เวลาที่หายไป - บทที่ 24

ความจริงคริสอยากจะกลับไปที่เวียงพุกาม ทันทีที่ความจำทั้งหมดของเขากลับคืนมา จุดประสงค์เพื่อไปพบทิพย์สุรางค์ บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับตัวเขาและครอบครัวของเขา แล้วให้เธอเป็นฝ่ายตัดสินใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ต้องรักษาตัวอยู่แรมเดือน แล้วยังมีเรื่องการสอบสวนที่เขาถูกห้ามออกนอกประเทศอีก ทำให้เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน ป่านนี้ทิพย์สุรางค์คงเข้าใจว่าเขาไม่รักษาคำสัญญา ที่เขียนบอกเธอไว้ในจดหมายที่ฝากไว้กับตาเป็ง

ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าที่เขาจะกลับไปหาทิพย์สุรางค์ก็เพื่อรักษาสัญญาเท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น ครอบครัวของเขาอยากให้เขากับลลิตาแต่งงานกัน แต่ถ้าเขาไม่สะสางเรื่องระหว่างเขากับทิพย์สุรางค์ให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาก็ยังคงแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารักไม่ได้ คริสบอกตัวเองว่า เพราะเขาอยากแต่งงานโดยเร็ว เขาจึงต้องไปพบทิพย์สุรางค์ให้เร็วที่สุด

นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าผู้หญิงอย่างทิพย์สุรางค์ คงไม่เห็นเขาวิเศษวิโสถึงขนาดที่จะยอมแต่งงานด้วย เพื่อกู้หน้าหรือตกบันไดพลอยโจน ถึงตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนพเนจรไร้ชื่อเหมือนสมัยก่อนแล้วก็ตาม ที่สำคัญคือเธอไม่ได้รักเขา เธอช่วยเหลือเขาก็เพราะเธอเป็นคนดีมีเมตตาเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น เขายอมรับว่าเป็นความผิดของเขาเองแต่เพียงผู้เดียว

คริสคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาเกือบยี่สิบชั่วโมง บนเครื่องบินที่กำลังมุ่งหน้าไปประเทศไทย เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิเขาไม่ได้แวะเข้าบ้านของมารดาในกรุงเทพฯ แต่ต่อเครื่องบินในประเทศไปเชียงใหม่ ค้างที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แล้ววันรุ่งขึ้นก็ขึ้นเครื่องบินไปแม่ฮ่องสอน นายพรลูกชายคนขับรถเก่าแก่ของมารดาคุณธัญญามารับเขาที่สนามบิน ตามที่เขาได้โทรศัพท์นัดหมายล่วงหน้าก่อนเดินทางออกจากสหรัฐฯ ให้นำรถสภาพดีที่สามารถบุกป่าได้เดินทางล่วงหน้าจากกรุงเทพฯ ไปรอพบเขาที่สนามบินแม่ฮ่องสอน เพราะการจะเข้าไปที่เวียงพุกามจำเป็นต้องใช้รถ

จากสนามบินคริสไปโรงพยาบาล ที่เขาเคยถูกส่งมารักษาตัวตอนที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เพื่อไปขอพบนายแพทย์ประสพชัยซึ่งเป็นคนเดียวที่เขารู้จักนอกเวียงพุกาม

ประสพชัยเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแต่งตัวดี ท่าทางมีสง่าราศรี ที่มาขอพบเขาอย่างแปลกใจ พยาบาลที่เข้ามาบอกเขาแจ้งว่าผู้ชายที่มาขอพบเขาชื่อคริส นายแพทย์หนุ่มใหญ่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน แต่ก็อนุญาตให้เข้าพบได้ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นญาติของคนไข้คนใดคนหนึ่งของเขา

“คุณหมอครับ จำผมได้ไหม?” ชายหนุ่มถาม พร้อมกับทำความเคารพ
ประสพชัยขยับแว่นสายตาที่สวมอยู่ เพ่งมองหน้าเขาแล้วก็อุทานออกมาว่า “อ้าว เคนใช่ไหมนี่?”

“ใช่ครับ คุณหมอ” คริสยิ้มกว้าง รู้สึกดีใจเหมือนได้พบเพื่อนเก่า
“อ้าว... เป็นไงมาไงถึงกลับมาอีกล่ะ ผมรู้จากหนานคำว่าคุณเจอครอบครัวแล้วนี่ ”
ประสพชัยมองหน้าตาท่าทางของชายหนุ่มอย่างพิจารณา แล้วลงความเห็นว่าเขาเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก ดูเขามีความมั่นใจในตัวเอง ปราดเปรียวและภูมิฐาน ผิดจากเคนที่เขาเคยรู้จักก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน

ยังไม่ทันที่คริสจะตอบคำถาม นายแพทย์หนุ่มก็กล่าวต่อว่า “คุณคงจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วสินะ ”

“ครับ คุณหมอ ”

ชายหนุ่มเล่าเรื่องของเขาให้ประสพชัยฟังคร่าวๆ เว้นรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ทำให้เขาต้องถูกลอบทำร้ายเท่านั้น แล้วสรุปจุดประสงค์ที่มาแม่ฮ่องสอนว่า “ผมเพิ่งเสร็จธุระทางโน้น เลยเพิ่งมีโอกาสปลีกตัวมาได้ ตอนไปผมรีบร้อนมากแทบไม่ได้ลาใครเลย อาทิตย์หน้าผมต้องกลับไปทำงานแล้ว เลยต้องรีบมาในช่วงนี้ที่ยังพอมีเวลา ”

“คุณจะเข้าไปที่เวียงพุกามหรือเปล่า”

“ผมแวะมาเยี่ยมคุณหมอก่อนแล้วจึงจะเข้าไปที่นั่น ผมอยากไปขอบคุณคุณหนูและคนอื่นๆ ตอนไปก็ไม่ได้ขอบคุณเธอเพราะผมรีบร้อนมาก แล้วเธอก็ไปกรุงเทพฯ” คริสชี้แจง

“ถึงตอนนี้เธอก็ไม่ได้อยู่ที่เวียงพุกามหรอก ”
เมื่อเห็นสายตาฉงนของคริส นายแพทย์หนุ่มก็ถามว่า “นี่คุณไม่รู้เรื่องคุณพ่อของเธอหรอกหรือ ?”

“คุณดนัยน่ะหรือครับ ? ” ชายหนุ่มรู้สึกมืดแปดด้านกับคำถาม “มีอะไรหรือครั
ประสพชัยเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าของเขาสลดลงเล็กน้อย “จริงสิ คุณคงไม่รู้เพราะตอนเกิดเรื่องคุณไม่ได้อยู่เมืองไทยนี่ ”

คริสชักตกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ? ”

“คุณดนัยประสพอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต หลายเดือนแล้ว หลังเสร็จงานคุณดนัยที่กรุงเทพฯ คุณหนูกับคุณใหญ่ก็ขึ้นมาที่นี่ มาจัดการเรื่องต่างๆแล้วก็กลับไปด้วยกัน ”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปอย่างตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายังจำวันสุดท้ายที่ได้เห็นคุณดนัยได้ดี เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง แล้วเมื่อนึกทิพย์สุรางค์ขึ้นมาได้เขาก็ถามอย่างร้อนรนว่า

"คุณหนูเป็นยังไงบ้าง เธอจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ ”

ประสพชัยรู้สึกสะดุดใจกับท่าทางร้อนรนของชายหนุ่มรุ่นน้อง แต่ก็ตอบว่า “ผมไม่แน่ใจนะว่าเธอจะกลับมาหรือเปล่า แต่ที่นี่เป็นบ้านบ้านเกิดของเธอ เธอคงต้องกลับมา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น”

“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนครับ ? หรืออยู่กับคุณพี่เธอที่กรุงเทพฯ ? ”

คำตอบของนายแพทย์หนุ่ม ทำให้คริสผงะไปเหมือนถูกต่อยอย่างแรง “เปล่า เท่าที่ผมรู้ตอนนี้เธออยู่ต่างประเทศ ได้ข่าวว่าไปเรียนต่อ ”

แล้วประสพชัยก็แสดงความเห็นส่วนตัวของเขาว่า “เธอคงช็อคกับเรื่องคุณพ่อของเธอจนทนอยู่ที่เวียงพุกามไม่ได้ คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก พอทำใจได้หรือเรียนจบแล้วเธอก็คงกลับมา ”

คริสแทบไม่ได้ยินประโยคท้ายๆของประสพชัย สมองของเขารับรู้แต่เพียงคำว่า ’เธออยู่ต่างประเทศ’ และ ‘'ไม่แน่ใจว่าเธอจะกลับมาหรือเปล่า’ เท่านั้น

ชายหนุ่มคิดอย่างรวดเร็วว่าจะหาทางติดต่อกับทิพย์สุรางค์ได้อย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถามประสพชัย เขาอาจจะไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน หรืออาจจะสงสัยขึ้นมาก็ได้ ในที่สุดสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงขอหมายเลขโทรศัพท์มือถือของประสพชัยเอาไว้ เผื่อมีธุระต้องการติดต่อด้วยเท่านั้น

คริสลาประสพชัยแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้นายแพทย์หนุ่มมองตามหลังเขาไปอย่างใช้ความคิด มีอะไรบางอย่างที่เขายังนึกไม่ออก ชายหนุ่มผู้นั้นมีท่าทางตกใจและผิดหวังจนเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าทิพย์สุรางค์ไปจากประเทศไทยแล้วและไม่มีกำหนดกลับที่แน่นอน ดูเหมือนว่าการไปของหญิงสาวคนนั้นจะมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อคริส สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที หน้าของเขาซีด แววตาของเขาเศร้าและกังวล มีอะไรระหว่างชายหญิงคู่นี้หรืออย่างไร

ประสพชัยคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่ชายหนุ่มคนนี้จะสนใจทิพย์สุรางค์เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ก็เธอทั้งสวยทั้งเพียบพร้อมออกขนาดนั้น แต่เขาก็รู้จักหญิงสาวคนนั้นค่อนข้างดี เพราะวุฒิเลิศพี่ชายของเธอเป็นเพื่อนสนิทของเขา ที่เคยเรียนหนังสือด้วยกันมานาน เขารู้ว่าเธอหยิ่งและถือตัว เธอคงไม่มีทางที่จะสนใจนายเคนคนนั้นแน่ เพราะเธอไม่เคยรู้อดีตที่เป็นตัวตนจริงๆของเขา

คริสออกจากโรงพยาบาลแห่งนั้นด้วยความรู้สึกสับสน เขายังไม่อยากเชื่อข้อมูลเกี่ยวกับทิพย์สุรางค์ที่ได้จากนายแพทย์ประสพชัย เขาคิดว่าเธออาจจะยังพำนักอยู่กับพี่ชายของเธอในกรุงเทพฯมากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเธอได้อย่างไร

ชายหนุ่มคิดทบทวนไปมาว่าใครบ้างที่ควรจะรู้ แล้วก็คิดถึงกรขึ้นมาได้ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงปิดเทอม เด็กชายผู้นั้นคงจะอยู่ที่โรงเรียนในตัวจังหวัด เขาเคยขับรถไปส่งกรสองสามครั้ง เวลาที่คำปันหรืออินแปงที่เคยทำหน้าที่นี้ไม่ว่าง คริสสั่งนายพรให้ขับรถเข้าตัวจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง

วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่เด็กๆจะเรียนจนถึงเที่ยงเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะได้กลับบ้าน คริสไปถึงโรงเรียนหลังบ่ายสองโมง เขาแน่ใจว่ากรจะยังอยู่ที่โรงเรียน เพราะรถจากเวียงพุกามมักจะมาถึงโรงเรียนเพื่อรับกร ประมาณสามหรือสี่โมงเย็น ระหว่างรอรถมารับเด็กชายผู้นั้นมักจะนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนหรือเล่นเกมกดอยู่ในโรงอาหาร

ชายหนุ่มเข้าไปในโรงอาหารและหาตัวกรได้ไม่ยาก เด็กชายผู้นั้นกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ที่ม้ายาวมุมห้อง เมื่อเงยหน้าเห็นคริสเขาก็ตกตะลึงอ้าปากค้างพูดไม่ออก พอรู้สึกตัวก็กระโดดลุกขึ้นยืน วิ่งเข้ามาเขย่าแขนชายหนุ่ม ปากก็โวยวายว่า

“เคน ! โอ๊ย เคน ! นี่คุณจริงๆหรือนี่ ” ท่าทางเขาตื่นเต้นดีใจ “คุณมาเยี่ยมผมจริงๆหรือนี่ !? ”

เด็กชายเอียงคอสำรวจคริสทั้งตัวขึ้นๆลงๆอยู่ครู่หนึ่ง ก็วิจารณ์ออกมาว่า “คุณดูไม่ค่อยเหมือนเคนเลย ผมว่าคุณดูแปลกๆไปนะ ”

“ผมแปลกไปมากงั้นหรือ ”

“แม่นแต๊ คุณดูดีกว่าตอนอยู่กับเราตั้งแยะ ชุดของคุณก็โก้เชียว แต่งตัวแบบนี้แล้วดูหล่อกว่าคุณชาคริตเสียอีก พวกที่เวียงพุกามเห็นคุณตอนนี้คงจะอ้าปากค้างเชียวแหละ ”

“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อย ” เคนว่าแล้วชวนเด็กชายนั่งลง บนม้ายาวตัวหนึ่งแถวๆนั้น

แต่ยังไม่ทันพูดอะไร กรก็กล่าวขึ้นมาก่อนว่า “คุณรู้หรือยังว่าคุณท่านเสียแล้ว?” หน้าตาของเด็กชายเศร้าไปทันที

“ผมเพิ่งรู้จากคุณหมอประสพชัยวันนี้เอง ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าคุณดนัยจะอายุสั้นอย่างนี้ ”

“ทำไมเพิ่งรู้ล่ะ หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันออกครึกโครม ” กรถามอย่างสงสัย
“ผมไม่ได้อยู่เมืองไทย ” คริสอธิบายสั้นๆ

ในขณะที่กำลังคิดว่าจะถามถึงทิพย์สุรางค์อย่างไร ที่จะไม่ทำให้เด็กชายที่ฉลาดเฉลียวเกินวัยผู้นี้ รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา ก็พอดีกรพูดมาขึ้นเสียก่อนว่า

“คุณหนูเสียใจมากเลย เธอทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะไม่มีคุณท่านอีกแล้ว ”

ชายหนุ่มได้ทีก็รีบถามถามต่อไปอย่างรวดเร็วว่า “แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนล่ะถ้าไม่อยู่ที่นี่ ? หรือเธอไปอยู่ที่กรุงเทพฯกับคุณพี่ของเธอ?” แล้วเขาก็รอคำตอบจากกรอย่างใจจรดใจจ่อ

เด็กชายส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก ตอนแรกเธออยู่กับคุณใหญ่จริง แต่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ”

แล้วเขาก็นิ่งไปเฉยๆ คริสร้อนใจจนแทบจะเขย่าตัวเด็กชายให้พูดต่อแต่ไม่สำเร็จ เพราะกรมีเรื่องอื่นที่สนใจมากกว่า

“ตอนนี้คุณพบครอบครัวของคุณแล้วใช่ไหม เออ.. ตอนนี้คุณคงจำทุกอย่างได้หมดแล้วสินะ แล้วตกลงคุณชื่ออะไรกันแน่ล่ะ”

ชายหนุ่มลอบถอนใจแต่ก็ยอมตอบโดยดี “ผมพบพ่อแม่แล้ว ผมชื่อคริส ”

เด็กชายทำตาโต “ชื่อคริส ! อืมม์ โก้กว่าชื่อเคนอีกแฮะ แต่ผมชอบชื่อเคนมากกว่า ทีนี้ผมต้องเรียกคุณว่าคริส ใช่หรือเปล่า”

“ยังไงก็ได้ ” เขาพยายามจะหาทางกลับไปเรื่องเดิมที่พูดค้างกันอยู่ “เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณหนูไม่ได้อยู่กับคุณพี่เธอแล้ว คุณรู้ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน ”

“เธอเคยบอกผมว่าอาจจะไปเรียนหนังสือต่อ ” แล้วเขาก็หันไปร้องโหวกเหวกทักทาย เด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่เดินผ่านมา

ตอนนี้คริสเข้าใจแล้วละ ว่าทำไมทิพย์สุรางค์ถึงได้โมโหกรอยู่บ่อยๆ เขารู้ว่ากรไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทใครหรอก แต่เขาเหมือนเด็กสมาธิสั้น ที่สามารถจะกระโดดจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งได้ตลอดเวลา

“คุณหนูบอกกับคุณตอนไหน? ” ชายหนุ่มพยายามตะล่อมถามอย่างใจเย็น

กรนิ่งคิดก่อนตอบว่า “ตอนที่เธอกลับมาที่เวียงพุกาม หลังงานศพคุณท่าน ”

“ตอนที่ผมไปจากที่นี่ ผมจำได้ว่าคุณหนูไปกรุงเทพฯ ผมเลยไม่ได้ลาเธอ หลังจากที่ผมไปแล้วเธอกลับมาบ้างหรือเปล่า? เอ้อ..ก่อนหน้าที่คุณดนัยจะเสียน่ะ”

“เปล่า เธอกลับมาหลังงานคุณท่านครั้งเดียวเท่านั้น” แล้วเขาก็ชักสงสัย “ ทำไม คุณมีธุระอะไรกับคุณหนูหรือ”

“เปล่า ไม่มีอะไร ” คริสอ้อมแอ้มปฏิเสธ “ทำไมคุณหนูถึงบอกว่าจะไปเรียนต่อ คุณถามเธอหรือ”

“เปล่าถาม เธอบอกผมเอง” กรชี้แจง “ตอนแรกเธอเรียกผมไปพบ บอกว่าเธอจะไม่อยู่ที่บ้านสักพัก ให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือ ถ้าสอบได้เปอร์เซนต์ดีๆ เธอจะส่งของขวัญที่ผมเคยอยากได้มาให้ ผมเลยถามว่าเธอจะไปอยู่กับคุณใหญ่ใช่ไหม เธอบอกว่าเปล่า เธอจะไปเรียนหนังสือต่อที่เมืองนอก จะได้กลับมาช่วยคุณใหญ่ดูแลบริษัท”

แล้วเขาก็มองหน้าคริสเหมือนสงสัย ว่าอยากรู้ไปทำไมมากมายนัก

“เธอบอกหรือเปล่าว่าจะไปประเทศไหน ” คริสกลั้นใจฟังคำตอบจากเด็กชาย

“เปล่า เธอไม่ได้บอก แล้วผมก็ไม่กล้าเซ้าซี้ถามเธอมากหรอก เธอดูเศร้าๆแล้วก็ผอมไปมาก ”

เด็กชายทำหน้าจ๋อยเมื่อนึกถึงภาพของคุณหนูในวันนั้น ในขณะที่ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังอย่างแรง กรคงไม่รู้จริงๆ เพราะถ้ารู้เขาก็คงรีบปูดออกมาแล้ว ตามนิสัยขี้คุยของเขา

“คุณเคยบอกว่าคุณหนูเรียนจบจากสวิสเซอร์แลนด์ใช่ไหม”

“ใช่ เออ...จริงด้วย ” กรทำท่าตื่นเต้น “เธอคงกลับไปที่นั่นมั้งก่อนหน้านี้เธอเคยบอกผมว่าอยากจะกลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง เธออยู่ที่นั่นหลายปี มีเพื่อนสนิทหลายคนที่อยากกลับไปพบ”

ชายหนุ่มนิ่งคิดว่าก็อาจเป็นไปได้ ที่ทิพย์สุรางค์จะไปประเทศที่เธอรู้จักคุ้นเคยมานาน แต่ก็นั่นแหละเธอไปจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาเริ่มรู้สึกมืดแปดด้าน แต่แล้วก็นึกถึงจดหมายขึ้นมาได้

“คุณได้รับจดหมายที่ผมฝากตาเป็งไว้ให้แล้วใช่ไหม?”

“จดหมายเหรอ? ” กรทำท่าคิด “อ๋อ ได้แล้ว ตาเป็งฝากคำปันมาให้ผมแล้ว คุณบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมผม แล้วคุณก็มาจริงๆ ”

ที่ถามเรื่องจดหมายก็เพราะคิดว่าถ้ากรได้รับจดหมายที่ฝากตาเป็งไว้ ทิพย์สุรางค์ก็คงได้รับเหมือนกัน แต่แล้วเขาก็นึกถึงที่กรเล่าว่าก่อนหน้าที่คุณดนัยจะเสียชีวิต ทิพย์สุรางค์ไม่เคยกลับมาที่เวียงพุกามเลย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอเพิ่งได้รับจดหมายเขา ก่อนเดินทางไปต่างประเทศไม่นานน่ะสิ

ชายหนุ่มลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะถามกรต่อไปดีหรือไม่เกี่ยวกับทิพย์สุรางค์ แต่ในที่สุดความอยากรู้มีมากกว่า “ตอนที่คุณหนูกลับมา เธอถามถึงผมบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ได้ถาม ผมบอกเธอเองว่าคุณกลับไปหาครอบครัวของคุณแล้ว แต่เธอบอกว่าเธอรู้จากหนานคำแล้ว ผมยังเล่าให้เธอฟังเลยว่าคุณเขียนจดหมายฝากตาเป็งไว้ให้ผมก่อนไป ”

“แล้วเธอว่าไง ” คริสซักทันทีอย่างร้อนใจ

“ ไม่ว่าไงหรอก ก็ทำหน้าเชิดตามแบบของเธอนั่นแหละ ขนาดผมบอกว่า จะไปเอาจดหมายของคุณมาให้อ่าน เธอยังบอกว่า ‘ ไม่จำเป็น ‘ เลย แถมยังเดินหนีเข้าห้องเสียอีก ”

ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มร้อนใจขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าตาเป็งไม่ได้ส่งหรือลืมส่งจดหมายฉบับนั้นให้ทิพย์สุรางค์ แล้วเธอรู้ว่าเขาเขียนจดหมายถึงกร โดยไม่ส่งข่าวอะไรให้เธอรู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น เหมือนไม่เห็นความสำคัญของมันเลย เธอจะรู้สึกอย่างไร? เธอคงต้องโกรธแค้นและนึกดูถูกเขามาก เธออาจจะคิดว่าเขาหลีกหนีความรับผิดชอบ แล้วนี่มันก็ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้วที่เขาไปจากเวียงพุกาม

“คุณรู้ไหมว่าบ้านคุณใหญ่อยู่ที่ไหน ? ”

“บ้านที่กรุงเทพฯน่ะเหรอ ผมไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน ” แล้วเขาก็ถามว่า “ทำไมล่ะ คุณจะไปหาคุณใหญ่หรือ? ”

คำตอบของเด็กชายทำให้คริสมองไม่เห็นทางที่จะติดต่อกับทิพย์สุรางค์ได้เลย ในที่สุดเขาต้องยอมแพ้ ก่อนกลับชายหนุ่มให้ที่อยู่ อีเมลล์และหมายเลขโทรศัพท์ของเขาในสหรัฐฯแก่กร กำชับว่าถ้ากรมีเรื่องด่วนหรือมีอะไรอยากจะคุยกับเขา ก็ส่งอีเมลล์หรือเขียนจดหมายถึงเขาได้ตามที่อยู่นั้น ถ้าเขาไม่อยู่ที่นั่น ทางบ้านของเขาก็จะส่งจดหมายนั้นต่อไปให้เขาเอง ซึ่งความหวังสุดท้ายของคริสก็คือ หวังว่ากรจะส่งต่อมันให้ทิพย์สุรางค์ถ้าเขาได้เจอเธอ

หลังจากนั้นอีกเพียงสองวันชายหนุ่มก็เดินทางกลับสหรัฐอเมริกา กลับไปปฏิบัติภารกิจที่อิรัคตามคำสั่งของทางการ สามเดือนหลังจากนั้นเขาถูกส่งตัวกลับเข้าทำงาน ในหน่วยข่าวกรองของทหารในกระทรวงกลาโหม

ในช่วงเวลาหนึ่งปีหลังจากนั้นคริสเดินทางไปแม่ฮ่องสอนอีกหลายครั้ง เมื่อมีเวลาว่างจากงานราชการ แต่ละครั้งใช้เวลาไม่นาน เขาเคยดั้นด้นเข้าไปถึงเวียงพุกาม ได้พบกับหนานคำและรู้ว่าเวียงพุกามมีผู้จัดการมาดูแลงานแทนคุณดนัยแล้ว คุณใหญ่หรือวุฒิเลิศนานๆจะมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่ง คุณหนูไปเรียนต่อต่างประเทศ คงอีกหลายปีกว่าจะกลับ ส่วนเด็กชายกรก็ย้ายไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯโดยไม่เคยติดต่อส่งข่าวอะไรถึงเขาเลย แม้เด็กชายผู้นั้นจะมีที่อยู่ของเขาก็ตาม

คริสเคยแวะไปเยี่ยมนายแพทย์ประสพชัยอีกสองครั้ง แต่ไม่มีข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับทิพย์สุรางค์ ครั้งสุดท้ายที่เขาไปปรากฏว่านายแพทย์คนนั้นย้ายไปจากแม่ฮ่องสอนแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง ดูเหมือนว่าคนต่างๆที่น่าจะให้ที่อยู่หรือที่ติดต่อของทิพย์สุรางค์กับเขาได้ ต่างพากันหลบลี้หนีหน้าหายไปหมดพร้อมๆกันราวกับนัดหมายกันเอาไว้

ชายหนุ่มเคยคิดที่จะไปพบวุฒิเลิศ เพราะถ้าจะหาที่อยู่ในกรุงเทพฯหรือบริษัทที่เขาทำงานอยู่จริงๆก็คงหาได้ไม่ยาก แต่เขาจะไปถามหาทิพย์สุรางค์โดยที่พี่ชายของเธอไม่สงสัยได้อย่างไร และอีกอย่างเขากับวุฒิเลิศก็แทบจะไม่เคยพูดจากันเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มผู้นั้นจะจำเขาได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ตอนนั้นเขาเป็นแค่ลูกจ้างคนหนึ่งของเวียงพุกามเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญอันใดที่ควรจดจำ คริสจำใจต้องเลิกล้มความคิดที่จะไปพบพี่ชายของทิพย์สุรางค์

แล้วในที่สุดคริสก็บอกตัวเองให้ลืมเรื่องทิพย์สุรางค์ไปเสียให้หมด เขาได้พยายามอย่างหนักแล้วที่จะทำตามคำมั่นสัญญา ที่ระบุไว้ในจดหมายว่าจะกลับไปหาเธอ แต่กลายเป็นว่าเธอไม่แยแส เธอหลีกลี้หนีหน้าไม่ต้องการพบเห็นเขาอีกต่อไป เธออาจจะทำใจได้และลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปหมดแล้ว ป่านนี้เธออาจจะมีคนรักหรือแต่งงานไปแล้วก็ได้ กับใครสักคนที่เธอได้พบและรักเขา ผู้ชายคนที่เหมาะสมคู่ควรกับเธอมากกว่านายเคนคนนั้นหลายต่อหลายเท่า แต่ทำไมทุกครั้งที่คิดเช่นนั้นหัวใจของเขาจึงเจ็บปวดรวดร้าว ทำไมเขาหลับตาลงครั้งใดก็จะเห็นแต่ภาพใบหน้าที่นองน้ำตาของเธอ ลอยเด่นขึ้นมาแม้แต่เวลาที่อยู่กับลลิตา

ทำไมเขาจึงพยายามผัดผ่อนการแต่งงานออกไป แม้ว่ามารดาของเขาจะขอร้องเขาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ที่เขากลับมา ให้รีบแต่งงานกับลลิตาเสีย เธอให้เหตุผลว่าปีนี้เขาอายุย่างเข้าสามสิบแล้ว และหญิงสาวคนนั้นก็รอเขามานานแล้ว คริสยังรู้สึกขอบใจลลิตาด้วยซ้ำที่ไม่เคยเร่งรัดเขาเรื่องนี้เลย เธอยิ้มหวานเสมอเมื่อคุณธัญญาพูดเรื่องการแต่งงานต่อหน้าเธอ แล้วเธอก็จะบอกมารดาของเขาอย่างอ่อนโยนทุกครั้งว่าไม่เป็นไร เธอตามใจเขาเสมอ ถ้าเขาอยากแต่งเธอก็พร้อม แต่ถ้าเขายังไม่พร้อมที่จะแต่งงานเธอก็ยินดีจะรอจนกว่าเขาจะพร้อม

เมื่อตัดสินใจที่จะลืมเรื่องราวระหว่างเขากับทิพย์สุรางค์ให้หมดสิ้น ชายหนุ่มก็บอกตัวเองว่า ถึงเวลาแล้วที่เขากับลลิตาจะแต่งงานกันเสียที เขาเห็นแก่ตัวและทำผิดต่อเธอมามากพอแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เฝ้าอดทนรอเขามาเนิ่นนาน เธอรักเขามากแค่ไหนเขาเองก็รู้ดี เขาเองก็รักเธอมากเหมือนกันมิใช่หรือ?

ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคือคุณธัญญาและคุณลักษณาโทรศัพท์คุยกันบ่อยขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานแต่งงานของหนุ่มสาวทั้งสอง ที่ยังตกลงกันไม่ได้คือจะจัดที่ไหน ฝ่ายคุณลักษณาอยากให้จัดที่กรุงเทพฯ เพราะตอนนี้สามีของเธอกำลังก้าวหน้าทางการเมือง เขาเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถือว่าเป็นกระทรวงเกรดเอกระทรวงหนึ่ง นอกจากนี้เขายังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งด้วย ซึ่งคุณลักษณาคิดว่าจะขอให้สามีของเธอเชิญเขาเป็นเจ้าภาพฝ่ายหญิง ในขณะที่คุณธัญญาก็อยากให้จัดในสหรัฐอเมริกา

ส่วนคริสและลลิตาไม่ออกความเห็นว่าอย่างไร ต่างก็บอกว่าแล้วแต่ผู้ใหญ่จะจัดการให้ แต่ใจจริงแล้วคริสอยากให้จัดในสหรัฐฯมากกว่า แต่เหตุผลของเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกใครได้ เขาไม่อยากกลับไปเมืองไทยอีกแล้ว โดยเฉพาะในช่วงนี้ เขากำลังพยายามลืมสิ่งต่างๆที่เคยเกิดขึ้นกับเขา ตอนนี้เขายอมรับความจริงแล้ว ว่าทิพย์สุรางค์ไม่ได้ต้องการให้เขารับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเธอต้องการให้เขาลืมทุกอย่าง เขาก็จะลืมมันเสียให้หมด แล้วแต่งงานอย่างมีความสุขกับผู้หญิงน่ารัก ที่รักและรอคอยเขามานานด้วยความอดทน




Create Date : 31 มีนาคม 2567
Last Update : 31 มีนาคม 2567 15:09:40 น.
Counter : 744 Pageviews.

7 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณmariabamboo, คุณkatoy, คุณหอมกร, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณThe Kop Civil, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณปัญญา Dh, คุณSweet_pills, คุณtuk-tuk@korat, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณร่มไม้เย็น, คุณnewyorknurse, คุณnonnoiGiwGiw, คุณpeaceplay

  
ไม่ได้จบแบบนี้แน่ๆ ค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 31 มีนาคม 2567 เวลา:20:31:52 น.
  
เดี๋ยวมาอ่านครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 31 มีนาคม 2567 เวลา:22:27:36 น.
  
น่าสนใจมากๆ ครับ
โดย: ดี (สมาชิกหมายเลข 7422807 ) วันที่: 1 เมษายน 2567 เวลา:8:30:04 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

เนื้อหากำลังขมวดปม เข้มขันมากขึ้น คนอ่านก็ลุ้นว่า คริสต์ จะ
ได้แต่งงานกับลลิตาไหม แล้วจะได้พบกับทิพย์สุรางค์ไหม อิอิ รอ
ติดตามตอนต่อไป นะจ๊ะ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 1 เมษายน 2567 เวลา:12:47:57 น.
  
ตามมาอ่านครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 1 เมษายน 2567 เวลา:14:28:24 น.
  
รอลุ้นค่ะ ว่าคริสจะได้เจอกับทิพย์สุรางค์หรือเปล่า
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 3 เมษายน 2567 เวลา:11:00:21 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยสำหรับกำลังใจนะคะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:0:33:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
มีนาคม 2567

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
18
19
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com