คำปัน เป้ยและบุญมีซึ่งป็นคนงานในโรงบ่ม นั่งล้อมวงกันอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ต่ออย่างหยาบๆ ติดกับพุ่มไม้ใกล้เรือนแถวที่พักคนงาน มีเหล้าขวดใหญ่ซึ่งพร่องไปแล้วเกินครึ่ง ขวดโซดาเปล่าสามสี่ขวดและของแกล้มเหล้าซึ่งภรรยาของบุณมีทำมาให้ วางอยู่ตรงหน้าบนแคร่ คนทั้งสามนั่งกินเหล้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เมื่อดื่มกันจนได้ที่เสียงพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนก็หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า เคนเดินออกมาจากสำนักงานของหนานคำหน้าโรงบ่มยา หลังจากเสร็จงานที่หนานคำขอให้ช่วยทำเป็นพิเศษ เพื่อเสนอคุณดนัยในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมุ่งหน้ามาใกล้บริเวณแคร่ เพราะเป็นทางที่ต้องเดินผ่าน เพื่อใช้เป็นทางลัดกลับไปที่กระท่อมของตาเป็ง คำปันซึ่งค่อนข้างเมาและรู้สึกไม่ถูกชะตากับเคน และยังปักใจเชื่อว่าเขาแกล้งสูญเสียความจำ รวมทั้งเห็นว่าในระยะหลังนี้ หนานคำซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของเขา มักจะมอบหมายงานด้านเอกสารให้เคนทำ ไม่ต้องเข้าไปทำงานในไร่หรือโรงบ่มเหมือนระยะแรกๆ ทำให้คำปันรู้สึกอิจฉาเพราะคิดว่างานที่ชายหนุ่มผู้นี้ทำ เป็นงานง่ายๆสบายๆไม่เหมือนงานของเขา ที่นอกจากต้องทำงานในโรงบ่มแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องขับรถด้วย ขณะที่เคนกำลังจะเดินผ่านไปคำปันก็ร้องเรียกเขาเสียงดัง “เฮ้ย จะกลับแล้วหรือวะ เคน? ชายหนุ่มชะงัก “ ใช่ ผมเสร็จงานแล้ว ” คำปันกวักมือเรียก “ จะรีบไปไหนล่ะ มาก๊งกันก่อน ” เขาหยิบแก้วพลาสติกใบหนึ่งมารินเหล้าลงไป แล้วชูส่งให้เคนซึ่งยังยืนอยู่ เคนลังเล เขาอยากจะรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หมักหมมด้วยเหงื่อ เพราะทำงานมาทั้งวันแล้ว แต่ถ้าปฏิเสธก็อาจจะถูกหาว่ารังเกียจ หรือไม่เอาพวกเอาพ้อง เขาคิดว่าถ้าจะนั่งดื่มด้วยสักแก้ว เพื่อรักษาไมตรีกับเพื่อนร่วมงานเอาไว้ก็คงไม่เสียหลาย คำปันเห็นท่าลังเลของเขา ก็วางแก้วเหล้าลงแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาถึงตัว ดึงมือข้างหนึ่งของเคนให้เดินตามไปที่แคร่ ซึ่งชายหนุ่มก็ยอมทำตามโดยดี “ เป็นไง อยู่ที่นี่สุขสบายดีไหม ? ” คำปันตั้งคำถามด้วยเสียงที่เริ่มอ้อแอ้ หลังจากที่เคนจิบเหล้าที่เขาส่งให้ เคนพยักหน้า “ ก็ดี ” ชายหนุ่มเหลือบมองผู้ชายอีกสองคนที่นั่งเงียบ เขาไม่รู้จักชื่อของคนทั้งสอง จำได้แต่หน้าว่าเป็นคนงานในโรงบ่ม “เฮ้ย! ไอ้เป้ย ” คำปั่นกล่าว “ มึงจำได้ไหมวะ เมื่อวานเมียมึงทำอะไรให้กิน ? ” แม้ไม่รู้เจตนาของคำปันซึ่งยกให้เป็นลูกพี่ชัดเจน เป้ยก็พอจะเดาทางออก เพราะคำปันมักจะเอาเรื่องของนายเคนคนนี้ มาคุยให้ฟังอยู่บ่อยๆในทำนองไม่พอใจหรือไม่ชอบหน้า “ จำไม่ได้ ” “ อย่าตอแหล ทำไมถึงจำไม่ได้” คำปันกรอกเหล้าเข้าปากอีก “มึงหลอกใครก็หลอกไป อย่ามาหลอกกู ” เป้ยหัวเราะแหะๆ เหลือบดูสีหน้าของเคน ก็เห็นแต่ความเรียบเฉย ส่วนบุญมีส่งเสียงหัวเราะออกมา แล้วถามว่า “ เมาแล้วเหรอ ลูกพี่ ” “คนอย่างกูไม่เมาง่ายๆหรอกเว้ย กูไม่ใช่ไก่อ่อนนี่หว่า กูไม่ชอบคนตอแหล หลอกใครได้ก็หลอกไป แต่อย่าเสือกมาหลอกกู ” แล้วเขาก็หันไปพูดกับเป้ยอีกว่า “ มึงจำไม่ได้เพราะมึงถูกใครตีหัวมาหรือไงวะ หรือมึงแต่งเรื่องขึ้นมาว่าจำอะไรไม่ได้ มึงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ” ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคำพูดของคำปันและเป้ย เขาดื่มเหล้าที่เหลือในแก้วจนหมด แล้วขยับจะลุกจากแคร่เพื่อกลับบ้านพัก แต่คำปันจ้องหน้าเขาเขม็ง “จะหนีไปไหนล่ะ ยังไปไม่ได้ มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ” “ผมจะกลับละ ถ้าคำปันมีอะไรจะพูดกับผมก็ค่อยพูดกันตอนไม่เมาดีกว่า" เคนลุกขึ้นยืน “ มึงหาว่ากูเมาหรือ ” พูดขาดคำคำปันก็ลุกขึ้น ต่อยโครมเข้าไปที่ใบหน้าของเคน แต่ชายหนุ่มหลบทันแล้วใช้มือยันคำปันให้ถอยออกไป คำปันซึ่งเมาอยู่แล้ว เมื่อถูกผลักก็เซหลุนๆล้มลงไปบนแคร่ ทับลงไปบนขวดเหล้าและแก้วเหล้าสองสามใบตรงนั้น เคนเดินห่างจากแคร่นั้นออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกแรงปะทะของคำปันซึ่งลุกขึ้นมาได้แล้ว กระโจนเข้าใส่ทางด้านหลัง จนเซถลาไปปะทะกับต้นไม้ข้างทาง ชายหนุ่มตั้งตัวได้แล้วก็หันกลับมารับหมัดของคำปัน ที่กระหน่ำเข้าใส่เขาเป็นพายุบุแคม เมื่อได้โอกาสเขาก็เข้าประชิดตัวคำปัน กระแทกข้อศอกเข้ากลางลำตัวของฝ่ายนั้นอย่างแรง ตามด้วยการเตะสะกัดเข้าไปตรงข้อพับหัวเข่า ทำให้คำปันล้มลงไปกองอยู่บนพื้น เมื่อเห็นลูกพี่ลงไปนอนตัวงอกุมท้อง เป้ยและบุญมีก็ถลันลุกออกจากแคร่ที่นั่งอยู่ ปราดเข้าใส่ชายหนุ่มทันที เป้ยซึ่งตัวใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นและเคยเป็นนักมวยมาก่อน กระโดดเข้าใส่เคน ง้างหมัดหมาย กระโดงคางของเขา กะว่าหมัดเดียวจอด แต่เคนซึ่งยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้วไวกว่า เขาใช้แขนข้างหนึ่งสับเต็มแรงลงไปบนข้อมือ ปัดหมัดของเป้ยให้พ้นออกไป พร้อมกับใช้ขาที่ยาวถีบเป้ยเต็มแรง จนกระเด็นไปปะทะเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วล้มลง แต่แล้วก็เจอเข้ากับบุญมี ที่ฉวยได้ไม้ท่อนหนึ่งที่ตกอยู่แถวๆนั้น หวดเข้ามาหมายศีรษะเขา แต่เนื่องจากเคนตัวสูงกว่า ไม้ท่อนนั้นจึงพลาดจากเป้าหมาย ไปโดนโหนกแก้มของเขา แม้ไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มผงะหงายไปได้เหมือนกัน แล้วทันใดนั้นเขาก็ถูกเป้ยซึ่งลุกขึ้นมาได้แล้ว กระโดดเข้าล้อคตัวเขาจากทางด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เคนกระแทกศีรษะของเขาไปข้างหลัง โขกเข้ากับศีรษะของเป้ยซึ่งสูงพอๆกันอย่างแรง จนมีเลือดไหลออกมาจากจมูกของเป้ย แรงกระแทกของเคนทำให้เป้ยผงะหงายไปข้างหลัง จนต้องคลายแขนที่รัดตัวเขาเอาไว้ออกจนหลวม แล้วชายหนุ่มก็เหวี่ยงตัวกลับอย่างรวดเร็วไปเผชิญหน้ากับเป้ย ที่หมุนตามเขาไปคือข้อศอก ที่กางออกเป็นมุมแหลมและเสยเข้าอย่างจังที่ต้นแขนของเป้ย ทำให้ฝ่ายนั้นเซถลาไปตามแรงกระแทก จนแขนที่ยังกอดรัดเขาอยู่หลุดออกไป ร่างของเป้ยกระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้น บุญมีซึ่งยังถือไม้อยู่ในมือ เงื้อไม้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กะฟาดลงบนตัวเขาเต็มแรง เคนฉวยโอกาสที่บุญมีกำลังเงื้อไม้อยู่ กระโจนเข้าประชิดตัว รัวหมัดเข้าใส่บุญมีจนหน้าหงายไปมาตามแรงหมัด บางหมัดเสยเข้าที่ดั้งจมูกเต็มแรงจนเลือดไหลปรี่ออกมา บุญมียกมือข้างที่ว่างขึ้นกุมจมูก เมื่อสัมผัสกับเลือดที่ไหลออกมาเป็นสาย เขาก็ชะงักเพราะความใจเสีย ชายหนุ่มฉวยจังหวะนั้นกระชากไม้ในมือของบุญมีเต็มแรง จนตัวของบุญมีหมุนไปตามแรงกระชาก เมื่อได้ไม้มาแล้วเขาก็ตั้งใจจะโยนมันไปข้างทาง ให้ห่างจากตรงที่กำลังชุลมุนกันอยู่ แต่แล้วก็มีเสียงคนร้องเตือน “ระวัง ” เคนหมุนตัวกลับทันทีที่ได้ยินเสียง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคนหลายคนซึ่งคงจะเป็นคนงาน ที่พักอยู่ที่เรือนยาวแถวนั้นยืนมุงกันอยู่ เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้มายืนกันอยู่ตั้งแต่เมื่อไร และเมื่อหันมาก็เจอกับคำปันซึ่งคงหายจุกแล้ว กระโดดเข้าใส่เขาพร้อมด้วยมีดในมือ ที่เงื้อง่าหมายจ้วงแทงที่บริเวณหน้าอกหรือช่องท้อง โดยไม่ต้องหยุดคิด...ชายหนุ่มยกไม้ที่แย่งมาได้จากบุญมีขึ้นสูง ฟาดโครมลงไปบนข้อมือข้างที่ถือมีดของคำปันอย่างแรง จนมีดหลุดกระเด็นลงไปบนพื้น คำปันสะบัดมือข้างที่ถูกตีอยู่เร่าๆด้วยความเจ็บปวด เคนตามติดด้วยการใช้เท้าเตะเข้าไปที่ขาพับเต็มแรง จนคำปันล้มลงไปอีกครั้งหนึ่ง ส่วนเป้ยและบุญมีซึ่งตั้งตัวได้แล้ว ปราดเข้าหาเคนอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้ว...ก่อนที่เรื่องจะบานปลายต่อไป ก็มีเสียงตวาดดังออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนมุงกันอยู่ “ หยุดเดี๋ยวนี้ทุกคน !! ” หนานคำนั่นเอง เขาเพิ่งออกจากไร่ผ่านมาทางนี้ เห็นคนงานหลายคนยืนมุงดูอะไรอยู่ จึงเดินเข้ามาสมทบและเฝ้าดูการต่อสู้อยู่พักหนึ่งแล้ว เขาเห็นการต่อสู้ของเคนและคิดในใจว่า 'ไอ้นี่เป็นมวยนี่หว่า' “ มีเรื่องอะไรกัน กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆยังกัดกันได้ ” หนานคำหน้าเครียด คู่ต่อสู้ทั้งสี่คนซึ่งต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันโดยถ้วนหน้า มากบ้างน้อยบ้างยืนก้มหน้า เลือดจากจมูกของบุญมียังไม่หยุดไหล “ เคน เป็นไงบ้าง ? ” กรนั่นเอง เคนไม่รู้ว่าเขาโผล่มาตอนไหน หรือร่วมอยู่ในกลุ่มที่มุงดูกันอยู่ เด็กชายเข้ามาเกาะแขนชายหนุ่ม เงยหน้าขึ้นสำรวจอย่างห่วงใย ว่าเขาบาดเจ็บฟกช้ำตรงไหนบ้าง “ อ้าว คุณกร ยังไม่ขึ้นตึกอีกหรือ ? ” เคนก้มลงถาม “ ยัง ผมไปหาคุณที่บ้าน ตาเป็งบอกว่าคุณยังไม่กลับ ผมเลยตามมาที่นี่ ” เสียงหนานคำดังขัดจังหวะขึ้นมาว่า “ พรุ่งนี้เช้าให้ทุกคนไปรายงานตัวที่ออฟฟิศเพื่อพิจารณาโทษ ” เขาหมายถึงสำนักงานในบริเวณโรงบ่ม ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา “ บุญมีตามมา จะห้ามเลือดทำแผลให้ก่อน คนอื่นๆแยกย้ายกันไปได้แล้ว ถ้ายังมีเรื่องกันอีกไม่ยอมจบ โทษจะหนักขึ้นเป็นสองเท่า ” ในที่สุดทุกคนก็แยกย้ายกันไป เคนเดินไปพร้อมกับกร ซึ่งบ่นพึมพำไปตลอดทางว่าคำปัน เป้ยและบุญมีเป็น ‘หมาหมู่’ ช่วยกันรุมเคนคนเดียว “เคน คุณเก่งจริงๆ ไอ้สามคนนั่นไม่มีทางสู้เลย แล้วยังมีดนั่นอีก ” เด็กชายทำท่าหวาดเสียวแล้วพูดต่อว่า “ คุณต่อยเก่งอย่างกับพระเอกในหนังแน่ะ คุณต้องสอนผมบ้างแล้วละ นะเคนนะ ” เคนก้มลงมองเด็กชาย ที่ตอนนี้กำลังใช้แขนสองข้างยึดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ แล้วโหนตัวขึ้นๆลงๆอยู่ “ตัวคุณเล็กแค่นี้ แล้วก็ผอมออกยังงี้จะเรียนไหวหรือ" ชายหนุ่มเย้าด้วยเสียงปนหัวเราะ "คุณต้องรับประทานอาหารมากๆจะได้ตัวโตขึ้น แข็งแรง มีกล้ามเนื้อมากขึ้นถึงจะเรียนได้ คุณว่าผมพูดถูกไหม” กรทำหน้าเง้า แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบพูดต่อโดยเร็ว “งั้นคุณต้องสัญญานะ ว่าพอตัวผมโตกว่านี้คุณจะสอนการต่อสู้ให้ผม” เคนคิดว่ากว่าจะถึงตอนนั้น เขาคงจำเรื่องต่างๆของตัวเองได้และคงไปจากเวียงพุกามนี่เสียนานแล้ว แต่ก็ต้ิองตอบเอาใจกร “ตกลง ถ้าผมยังอยู่ที่นี่นะ ” “อ้าว ถ้าไม่อยู่ที่นี่แล้วคุณจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เด็กชายท้วง “ไม่รู้สิ ” แล้วเขาก็พูดทีเล่นทีจริงว่า “ ผมอาจจะถูกไล่ออกเมื่อไรก็ได้นี่นา ” เช้าวันรุ่งขึ้น คู่กรณีทั้งสี่ไปพบหนานคำที่ห้องทำงานของเขา ในบริเวณโรงบ่ม หลังจากเทศนาอบรมสั่งสอนและคาดโทษอยู่หลายนาที หนานคำก็แจ้งว่าทั้งสี่คนถูกทำโทษตัดค่าแรงเจ็ดวันเต็ม บังคับให้จับมือกันแล้วยังคาดโทษเอาไว้อีกว่า ถ้ามีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก จะถูกไล่ออกทันทีโดยไม่มีการไต่สวน บ่ายวันนั้นหลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารเสร็จ กรก็วิ่งหน้าตั้งมาตามเคนซึ่งกำลังจะลุกจากโต๊ะอาหาร “เร็ว! เคน คุณหนูให้ผมมาตามคุณไปพบเธอหน่อย ” เด็กชายพูดไปหอบไป เพราะขี่จักรยานมาไกล “คุณหนูจะใช้ผมทำอะไรหรือไง” กรอึกอัก “ เอ้อ ผมเล่าเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ฟัง เธอเลยให้ผมมาเรียกคุณ ” แล้วเขาก็ตัดบทว่า “ คุณซ้อนท้ายผมไปดีกว่า ถ้าเดินไปมันไกลเสียเวลา เดี๋ยวเธอจะคิดว่าผมมาเถลไถล ” เมื่อถึงตึกใหญ่ เคนเดินตามกรเข้าไปในห้องสมุด ที่เด็กชายบอกว่าทิพย์สุรางค์อยู่ในนั้น เขาเห็นเธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะยาวกลางห้อง มีเก้าอี้ล้อมรอบอยู่หกตัวซึ่งใช้เป็นที่อ่านหนังสือ กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ คนทั้งสองเข้าไปยืนอยู่หลังเก้าอี้ด้านตรงข้าม ทิพย์สุรางค์รู้ว่ากรกับเคนมาถึงแล้ว แต่เธอแกล้งอ่านหนังสือเฉยอยู่ ทำเหมือนไม่เห็น กรซึ่งคิดว่าหนังสือเล่มนั้นคงสนุกมาก จนเธอไม่ได้ยินเสียงเดินของพวกเขา ส่งเสียงโหวกเหวกในทำนองบอกกล่าว "เคนมาแล้วฮะ คุณหนู ” ทิพย์สุรางค์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ มองกรแล้วเหลือบมองเคน เมื่อเห็นรอยฟกช้ำที่โหนกแก้มข้างหนึ่งของเขา เธอก็พูดด้วยเสียงเยาะๆ “ไม่ยักรู้ว่าเป็นนักเลง เห็นเงียบๆไม่พูดไม่จา ” กรมองหน้าทิพย์สุรางค์อย่างเคืองๆ “เขาไม่ใช่นักเลงสักหน่อย ผมเล่าให้คุณหนูฟังแล้วนี่ฮะ ว่าเจ้าสามคนนั่นมันช่วยกันรุมเขา เขาก็ต้องต่อสู้ป้องกันตัวเอง ไม่ใช่หรือฮะ ? ” ทิพย์สุรางค์เบนสายตาไปที่เด็กชาย ซึ่งมือข้างหนึ่งจับมือเคนเอาไว้ “ใครถาม? เธอรู้ได้ไงว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน สามคนนั่นอยู่กับเรามาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ อยู่ๆพอเพื่อนเธอมาได้ไม่กี่เดือนก็เกิดเรื่อง ” พอเห็นกรขยับปากจะเถียง ทิพย์สุรางค์ก็ยกมือห้าม “ไม่ต้องตั้งตัวเป็นทนายแก้ต่างให้เขา ถ้าเขาคิดว่าไม่ใช่คนผิด ก็ให้เขาชี้แจงเอง ” เคนมองหน้าทิพย์สุรางค์อย่างไม่เข้าใจ ว่าเธอจะสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไปทำไม ในเมื่อหนานคำก็จัดการว่ากล่าวตักเตือน ลงโทษคู่กรณีทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว เขาคิดว่าเรื่องจบไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมารื้อฟื้นว่าใครผิดใครถูก ใครหาเรื่องใคร เขาจึงไม่พูดอะไรแม้เธอจะจ้องมองเขาอย่างคาดคั้น ต้องการให้เขาชี้แจง ทิพย์สุรางค์เห็นเขาไม่พูดหรือแก้ตัวอะไร เธอก็สำแดงอำนาจให้เขาเห็นเสียเลย “ ว่าไง นายเคน มีอะไรจะแก้ตัวไหม” “ไม่มีครับ ” เขาตอบและมองสบตาเธอนิ่งๆ ในใจก็คิดว่านี่เธอกำลังจะหาเรื่องเขาอีกหรืออย่างไร ความจริงทิพย์สุรางค์รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ตอนที่หนานคำเข้ามาพบคุณดนัยที่บ้านเมื่อตอนเช้า ปกติหนานคำจะเข้ามารายงานเรื่องต่างๆ ให้คุณดนัยรับทราบทุกวันอยู่แล้ว เมื่อรายงานเรื่องอื่นจบ เชาก็เล่าเรื่องการต่อสู้ดังกล่าวขึ้นมาต่อหน้าเธอซึ่งนั่งอยู่ด้วย การที่หนานคำนำเรื่องการชกต่อยกันของลูกจ้าง มารายงานคุณดนัยทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นเรื่องเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะเวียงพุกามมีลูกจ้างผู้ชายจำนวนมาก ก็อาจจะมีการกระทบกระทั่งกันเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เนื่องจากกรณีนี้มีเคนร่วมอยู่ด้วย หนานคำจึงเห็นเป็นเรื่องสมควรที่จะรายงานให้เจ้านายทราบ ตัวเขาเองแม้จะใช้งานเคนมากขึ้น เพราะเห็นความสามารถของเขา แต่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ยังคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้อาจจะแอบแฝงเข้ามา เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง หรืออาจจะหนีคดีจากที่อื่นมาหลบซ่อนตัวอยู่ และเขายังเชื่ออีกด้วยว่า แม้แต่คุณดนัยเองก็คงคิดเช่นเดียวกับเขา “ผมดูฝีมือการต่อสู้ของเขาแล้ว ” เขาในที่นี้หมายถึงเคน “ ไม่เบาเลยครับ ” หนานคำสรุป พร้อมคำวิจารณ์ คุณดนัยเลิกคิ้ว ดึงซิการ์ที่คาบอยู่ออกจากปาก กล่าวยิ้มๆว่า “งั้นเชียวหรือ ? ” “จริงๆครับ ท่าน เจ้าเป้ยตัวใหญ่ขนาดนั้นยังกระเด็นเลยครับ บุญมีก็ดั้งจมูกร้าว ส่วนคำปันสู้ไม่ได้เลยใช้มีด แต่เขาก็ปัดได้อย่างแคล่วคล่อง ” หนานคำจาระไนให้ผู้ฟังทั้งสองเห็นภาพ แล้วเสริมว่า “ เท่าที่ผมรู้ ไอ้สามคนนั่นหาเรื่องเขาก่อน ก็คงเขม่นไม่กินเส้นกันนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ” คุณดนัยนิ่งฟังแล้วถามว่า “ แล้วไง ? ” หนานคำอึกอักก่อนอธิบายว่า “ ผมสงสัยว่าเขาเป็นใคร มีอาชีพอะไรกันแน่ เขาเคยบอกผมว่าซ่อมรถได้ ผมก็เลยให้เขาลองซ่อมรถจิ๊ป คันที่ชอบเสียบ่อยๆดู เขาก็ซ่อมได้ วิ่งหลายเที่ยวแล้วก็ยังไม่เป็นอะไร ตอนหลังๆนี่พอรถคันไหนเสียเขาก็เลยช่วยดูแลให้ ” ทิพย์สุรางค์ซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบๆ เก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในสมองอย่างรวดเร็ว “แล้วหนานคำคิดว่าเขาเคยทำงานอะไรมาก่อนล่ะ? ” หนานคำนิ่งคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ พูดยากครับคุณหนู แต่ถ้าจะให้เดา ผมว่าเขาอาจจะเคยเป็นช่างมาก่อน แต่ก็ไม่แน่ใจ ” ทิพย์สุรางค์แกล้งพูดว่า “ หนานคำว่าเขาต่อยเก่ง เขาอาจจะเป็นนักมวยก็ได้นะ ” หนานคำหัวเราะแหะๆ “ คุณหนูคิดอย่างนั้นหรือครับ ? ” คุณดนัยนั่งฟังเงียบๆ ตาของเขามีแววไตร่ตรองแต่ก็ไม่ออกความเห็นว่าอย่างไร แต่ทิพย์สุรางค์รู้จักบิดาของเธอดีว่าแม้เขาจะสงสัยอย่างไรเขาก็มักจะเก็บเงียบไว้ในใจ จนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างขึ้นมาเสียก่อน Last Update : 17 ธันวาคม 2566 10:59:13 น. | | |