่กับกระเป๋าของเธอ

ทิพย์สุรางค์สำรวจสิ่งของในกระเป๋า หยิบเสื้อกางเกงสามสี่ตัวของเขาออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า เอาเครื่องใช้ส่วนตัวเช่นหวี เครื่องโกนหนวด โอดิโคโลญครีมและน้ำยาโกนหนวดและของอื่นๆออกมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ตั้งใจว่าจะเอาไปวางเตรียมไว้ให้เขาในห้องน้ำหลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จแล้ว ส่วนชุดนอนเธอเอาไปวางเตรียมไว้ให้เขาที่ปลายเตียง

อีกครู่ต่อมาคริสก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา ทิพย์สุรางค์หันไปมองแล้วรีบหันหน้ากลับ เขามีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างเอาไว้ มองเห็นแผงอกและต้นแขนที่ล่ำสันแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงาม คริสทำหน้ายิ้มกริ่มเมื่อเห็นท่าทางเขินๆของเธอ แล้วแทนที่จะรีบสวมเสื้อนอนกางเกงนอน ที่เขาเห็นแล้วว่าเธอวางไว้ให้ชายหนุ่มกลับเดินเข้ามากอดเธอเอาไว้

“คุณหนูไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ ผมอาบคนเดียวก็พอแล้วมั้ง”

แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนจะดึงสายรัดเอวเสื้อคลุมให้หลุดออกจากที่ผูกเอาไว้ ทำให้ทิพย์สุรางค์รีบตะครุบมือเขาเอาไว้แทบไม่ทัน หน้าของเธอแดงระเรื่อขณะที่ทำเสียงดุๆเอ็ดเขา

“เอ๊ะ! จะบ้าหรือ ปล่อยฉันก่อน ฉันจะไปอาบน้ำ”
“โธ่ แค่นี้ก็ต้องดุด้วย” เขาบ่น แต่ก็ยอมปล่อยตัวเธอโดยดี

หลังจากที่ทิพย์สุรางค์เข้าห้องน้ำไปแล้วคริสก็เปลื้องผ้าเช็ดตัวออก สวมเสื้อกับกางเกงนอนเข้าไปแทน เดินเข้าไปในห้องติดกันที่มีตู้เย็นเล็กๆ หยิบเบียร์ออกมากระป๋องหนึ่งแล้วเดินออกไปที่ระเบียงกว้างข้างนอกห้อง ซึ่งมีเก้าอี้นอนยาวสองตัวพร้อมด้วยโต๊ะกลมเล็กๆสำหรับวางของ

คริสลงนอนเอนๆบนเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง จิบเบียร์คอยเธอด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดความหวังและความฝันที่จะได้แต่งงานร่วมชีวิตกับทิพย์สุรางค์ ก็กลายมาเป็นความจริงจนได้หลังจากหวังแล้วสิ้นหวัง หวังแล้วหมดหวังมาหลายครั้งหลายครา จนเกือบจะถอดใจยอมแพ้ ยอมรับโชคชะตาของชีวิตที่ไม่มีเธอไปเสียแล้ว

ทิพย์สุรางค์ออกจากห้องน้ำในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ความจริงเธออาบน้ำเสร็จสักครู่ใหญ่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมที่จะออกมาพบหน้าเขา หญิงสาวตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ของเธอ ต้องพยายามปรับใจอยู่นานกว่าจะออกมาเผชิญกับสายตากรุ้มกริ่มของเขาได้ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์กับเขาจนมีเด็กชายสิงห์ออกมาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวของเธอ ในสถานการณ์ที่ตื่นตระหนกไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนี้จะไม่ให้เธอรู้สึกเคอะเขินและตื่นเต้นหวาดกลัวได้อย่างไร

ส่วนคริสเมื่อรอแล้วรอเล่าหญิงสาวก็ยังนั่งสางผมเฉยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งทำเหมือนไม่รู้ว่าเขากำลังคอยอยู่ ก็แกล้งร้องบอกเธอว่า 

“คุณหนูครับ ถ้าจะกรุณา...ช่วยหยิบเบียร์ในตู้เย็นให้ผมสักกระป๋องได้ไหม”

ทิพย์สุรางค์เหลียวหน้าเหลียวหลังมองหาตู้เย็น เมื่อไม่เห็นมีอยู่ในส่วนที่เป็นห้องนอน เธอก็เดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดต่อกัน หยิบเบียร์ได้ก็เดินออกไปส่งให้เขาที่ระเบียงมืดข้างนอก คริสมองร่างงดงามของเธอที่อยู่ในเสื้อนอนแพรยาวสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันอย่างดื่มด่ำ

เมื่อเธอยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ เขาก็รับไว้แล้วดึงมือเธอจนร่างของเธอเซถลาทับลงมาบนอก ชายหนุ่มวางเบียร์กระป๋องนั้นลงบนโต๊ะ กอดเธอเอาไว้แนบแน่นแล้วจูบอย่างอ่อนหวานหลายครั้ง ทิพย์สุรางค์ได้กลิ่นอ่อนๆของเหล้าและบุหรี่ที่เธอเห็นใครต่อใครส่งให้เขาในระหว่างงานเลี้ยงเมื่อตอนหัวค่ำ

เมื่อมาถึงตอนนี้หญิงสาวก็นอนซบนิ่งอยู่กับอกเขา รู้ว่าคงไม่มีทางหนีเขาไปไหนได้อีกแล้ว เธอรู้แล้วว่าเขารักเธอมากและเธอก็รักเขามากเช่นเดียวกัน เธอหนีหัวใจตัวเองไม่พ้น กอดจูบเธอไปได้พักเดียว คริสก็พลิกตัวขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังกอดเธออยู่ ยืนขึ้นแล้วก็ช้อนตัวเธอไว้ในอ้อมแขนพาเข้าไปในห้องนอน วางร่างอิ่มเอิบสมบูรณ์สะพรั่งด้วยวัยสาวลงบนที่นอน ดึงเสื้อคลุมออกจากตัวเธอ เห็นเสื้อนอนแพรบางๆที่มีสายเล็กๆยึดติดไว้สองข้างไหล่ ในแสงสลัวของไฟโคมข้างเตียงเขาจ้องมองใบหน้างามแอร่มและท่าทางเอื้อนอายของเธออย่างละลานใจ

แล้วคริสก็เริ่มต้นจูบทิพย์สุรางค์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง จูบไล่ลงไปตั้งแต่ดวงตาคู่งามที่เคยคมปลาบบาดหัวใจ แต่ตอนนี้มันกลับเซื่องซึมราวกับต้องมนต์จากจูบของเขาจูบเรื่อยลงมาถึงริมฝีปากคู่งามที่มีลักษณะเย้ายวน ปากจมูกของเขาจูบไล่ลงมาที่ซอกคอแล้วก็มาซุกซบอยู่ตรงทรวงอกเต่งตึง งดงามราวกับดอกบัวหลวง ที่ตอนนี้สายที่ยึดตัวเสื้อเอาไว้กับบ่าหลุดออกไปแล้ว

ทิพย์สุรางค์พยายามใช้มือผลักใบหน้าของเขาที่กำลังซุกไซ้เธออยู่ ให้หลุดออกไป แต่คริสรู้ทัน เขาใช้มือข้างหนึ่งรวบมือทั้งสองของเธอเอาไว้ ไม่ให้ผลักไสเขาได้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ดึงเสื้อนอนออกจากตัวเธอแล้วโยนไปข้างเตียง หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกแต่เพียงว่ามือไม้ปากจมูกที่ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆของเขา สัมผัสเล้าโลมไปตามร่างกายของเธออย่างอ่อนโยนทะนุถนอม ไม่มีความร้อนรนรุนแรงอย่างที่เธอนึกหวาดกลัวในตอนแรก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาทำให้ค่อยๆเกิดขึ้นทำให้ทิพย์สุรางค์ต้องยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว คริสก็ตะกองกอดทิพย์สุรางค์ไว้แนบอกอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ซึ่งเขาแน่ใจว่าเธอก็คงรู้สึกไม่แตกต่างจากเขา ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าทิพย์สุรางค์เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ทางเพศอย่างน่าพิศวง ถึงเธอจะสะทกสะเทิ้นเขินอายไปบ้าง ยามที่เขารุกเร้าเธอมากขึ้นเรื่อยๆแต่เธอก็ยินยอมพร้อมใจให้เขานำทางเธอไปและพร้อมที่จะเรียนรู้จากเขา

เธออาจจะดูหยิ่งยโสท่าทางเย็นชาก็จริง แต่เมื่อมีความรักและการแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี เขากลับพบว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เย็นชาเลยแม้แต่น้อย เธอมีเสน่ห์อย่างยิ่ง มันเป็นเสน่ห์ที่ผู้ชายทุกคนหลงใหล เพราะมันทำให้ผู้ชายภูมิใจในความเป็นชายชาตรีของตัวเองมากยิ่งขึ้น

ทิพย์สุรางค์ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หญิงสาวพบตัวเงอยู่ในอ้อมแขนของคริส ที่ยังกอดก่ายเธอเอาไว้หลวมๆ เธอมองสำรวจหน้าตาของคนที่ยังหลับสนิทอยู่เคียงข้างเธอ คิ้วหนาเป็นปื้นขนตาดกหนาแต่สั้น ไรหนวดและเคราเขียวๆข้างแก้มที่เพิ่งขึ้นใหม่ทำให้หน้านั้นคมเข้ม จมูกปากของเขาคมคายแบบผู้ชาย

เมื่อมองต่ำลงมาเห็นแผงอกล่ำสันที่เปล่าเปลือย หญิงสาวก็ดึงผ้าห่มขึ้นปิดอกเขา เพราะเครื่องปรับอากาศค่อนข้างเย็นและฝนข้างนอกกำลังตกพรำๆ เมื่อดึงผ้าห่มออกจากตัวเพื่อจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ทิพย์สุรางค์ก็พบร่างที่เปลือยเปล่าของตัวเอง เธอหน้าแดง มองหาเสื้อนอนที่ถูกเขาถอดโยนทิ้งไปข้างเตียง เมื่อพบแล้วก็รีบหยิบมาสวมเข้ากับตัวอย่างรวดเร็ว

คริสตื่นแล้วแต่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเมื่อทิพย์สุรางค์กลับเข้ามาในห้อง ในเสื้อคลุมอาบน้ำตัวยาวรุ่มร่าม เธออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือที่ใส่นอนขึ้นดูเวลา

“ยังไม่หกโมงเช้าเลยคุณหนูจะรีบลุกไปไหน” เขาทำหน้ายิ้มๆถามเธอ

“ตื่นแล้วนี่คะ ไม่รู้จะนอนต่อไปทำไม” เธอทำหน้าเขินๆไม่ยอมสบตาเขา เสถามว่า“วันนี้เราจะไปไหนกันดี”

“คุณหนูอยากไปที่ไหนเล่าครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันแต่ตอนนี้ฝนยังตกอยู่เลย” หญิงสาวบอกเขาตามตรง
“มานี่หน่อยสิครับ” เขาได้โอกาสทันที

ทิพย์สุรางค์ไม่รู้ว่าเขาเรียกเธอทำไมแต่ก็ยอมเดินเข้าไปหา แล้วก็ถูกเขาฉุดให้ล้มลงไปบนเตียง กอดเธอไว้แนบแน่นแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน

“ยังไม่ต้องรีบไปไหนหรอกน่า มาเรียนต่อกันดีกว่า เป็นนักเรียนต้องเชื่อฟังครูนะ ห้ามดื้อ” 

เขาดึงเสื้อคลุมอาบน้ำออกจากตัวเธอ สอนบทเรียนแห่งรักบทใหม่ให้เธออีกบทหนึ่ง จนหลับใหลไปด้วยกันในอ้อมกอดของกันและกันอีกครั้ง อย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์

หลังจากฮันนีมูนกันครบสามวันคริสก็ขับรถพาทิพย์สุรางค์กลับเข้ากรุงเทพฯ แวะสถานทูตอเมริกัน นำเอกสารส่วนตัวทั้งของเขาและของเธอเข้าไปขอจดทะเบียนสมรส เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับมาขึ้นรถด้วยกัน ประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอคือ

“สวัสดีครับ มาดามทิพย์สุรางค์เลย์ตัน” เขาจูบแก้มเปล่งปลั่งของเธอเบาๆ “ตอนนี้ไม่ใช่คุณหนูทิพย์สุรางค์ ธนากุลอีกแล้ว ห้ามเกเรห้ามดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอีกแล้วนะ"

หญิงสาวค้อนเขาอย่างน่ารักปากก็บอกว่า “ไม่รับปาก ถ้าคุณดีกับฉันๆก็ดีด้วย ถ้าเบี้ยวฉันฉันก็จะเบี้ยวคุณมั่ง”

“ยังไงที่เรียกว่าเบี้ยวน่ะ ผมจะได้รู้เอาไว้”

“ห้ามเจ้าชู้ ห้ามมองผู้หญิงอื่น” เธอตอบทีเล่นทีจริงด้วยสีหน้ายิ้มๆและแววตาที่หวานราวจะหยด

ชายหนุ่มยกมือขึ้นราวกับยอมแพ้“เมียผมสวยขนาดนี้ มีเสน่ห์แถมยังน่ารักขนาดนี้ผมยังจะบ้าไปมองผู้หญิงที่ไหนได้อีกเล่าขอรับ คุณผู้หญิง”

ทิพย์สุรางค์ร้องว่า “บ้า” รู้สึกเขินกับสรรพนามใหม่ที่เขาใช้กับเธอ

ระหว่างนั่งรถกลับไปบ้านที่สาทรที่เด็กชายสิงห์และบิดามารดาของคริสคอยอยู่ชายหนุ่มถามว่า “เรื่องงานของผมที่พ่ออยากให้ลาออกจากทหารไปช่วยท่านคุณหนูคิดว่ายังไง”

ทิพย์สุรางค์ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า“คริสคะ ฉันขอให้คุณเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไรฉันก็พร้อมจะสนับสนุนทั้งนั้น คุณเรียนวิชาทหารมา ถ้าอยากเป็นทหารต่อไปก็ไม่ต้องลาออก แต่ถ้าเบื่อแล้วหรือว่าอยากไปช่วยคุณพ่อดูแลกิจการของท่าน ก็ไปได้เลย ฉันยกให้คุณเป็นผู้นำชีวิตของฉันและลูกแล้วนี่คะ ฉันก็ยินดีและเต็มใจที่จะเดินเคียงคู่ไปกับคุณทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าคุณเลือกจะเดินไปในเส้นทางไหน”

ทิพย์สุรางค์คิดในใจว่าผู้ชายนั้นเป็นเพศที่ต้องการความสำคัญ มีสัญชาตญาณที่ต้องการเป็นผู้นำ ไม่ว่าเขาจะเข้มแข็งพอที่จะเป็นได้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เป็นภรรยา ที่จะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขา ด้วยการแสดงให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ เป็นที่พึ่งพิงที่เธอจะขาดเสียมิได้ ทั้งๆที่ผู้หญิงบางคนนั้นอาจจะเข้มแข็งแกร่งกล้ามากกว่าก็ตาม

ชายหนุ่มหันมามองหน้าทิพย์สุรางค์อย่างขอบใจและซาบซึ้ง ยกมือเธอขึ้นจูบอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณนะครับคุณหนู ผมจะกลับไปทำงานสักพักหนึ่งก่อน แล้วค่อยคิดดูอีกทีว่าอะไรจะดีที่สุดสำหรับคุณหนูและลูก ตอนนี้ผมไม่ใช่คนตัวเปล่าแล้ว มีทั้งลูกและเมียที่ต้องรับผิดชอบ ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ขอเพียงแต่คุณหนูไว้ใจและเชื่อใจผมเท่านั้นก็พอแล้ว”

แน่นอน...นั่นคือสิ่งที่เธอพร้อมจะให้เขาอยู่แล้ว เธอจะทำให้เขาเห็นว่าเธอเชื่อใจให้เกียรติเขาเสมอ เธอรู้ว่าเขาภูมิใจในความเป็นคนดีมีความรับผิดชอบของตัวเขาเองอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องทำให้เขาตระหนักและภูมิใจ ในคุณสมบัติเหล่านั้นตลอดไป เพราะคนที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดี ทั้งในสายตาของผู้อื่นและของตัวเอง ย่อมยากที่จะยอมทำสิ่งที่ผิด และอยากที่จะคงสถานภาพดังกล่าวนั้นไว้ตลอดไป มนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับนับถือจากผู้อื่นด้วยกันทั้งสิ้น

ทิพย์สุรางค์รู้จักตัวเองดีว่าเป็นผู้หญิงหลายอารมณ์ ที่มีหลากหลายรสชาติ เขาไม่น่าที่จะมีเวลาคิดเบื่อหน่ายเธอ เขาคงต้องคอยติดตามอารมณ์ต่างๆของเธอจนอาจจะหัวหมุนไปบ้างเป็นครั้งคราว อารมณ์เดียวรสชาติเดียวที่จำเจอาจจะดีสำหรับคนบางคน แต่นั่นไม่ใช่เธออย่างแน่นอน ทิพย์สุรางค์เชื่อด้วยสัญชาติญาณความเป็นหญิง ว่ารสชาติที่หลากหลายจะทำให้ชีวิตสมรสไม่จืดชืด เธอคิดว่าชีวิตแต่งงานที่ราบรื่นจะต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่จะเป็นเครื่องปรุงรสให้ชีวิตคู่มีรสชาติแปลกใหม่อยู่เสมอ มันอาจจะต้องเหนื่อยบ้างแต่ก็คุ้มค่า เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุขและความมั่นคงแก่ครอบครัวเล็กๆของเธอ

ทิพย์สุรางค์ตระหนักดีว่า ถึงเธอและคริสจะผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาหลากหลาย ทั้งสุขเศร้าและเจ็บปวด แต่ชีวิตคู่ระหว่างเขากับเธอเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ยังมีอะไรอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ เผชิญหน้าและจับมือฝ่าฟันข้ามอุปสรรคต่างๆไปด้วยกันให้ได้

เธอสัญญากับตัวเองว่าจะทำตัวเป็นทั้งคู่ชีวิต เพื่อนคู่คิดและน้องสาวที่น่ารักของเขา มีหลายบทบาทที่เธอจำเป็นต้องเลือกเล่นต่างกรรมต่างวาระ เพื่อความอยู่รอดของนาวาชีวิต ที่เธอยอมยกให้เขาเป็นกัปตันผู้นำทาง โดยมีเธอทำหน้าที่เป็นกลาสี ที่พร้อมจะรับบัญชาจากกัปตัน โดยที่กัปตันผู้นั้นไม่จำเป็นต้องรู้ ว่าอำนาจแท้จริง ที่อยู่เบื้องหลังที่ช่วยชี้ทางให้เรือแล่นผ่านลมมรสุมไปได้ มาจากไหน

เขาจะรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายเกือบทุกคน มีพลังลึกลับของผู้หญิงคอยสนับสนุนช่วยเหลืออยู่เสมอ เขาอาจจะไม่รู้และไม่จำเป็นต้องรู้ ขอเพียงแต่พลังลึกลับนั้นทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ผลักดันอย่างเงียบๆโดยไม่จำเป็นต้องแสดงตัว ทำให้เขาคิดว่าพลังดังกล่าวนั้นมาจากตัวเขาเอง เขาก็จะภูมิใจในความสามารถของตัวเองและกล้าเผชิญหน้า นำนาวาชีวิตลำนั้นฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างฮึกเหิม โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเองให้เหนื่อยยากเลยด้วยซ้ำ

ส่วนคริสนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหัวใจของเขาอยู่ที่ไหนและอยู่กับใคร ชายหนุ่มนึกขอบคุณมารดา ที่ช่วยชี้ทางที่หัวใจของเขาต้องการ แต่ไม่ยอมรับฟังมันมานานเพราะยึดมั่นถือมั่นกับคำสัญญา ที่ให้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งมานานหลายปี ตอนนี้เขามีอิสระแล้ว เขาปลดแอกให้หัวใจตัวเองจากผู้หญิงคนนั้นได้สำเร็จแล้ว หัวใจที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าได้เสียมันไป ให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเสียนานแล้ว ในช่วงเวลาที่หายไปของเขา

ช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่หายไปของเขา ราวกับเป็นการดลบันดาลของพรหมลิขิต ถ้าเขาไม่ได้เป็นทหารเขาก็คงไม่ต้องถูกส่งไปรบที่อิรัค ถ้าไม่ไปอิรัคเขาก็คงไม่ต้องถูกส่งไปแถบชายแดน ระหว่างไทยกับพม่าเพื่อภารกิจสำคัญ ถ้าไม่ไปทำภารกิจดังกล่าว เขาก็คงไม่ต้องถูกทำร้ายปางตาย ถ้าตายไปเสียก่อนตั้งแต่ตอนที่ถูกทำร้าย เขาก็คงไม่ต้องลอยน้ำมาหมดสติ ตรงลำธารที่ทิพย์สุรางค์กับกรไปพบและช่วยเขาเอาไว็

ถ้าเขาไม่เสียความจำ เขาก็คงไม่ต้องตามหนานคำไปอยู่เวียงพุกาม และถูกดึงโดยสถานการณ์ต่างๆ ให้เข้าไปพัวพันกับหญิงสาวแสนสวยคนนั้น ถ้าเขาไม่ป่วยจนนอนซมเธอก็คงไม่ต้องมาดูแลเขา และเขาคงไม่ขาดสติจนทำร้ายเธอให้เสียหาย ไม่ทำให้เธอต้องตั้งครรภ์ แล้วกลายเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่ตัดกันไม่ได้

ทั้งหมดนี้จะเรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่พรหมลิขิต ที่เล่นตลกพรากเขาไปเสียจากลลิตา ซึ่งรักและผูกพันกันมาเนิ่นนานหลายปี เพื่อไปพบและรักผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ในสุดขอบฟ้าอีกด้านหนึ่งของโลก ผู้หญิงที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ ช่วงเวลาที่เขาเคยคิดว่าเป็นโชคร้ายและหายนะของเขา กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต ที่ทำให้เขาได้พบกับทิพย์สุรางค์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ต้องสูญเสียหัวใจของเขาไปอย่างน่าสงสารที่สุดเหมือนกัน

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันนี้ขึ้นอยู่กับคำว่า “ถ้า” และคำว่า “ไม่” เพียงสองคำเท่านั้น ถ้าไม่มีคำสองคำนี้ ป่านนี้เขาก็คงจะแต่งงานไปกับลลิตาเสียนานแล้ว หลังเสร็จสิ้นภารกิจในอิรัค จะไม่มีผู้หญิงที่ชื่อทิพย์สุรางค์ปรากฏตัวเข้ามาในชีวิตของเขาได้ เพราะเขานั้นเป็นคนที่รักใครก็รักจริง ไม่เคยคิดจะใช้ความเป็นชายที่ได้เปรียบมาหลอกลวงหญิงใด เขาคงจะเป็นสามีที่ดีและซื่อสัตย์ต่อลลิตา จนตายจากกันไปอย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้

แต่เมื่อมีคำว่า “ถ้า” และคำว่า “ไม่” เกิดขึ้นมาแล้ว โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย และคำสองคำนี้นำโลกใบใหม่ ชีวิตใหม่และผู้หญิงคนใหม่มาให้ ทำให้เขาได้ค้นพบมหัศจรรย์แห่งรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ และนำมาซึ่งความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้เขาก็ต้องยอมรับความจริงว่าโชคชะตาของคนเรา เป็นสิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้ด้วยตัวเราเองอย่างที่เคยคิดเอาไว้

มันราวกับว่าเส้นทางชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วล่วงหน้า ไม่มีใครสามารถจะหลีกเลี่ยงหรือฝืนมันได้ เมื่อชีวิตของเขามีอันต้องเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายเดิม เพราะโชคชะตากำหนดเอาไว้อย่างนั้น เขาก็ยินดีน้อมรับมันด้วยความเต็มใจ เขาจะใช้มันอย่างคุ้มค่าและอย่างมีความสุขที่สุด กับครอบครัวเล็กๆที่เขาได้มาโดยไม่คาดฝัน ราวกับของขวัญล้ำค่า...ที่สวรรค์ประทานมาเพื่อชดเชยช่วงเวลานั้นให้เขา..เวลาที่หายไป!!!



อวสาน


 



Create Date : 08 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2567 14:41:21 น.
Counter : 216 Pageviews.

7 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปัญญา Dh, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณmcayenne94, คุณร่มไม้เย็น, คุณ**mp5**, คุณหอมกร

  
ในที่สุดนิยายเรื่อง "เวลาที่หายไป" ซึ่งเป็นนิยายเรื่องแรกที่หัดเขียน ก็เดินทางมาถึงบทสุดท้ายในวันนี้ หวังว่าผู้อ่านที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นคงจะหายใจโล่งอก ที่พระเอกนางเอกได้สมหวังเสียที หลังจากผ่านอุปสรรคมากมาย ที่ทำให้ผู้อ่านต้องช่วยลุ้นระทึกมาเป็นระยะๆ

ผู้เขียนได้แต่หวังว่านิยายชิวิตแนวดราม่าเรื่องนี้ จะสามารถให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักกับผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ นางเอกอาจจะน่าหมั่นไส้ไปบ้างบางเวลา บางครั้งก็โกรธโดยไม่มีเหตุผล อารมณ์ขึ้นๆลงๆ จนบางคนวิจารณ์ว่าไม่น่าจะเป็นนางเอกเลย เพราะนางเอกควรจะมีจิตใจดีงาม ไม่หมั่นไส้หรือริษยาใคร ถูกติฉินนินทาก็ต้องอดทน ไม่ตอบโต้ ไม่ลุกขึ้นต่อสู้ แล้วในที่สุดความน่าสงสาร ความอดทน ความเป็นคนดีก็จะทำให้มีชัยได้ในที่สุด ตามสูตรที่ควรจะเป็น (555)

อยากบอกว่าก่อนจะลงมือเขียนนิยายกับเขาบ้าง ผู้เขียนอ่านนิยายมามากมายหลายร้อยเรื่อง โดยไม่เลือกคนเขียน อ่านแล้วก็ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ที่ไม่ชอบที่สุดคือแทบทุกเรื่องที่เคยอ่านในตอนนั้น นางเอกจะต้องทั้งดี สวย เก่งและมีจิตใจดีงาม สงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ตอบโต้คู่ต่อสู้ ยอมแพ้ทุกอย่าง ฯลฯ สรุปคือนางเอกต้องเล่นบทของนางเอกผู้แสนดีเท่านั้น ถ้ามีอารมณฺโกรธเกลียด ริษยาอาฆาต หรืออารมณ์ในแง่ลบอื่นๆ ก็จะถูกมองว่าไม่สมควรเป็นนางเอก น่าจะเป็นนางร้ายมากกว่า 55

ดังนั้น เมื่อนึกอยากจะเขียนนิยายสักเรื่องกับเขาบ้าง ก็เลยตั้งกฏเกณฑ์กับงานเขียนของตัวเองว่า จะเขียนนิยายที่เป็นการต่อสู้กันทางอารมณ์ของตัวละครสำคัญ ที่ต้องสู้กับทั้งอารมณ์ของตัวเองและของคนอื่นที่เกี่ยวข้อง การตัดสินใจต่างๆจะต้องมีเหตุมีผล จะไม่มีการต่อสู้แย่งชิงความรักกันอย่างโฉ่งฉ่างด้วยการทะเลาะวิวาท ด่าทอหรือทำร้ายร่างกายกัน นางเอกจะไม่ปัญญาอ่อน ยอมถูกรุกรานทุกอย่างโดยไม่คิดจะต่อสู้แต่ จะเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือสองคนที่ใช้ปัญญาเป็นอาวุธ

นิยายของผู้เขียนมักจะเน้นตรงที่ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นพระเอกหรือนางเอกก็ไม่จำเป็นต้องดีเลิศประเสริฐศรี 100%เสมอไป เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ย่อมต้องมีอารมณ์ต่างๆ ทั้งดีและเลว มีรัก โลภ โกรธ หลง ริษยาฯลฯ กันทุกคน ขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่จะสามารถใช้สติกดข่มเอาไว้ ให้อยู่เฉพาะในใจ ไม่ให้ใครล่วงรู้ได้หรือไม่ หรือขาดสติจนนำเอาอารมณ์ด้านมืดนั้น ไปแปรรูปออกมาเป็นการกระทำ ที่อาจจะส่งผลร้ายแก่ตัวเองหรือผู้อื่น อยากจะเน้นว่า

"คนทุกคนมีคนหลายคนแอบซ่อนอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น ทั้งคนดีและคนเลว ขึ้นอยู่ที่ว่าคนๆนั้นจะสามารถควบคุมคนเลวที่อยู่ซ่อนข้างใน ไม่ให้ออกมาแสดงตัวได้หรือไม่"

โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 11 พฤศจิกายน 2567 เวลา:14:35:27 น.
  
ขอบคุณที่เข้าไปชมบล็อคค่ะ รอติดตามอ่านเรื่องใหม่นะคะ
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา:13:38:00 น.
  
พรุ่งนี้มาอ่านต่อนะคะ
โดย: mcayenne94 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา:19:24:32 น.
  
แฮปปี้เอนดิ้งนี่เองค่ะ แต่ก็แอบเหมือนสมัยโบราณย้อนยุคค่ะ
โดย: mcayenne94 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2567 เวลา:13:01:55 น.
  
เวลาที่หายไป ตั้งชื่อได้ดีค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 20 พฤศจิกายน 2567 เวลา:7:00:58 น.
  
Appraisal assert who that is the an ideal put up from a amazing someone, so i am pleased to check out this unique. Pixieset Alternative
โดย: seo (สมาชิกหมายเลข 7343730 ) วันที่: 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา:21:17:07 น.
  
slope game is an exhilarating online arcade game that challenges players to navigate a rolling ball down a steep, endless slope filled with obstacles and sharp turns.
โดย: สมาชิกหมายเลข 8510553 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2567 เวลา:11:01:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#20



ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
พฤศจิกายน 2567

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com