เวลาที่หายไป - บทที่ 52
หลังเสร็จจากการรับประทานอาหารเย็น ที่เธอลงทุนปรุงด้วยตัวเองในรอบหลายปี ทิพย์สุรางค์ก็ขอตัวขึ้นข้างบนเพื่อไปดูลูกชายตัวน้อย ที่นางสาวแสงดาวพาขึ้นไปนอนตั้งแต่สองทุ่มแล้ว หญิงสาวเปิดประตูห้องทำงานเก่าซึ่งตอนนี้ปรับปรุงใหม่ให้เป็นห้องนอนของเด็กชาย ห้องนี้เปิดประตูทะลุถึงห้องนอนใหญ่ของเธอได้ เมื่อเข้าไปถึง ทิพย์สุรางค์พบว่าสิงห์ยังไม่ยอมนอน เขาอยู่ในเตียงเด็กแต่ไม่ได้นอน เด็กชายในเสื้อกางเกงนอนผ้าสำลีสีขาวมีลายการ์ตูน ยืนเกาะลูกกรงที่กั้นอยู่ พูดอะไรอ้อแอ้ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างกับแสงดาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พอเห็นผู้เป็นมารดาเขาก็ร้องเรียกอย่างดีใจ

“แม่! แม่! “

แสงดาวรีบรายงานทันทีเพราะกลัวความผิด “คุณสิงห์ไม่ยอมนอนค่ะ นมก็ไม่ยอมรับประทาน” แล้วเจ้าหล่อนก็แสดงหลักฐานด้วยการชูขวดนม ซึ่งยังมีนมเหลืออยู่อีกกว่าครึ่งให้ดู

“ทำไมล่ะ? ปกติป่านนี้เคยหลับแล้วนี่นา” ทิพย์สุรางค์ถอนใจ รับขวดนมจากพี่เลี้ยงไปส่งให้เด็กชายซึ่งยืนมองเธออยู่ แต่เขาไม่รับแถมยังปัดมัน จนกระเด็นตกลงไปบนที่นอนเล็กๆของเขา

“ทำไมดื้ออย่างนี้ล่ะ ลูก” 


หญิงสาวบ่นแล้วก็พยายามจับตัวเขาให้นอนลง แต่เด็กชายตัวน้อยก็ดิ้นรนอาละวาด ผลักมือเธอให้หลุดจากตัวเขา เกาะลูกกรงเตียงยันตัวขึ้นมายืนอีก ตอนนี้เขาทำปากยื่นตาคว่ำใส่เธอ

ทิพย์สุรางค์ไม่ได้สังเกตว่าคริสเดินตามเธอเข้ามาในห้องด้วย เธอรู้ว่าเขาอยู่ข้างหลัง ก็ตอนที่สิงห์ส่งเสียงกรี้ดกร้าด ทักทายเขาอย่างดีอกดีใจ พร้อมกับเต้นหยอยๆ กระแทกเท้าน้อยๆลงไปบนที่นอน คริสเดินหลีกเธอเข้าไปหาเด็กชาย ที่ตอนนี้กางแขนสองข้างออกเพื่อให้เขาอุ้ม ซึ่งชายหนุ่มก็อุ้มเขาออกมาจากเตียง

“โอ๋ ยังไม่อยากนอนหรือลูก? อยากเล่นกับพ่อใช่ไหม?” แล้วเขาก็จูบแก้มเด็กชายอีกสองสามฟอด ต่อจากตอนบ่ายที่กอดจูบกันมาพักใหญ่แล้ว

"ไม่ได้นะ เลยเวลานอนมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว นี่คุณขึ้นมาทำไม? “ ทิพย์สุรางค์ถามอย่างอ่อนใจ

“ก็ผมอยากรู้นี่ ว่าลูกผมนอนที่ไหน” เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“งั้นตอนนี้รู้แล้วก็ลงไปได้แล้ว” เธอว่า

แต่ชายหนุ่มทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาอุ้มเด็กชายสิงห์ซึ่งตอนนี้เอาศีรษะเล็กๆ ที่มีผมสีน้ำตาลเข้มหยิกเป็นขอดๆของเขา ซุกไว้ตรงซอกคอของผู้เป็นบิดา แล้วเดินไปผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของทิพย์สุรางค์ ทำให้หญิงสาวต้องรีบตามเขาออกไปอย่างเริ่มมีโมโห

“เข้ามาทำไมในนี้” เธอแหวใส่เขาไม่ดังนัก เพราะเกรงว่าแสงดาวซึ่งยังอยู่ในห้องของสิงห์จะได้ยิน

คริสไม่ตอบคำถามเธอ แต่กลับย้อนถามว่า “ทำไมต้องให้ลูกนอนต่างหาก ห้องนี้ก็กว้างขวางดีนี่นา”

“มันเรื่องของฉัน แล้วนี่เมื่อไหร่คุณจะกลับไปเสียทีล่ะ? ดึกแล้วนะ”

ชายหนุ่มเดินไปตรงประตูที่เปิดออกไปสู่ระเบียงรูปครึ่งวงกลม ที่เขาเคยวิ่งจ้อกกี้มาถึงลำธารที่อยู่ห่างออกไป แอบมองเธอในบางเช้าที่เธอออกมายืนชมวิว ทิพย์สุรางค์ชักสงสัยว่าเขามีแผนอะไรอีก เมื่อคริสหันกลับจากระเบียงเดินมาหยุดกลางห้อง เหลียวไปรอบๆ ก่อนจะตั้งคำถามกับเธอ

“ผมฝากสร้อยคอคุณกรมาให้คุณหนูเส้นหนึ่ง คุณหนูได้รับแล้วใช่ไหม?”


เธอไม่รู้ว่าเขาถามทำไมแต่ก็พยักหน้ารับว่าได้แล้ว 

คริสถามต่อว่า “แล้วเอาไปไว้ที่ไหน ทำไมไม่ใส่ หรือโยนทิ้งไปแล้ว”

หญิงสาวชักโมโหกับคำถามแบบหาเรื่องของเขา “ทำไมจะต้องใส่ ยุ่งมากนักก็เอาคืนไปเลย”

แล้วเธอก็ตรงเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ประชดด้วยการเปิดลิ้นชัก หยิบกล่องสร้อยที่ว่าออกมายื่นให้เขา คริสเอื้อมมือมารับหน้าตาเฉยแล้วยัดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ทำให้ทิพย์สุรางค์ทำหน้าบึ้งคิดในใจว่า ‘คนบ้า ให้แล้วยังมาทวงคืนหน้าตาเฉย’

หลังจากนั้นต่อหน้าต่อตาเธอที่ยืนมองอยู่ ชายหนุ่มก็เดินตรงไปที่เตียง เลิกผ้าคลุมเตียงลูกไม้สีม่วงอ่อนสวยใสออก วางเด็กชายสิงห์ลงบนที่นอน ซึ่งปูด้วยผ้าปูที่นอนเนื้อนิ่มสีเดียวกับผ้าคลุมเตียง

“ชอบเตียงใหญ่ๆใช่ไหม นายสิงห์” 


เขาไม่มองเธอเลย ขณะที่ล้มตัวลงนอนเคียงข้างเด็กชาย ที่ฟาดแขนฟาดขาลงบนที่นอนอย่างชอบอกชอบใจ แล้วเริ่มกลิ้งตัวไปมา

“นี่คุณ” 


หญิงสาวเริ่มใจไม่ดี นี่เขานึกว่าเขาเป็นใคร ถึงเธอจะยอมรับว่าเขาเป็นพ่อของนายสิงห์ก็เถิด แต่เธอกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ซ้ำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ยังมาทำเฉยเมยมึนตึง ไม่พูดไม่จากับเธอเสียอีก 

“คุณน่าจะกลับได้แล้ว สิงห์ มานี่! ไปนอนได้แล้ว”

ทิพย์สุรางค์รีรอว่าจะไปเรียกแสงดาว ให้เข้ามาเอาตัวเด็กชายไปนอนในห้องของเขาดีหรือไม่ เธอกลัวว่าแม่พี่เลี้ยงจะนำเรื่องที่คริสเข้ามาในห้องนอน แถมยังขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงของเธอ ไปโจษจันจนรู้กันไปทั่วเวียงพุกาม

พ่อลูกเล่นปล้ำกันกลิ้งไปกลิ้งมาจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ หัวเราะกันเสียงดังลั่น ทิพย์สุรางค์ซึ่งยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี เดินออกจากห้องนอนของเธอลงไปข้างล่าง เมื่อกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็พบว่าทั้งพ่อและลูกหลับไปด้วยกันแล้ว เด็กชายสิงห์นอนคว่ำหลับอยู่ตรงซอกอกของคริส ใบหน้าน้อยๆของเขาหันคะแคงข้างออกมา แขนข้างหนึ่งของคริสโอบอยู่รอบหลังของเด็กชาย

ทิพย์สุรางค์ถอนใจยาว มองหน้าสองหน้าที่อยู่ใกล้ชิดกันอย่างเปรียบเทียบ สิงห์แม้จะคล้ายคลึงกับคริสมาก แต่เธอคิดว่าเขาเหมือนจอห์น เลย์ตัน ผู้เป็นปู่ของเขามากกว่า เขาดูเป็นฝรั่งมากกว่าคริส ยืนมองอยู่ครู่ใหญ่ หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้น หยิบผ้าห่มผืนสวยสีม่วงอ่อนที่พับเรียบร้อยอยู่ปลายเตียง คลี่ออกคลุมร่างผู้ชายสองคน ที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อชีวิตของเธอ ปิดไฟกลางห้องให้เหลือแต่แสงสลัวจากไฟโคมหัวเตียง แล้วเดินออกจากห้องนั้น เพื่อจะไปอาศัยนอนที่ห้องเก่าของกรซึ่งอยู่สุดปลายตึก แต่แล้วเธอก็หยุดเดินอย่างกระทันหัน เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

หญิงสาวกลับเข้าไปในห้องนอนของเธอ เปิดประตูเข้าไปในห้องลูก เธอพบแสงดาวพี่เลี้ยงของสิงห์นั่งสัปหงกพิงเตียงคอตกอยู่ เจ้าหล่อนคงง่วงเต็มที่แล้ว แต่ไม่กล้านอนลงบนฟูกเล็กๆมุมห้องซึ่งเป็นที่นอนประจำ คงเพราะยังไม่แน่ใจว่า เจ้าของเตียงคอกจะถูกส่งตัวกลับเข้ามาหรือไม่

ทิพย์สุรางค์เรียกแสงดาวให้หอบหมอนหอบผ้าห่มตามไปที่ห้องกร ที่เธอเรียกให้เจ้าหล่อนมานอนเป็นเพื่อนที่หน้าเตียง ไม่ใช่เพราะกลัวว่าคริสจะถือโอกาสเข้ามาในห้อง โดยคิดว่าเธออยู่คนเดียว แต่เพราะเธอต้องการพยานรู้เห็นว่าคืนนั้นเธอนอนอยู่ที่ไหน ในเมื่อพ่อลูกคู่นั้นยึดครองห้องและเตียงของเธอไปเรียบร้อยแล้ว


วันรุ่งขึ้นทิพย์สุรางค์ตื่นแต่เช้ามืด แวะเข้าไปดูคนที่ยึดครองเตียงนอนของเธอและพบว่า ทั้งพ่อและลูกยังนอนหลับอยู่ด้วยกันในท่าเดิมที่เห็นเมื่อคืนนี้ หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็ลงไปข้างล่าง หยิบกุญแจรถแล้วขับไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่วกเวียนของอาณาจักรเวียงพุกาม ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีนัก จิตใจของหญิงสาวถึงแม้จะรู้สึกมีความสุขกับการมาของผู้ชายคนนั้น แต่ก็ยังว้าวุ่นตัดสินใจไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรต่อไป กับเรื่องระหว่างคริสกับเธอ รวมถึงเรื่องของเขากับผู้หญิงคนนั้นด้วย

ทิพย์สุรางค์รู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงลลิตา คริสตามรุกเธอจนถึงเวียงพุกาม เมื่อได้พบลูกชายตัวน้อยที่เขาวิ่งวุ่นเที่ยวตามหาแล้ว เขาคงไม่ยอมปล่อยเธอสองแม่ลูกไปง่ายๆ แล้วเธอจะทำอย่างไร เธอจะผลักไสเขาออกไปได้อย่างไร ในเมื่อลูกของเธอติดเขาแจขนาดนั้น ถึงเขาจะไม่เคยมีโอกาสได้เลี้ยงดูอุ้มชู แต่สิงห์ก็เริ่มติดเขา ซึ่งคงจะเป็นความดึงดูดตามสัญชาติญาณความเป็นสายเลือดเดียวกัน ของพ่อกับลูกที่อะไรก็ไม่อาจขวางได้ เธอคิดเรื่องสิงห์โดยพยายามไม่สำรวจหัวใจของตัวเอง ว่าตอนนี้มันบอกเธอว่าอย่างไรและมันต้องการอะไร?

หญิงสาวขับรถไปเรื่อยๆโดยไม่มีจุดหมาย เธอเพียงต้องการเวลาอยู่ตามลำพัง เพื่อขบคิดปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น แล้วในที่สุดก็พบตัวเองจอดรถอยู่บนลานหน้ากระท่อมของตาเป็ง เมื่อเห็นเธอ เจ้าของกระท่อมที่ห่มผ้าผวยนั่งสูบบุหรี่มวนโตอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวหน้าห้อง ก็ขมีขมันลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับ

“เชิญครับ คุณหนู”

ทิพย์สุรางค์เห็นชายชราลุกออกมาแล้ว เธอเลยจำใจต้องลงจากรถเดินเข้าไปหาแก ทั้งๆที่ไม่อยากทำเช่นนั้นเลย เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองไปทางบันไดที่นำไปสู่ชั้นบน หญิงสาวรู้สึกเก้อ จะเดินกลับไปขึ้นรถขับออกไปก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ เพราะถึงอย่างไรตาเป็งคนนี้ก็เป็นคนสนิทเก่าแก่ของบิดาเธอ คอยอนาทรห่วงใยเธออยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เล้กจนเติบใหญ่

เมื่อแกกุลีกุจอชงกาแฟแล้วยกมาให้ ทิพย์สุรางค์จึงต้องรับไว้ เธอหันรีหันขวาง ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงโต๊ะกลางห้อง มีตาเป็งตามเข้ามายืนค้อมตัวอยู่ใกล้ๆ ดวงตาที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาแต่ฉลาดเฉลียว ลอบสังเกตสีหน้าของทิพย์สุรางค์อยู่เงียบๆโดยที่เธอไม่รู้ตัว

“คุณหนูสบายดีหรือครับ?” แล้วจู่ๆแกก็ถามขึ้นมา

“ฉันสบายดี ตาเป็งล่ะเป็นยังไงบ้าง?” เธอถามตามมารยาท เสยกกาแฟขมปี๋ขึ้นจิบ เมื่อเห็นสายตาเหมือนใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ที่กำลังจับจ้องมองมา

“คุณหนูสิงห์คงยังไม่ตื่น” ชายชราพูดเรื่อยๆเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “เธอน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน นี่ถ้าท่านยังอยู่คงปลื้มมาก ท่านอยากได้หลานสักคน แต่รอแล้วรอเล่า คุณใหญ่กับคุณผู้หญิงก็ไม่มีหลานให้ท่านเสียที”

ทิพย์สุรางค์เหลือบมองตาเป็ง ไม่แน่ใจว่าแกกำลังพยายามจะพูดอะไร

“เมื่อวานคุณคริสแวะมาเยี่ยมผม ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะครับคุณหนู ผมละโมทนาสาธุที่เธอได้กลับไปพบครอบครัว ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของตัวเองว่าไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”

เมื่อวานนี้ ตอนที่แกล้งทิพย์สุรางค์ด้วยการเดินลงไปจากตึก คริสเดินเล่นไปเรื่อยๆ มองต้นไม้ใบหญ้าที่คุ้นตาที่ขึ้นอยู่สองข้างทาง อย่างเต็มไปด้วยความสุขเหมือนได้พบเพื่อนเก่า แล้วก็เจอหนานคำที่ขับรถผ่านมา เมื่อเห็นเขาชายวัยกลางคนผู้นั้นก็รีบหยุดรถ ลงมายกมือไหว้เขาอย่างตื่นเต้นดีใจ พูดจาทักทายถามทุกข์สุขกันอยู่พักหนึ่ง

เมื่อรู้ว่าคริสอยากจะแวะไปเยี่ยมตาเป็ง หนานคำก็กุลีกุจอขับรถพาเขาไปส่งที่บ้านตาเป็ง หลังจากที่พาเขากลับไปที่รถของเขาที่จอดอยู่ที่ลานหน้าตึก เพื่อเอาของอะไรบางอย่าง สำหรับหนานคำเองและคนอื่นๆอีกหลายคนในเวียงพุกาม โดยชายหนุ่มถือของชิ้นหนึ่งติดตัวไปด้วย เขามอบของฝากชิ้นนั้นให้ตาเป็ง พูดคุยกับแกอยู่พักหนึ่ง จึงกลับไปที่ตึกใหญ่แล้วเข้าไปเล่นกับสิงห์

หญิงสาวเริ่มอึดอัด เมื่อตาเป็งพูดถึงคริสขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอขยับตัวทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น แต่ชายชราพูดขัดขึ้นมาก่อน ด้วยสุ้มเสียงที่แม้จะพินอบพิเทาเหมือนเดิม แต่เธอก็มองเห็นความเมตตาและหวังดีเหมือนญาติผู้ใหญ่ ในดวงตาขุ่นมัวด้วยวัยที่มองเธออยู่

“ขอประทานโทษนะครับคุณหนู ที่ผมจะอาจเอื้อมพูดอะไรบางอย่าง ผมเห็นคุณหนูมาตั้งแต่เกิด รักและหวังดีต่อคุณหนูอย่างที่สุด เมื่อเห็นคุณหนูเป็นทุกข์ผมก็รู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วย” แกหยุดสำรวจสีหน้าเธอแล้วก็พูดต่อไปว่า “ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณหนูคงกำลังคิดหนัก อาจจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญต่อชีวิต”

ทิพย์สุรางค์หน้าเผือดสี ‘หมายความว่าอย่างไร? นี่แกรู้หรือว่า...’

“คุณหนูครับ ผมไม่ได้พยายามจะสั่งสอนคุณหนู ผมเพียงแต่จะขอร้องคุณหนูให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง โปรดอย่าใช้อารมณ์ตัดสิน จนต้องมานึกเสียใจทีหลัง ขอให้คุณหนูคิดถึงตัวเองและคุณหนูสิงห์ให้มากๆ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นหรือคนอื่นนอกจากนี้”

ตาเป็งหยุดพูด ทำท่าอ้ำอึ้ง เหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อดีหรือไม่ 

“ คุณหนูครับ ถึงผมจะแก่มากแล้ว แต่ครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นหนุ่มเหมือนคุณคริสนั่นแหละ ผู้ชายมีทางไปของเขาเสมอแหละครับ เขาอาจจะมีผู้หญิงหลายคน แต่สุดท้ายแล้วเขาจะกลับไปหาผู้หญิงคนที่เขารัก ที่มีความสำคัญต่อชีวิตเขามากที่สุดเสมอ ผมกับยายเฒ่าก็เหมือนกัน” แกหมายถึงภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่มาด่วนจากไป

“ผมเคยทิ้งแกไว้ตามลำพัง ร่อนเร่ไปโน่นมานี่ตามใจชอบ แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องกลับมาหาแก โชคดีที่แกเข้าใจและอภัยให้ผมได้ เราก็เลยอยู่ด้วยกันมาอีกยาวนานจนกระทั่งแกตายจากไป ผมมานึกถึงเรื่องที่เคยทำผิดพลาดให้ยายเฒ่าเสียใจแล้วก็นึกสงสารแกมาก แต่ยังดีที่แกให้โอกาสผม ผมจึงอยากจะบอกคุณหนูว่า ใครๆก็ทำผิดกันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งที่เคยผิดพลาดให้ถูกต้องมาถึงแล้ว ก็ควรจะคว้ามันเอาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดลอยไป เพราะโอกาสที่ว่านั้นอาจจะไม่กลับมาอีก แล้วเราก็จะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังเมื่อสายไปแล้ว”

ในขณะที่หญิงสาวกำลังตกตะลึงกับคำพูดของแก ตาเป็งก็เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในห้อง กลับออกมาพร้อมด้วยถุงกระดาษใบใหญ่ ที่แกยื่นส่งให้


“ในถุงใบนั้นมีจดหมายที่คุณคริสฝากผมไว้ให้คุณหนู วันที่เขากำลังจะเดินทางไปจากเวียงพุกาม ผมขอโทษที่ถือวิสาสะเก็บเอาไว้ ไม่ส่งต่อให้คุณหนูตามที่เขาขอร้องไว้ เพราะตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มีเจตนาจะมาหลอกลวงพวกเราเหมือนพวกนักต้มตุ๋นหรือไม่ ผมแค่พยายามจะปกป้องคุณหนูเท่านั้น ขอให้คุณหนูยกโทษความโง่เขลาของผมด้วย”

ทิพย์สุรางค์ยื่นมือไปรับถุงใบนั้นโดยอัตโนมัติ สมองของเธอหมุนจี๋ คิดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นเธอเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป เปล่า...เธอไม่ได้ขับกลับไปที่ตึกใหญ่ เธอขับมันไปเรื่อยๆจนเกือบสุดอาณาเขตเวียงพุกาม แล้วจอดรถนั่งงงอยู่ตรงนั้น 


‘แกรู้ ! ตาเป็งรู้ ! ไม่จริง ! แกจะรู้ได้ยังไง ก็แกไปงานศพญาติแกนี่นา !’

แล้วในที่สุดเมื่อนึกถึงถุงใบนั้นขึ้นมาได้ หญิงสาวก็คว้ามันมาแล้วก้มลงมอง สิ่งที่เธอเห็นก่อนของอื่นคือผ้าห่มสีเหลืองเกือบขาว ที่ห่อหุ้มอยู่ในถุงพลาสติค ทิพย์สุรางค์ชะงักกึกเมื่อนึกถึงตอนที่เธอคว้าผ้าห่มผืนนี้ จากชั้นในตู้ติดฝาในห้องแต่งตัวของเธอ เพื่อจะนำไปให้คนที่นอนป่วยอยู่ ต่อมาเธอเห็นซองจดหมายสีอ่อนจ่าหน้าถึงเธอ มันยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีใครเปิดออกอ่าน เธอแน่ใจเพราะตรงปากซองที่ปิดผนึกเอาไว้ มีลายเซ็นหวัดๆอ่านไม่ออก ซึ่งคงจะเป็นของคริส ไม่มีรอยฉีกขาด

ทิพย์สุรางค์วางจดหมายฉบับนั้นลงบนตัก ใช้มือที่สั่นเทาด้วยแรงอารมณ์หยิบของที่เหลือออกมา รองเท้าแตะคู่สวยที่เธอใส่ประจำบนตึกใหญ่ อวดโฉมของมันอยู่ในถุงพลาสติคใส เมื่อแกะถุงใบนั้นออกหยิบรองเท้าคู่นั้นมาพิจารณา ถุงพลาสติกเล็กๆใบหนึ่งก็หลุดร่วงลงมา ตอนแรกหญิงสาวไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงใบนั้นคืออะไร แต่เมื่อก้มลงเก็บและเปิดปากถุง เทสิ่งนั้นลงบนฝ่ามือแล้วพิจารณามันอยู่ครู่หนึ่ง ทิพย์สุรางค์ก็สะดุ้งสุดตัว สีหน้าของเธอแดงก่ำร้อนผ่าวด้วยความอดสู

คราวนี้ไม่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอีกแล้ว ว่าตาเป็งรู้หรือไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น !! มันคือกระดุมสีดำลายทองเม็ดเล็กๆ ที่เคยติดอยู่บนเสื้อนอนแพรคอจีนที่เธอสวมในคืนนั้น ทิพย์สุรางค์กำกระดุมเม็ดนั้น ไว้ในอุ้งมือที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อ หลับตาทบทวนถึงตอนที่เธอพยายามปล้ำใส่กระดุมเม็ดนี้ลงในรังดุม แต่ไม่สำเร็จ เพราะมือที่กำลังสั่นเทาไม่ยอมร่วมมือด้วย จนในที่สุดเธอกระชากเต็มแรง จนมันหลุดขาดออกจากตัวเสื้อ กระเด็นไปตกที่ไหนสักแห่งหนึ่งในห้องนั้น

‘โธ่เอ๋ย ทิพย์สุรางค์ ‘ หญิงสาวคร่ำครวญกับตัวเอง เสียแรงคิดว่าไม่มีใครระแคะระคายเรื่องที่เกิดขึ้น คิดว่าจะเก็บมันเป็นความลับไว้ได้ตลอดชีวิต แล้วเป็นอย่างไรล่ะ? ที่เขาพูดกันว่าความลับไม่มีในโลกนี้ กลายเป็นสัจธรรมที่เถียงไม่ออกเลย แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ตาเป็งรู้มาโดยตลอดว่าใครเป็นพ่อของลูกเธอ ทิพย์สุรางค์รู้สึกอายตาเป็งจนแทบแทรกแผ่นดินหนี นี่เธอจะมองหน้าแกได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวแน่ใจก็คือ ถึงจะรู้เรื่องนี้แต่ตาเป็งก็จะเก็บมันไว้กับตัว ไม่มีวันเสียละที่แกจะนำไปโพนทนากับใคร

ทิพย์สุรางค์นั่งคิดอยู่อีกนาน แล้วในที่สุดก็เปิดจดหมาย ที่คริสเขียนถึงเธอเมื่อกว่าสองปีที่ผ่านมาออกอ่าน

“คุณหนูครับ

ตอนที่คุณหนูได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ผมคงไม่ได้อยู่ที่เวียงพุกามแล้ว คุณหนูหนีไปกรุงเทพฯ ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลย ผมเสียใจและขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมจะไม่แก้ตัวอย่างไรทั้งสิ้น มันเป็นความผิดของผมเอง ที่ถือโอกาสจากความเมตตาห่วงใยของคุณหนูมาทำร้ายคุณหนู ผมเป็นทุกข์มากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมเห็นใจและเข้าใจที่คุณหนูโกรธและคงจะเกลียดผมด้วย ผมคิดจนหัวแทบระเบิด ว่าจะแก้ไขความผิดที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีใด ถ้าฆ่าผมให้ตายแล้วจะช่วยให้คุณหนูสบายใจขึ้นได้บ้าง ผมก็พร้อมที่จะมอบชีวิตให้ โปรดบอกผมมาเถิดครับว่าคุณหนูต้องการอย่างไร ผมพร้อมที่จะทำตามบัญชา

คุณหนูครับ หลังจากที่คุณหนูจากไปได้สามอาทิตย์ ก็มีนักสืบเอกชนที่ครอบครัวผม มอบหมายให้ติดตามหาตัวผมมานานหลายเดือนแล้ว เข้ามาพบผมที่เวียงพุกาม โดยอาศัยเบาะแสจากรูปผมที่คุณหมอประสพชัยนำไปติดไว้ที่บอร์ดข่าวของโรงพยาบาล ผมเองก็ไม่แน่ใจนักหรอก ว่าเรื่องที่เขาบอกผมเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมไม่มีทางเลือก ผมจำเป็นต้องไปจากเวียงพุกามเพื่อไปหาความจริงเกี่ยวกับตัวเอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงจะจำอดีตไม่ได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าผมไม่ใช่คนเลว ผมไม่ใช่คนที่ไร้การศึกษา ผมก็บอกไม่ได้ว่าทำไมจึงเชื่ออย่างนั้น อาจจะเป็นสัญชาติญาณหรืออะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมมั่นใจเช่นนั้น

คุณหนูครับ โปรดทราบว่าผมทำเช่นนี้เพื่อคุณหนูคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมา ผมอาจจะตัดสินใจอยู่ที่เวียงพุกามต่อไปและเลิกสนใจอดีต แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ผมก็จำเป็นต้องดิ้นรนค้นหาตัวเองให้พบ เมื่อพบแล้วผมก็จะกลับมาหาคุณหนู มาขอให้คุณหนูพิจารณาว่าจะยอมรับผมได้หรือไม่ กับตัวตนจริงๆที่ผมเป็นและมีอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคุณหนูแต่เพียงผู้เดียว

ผมคงต้องจบจดหมายแต่เพียงเท่านี้ ผมจะกลับมาพบคุณหนูโดยเร็วที่สุด ทันทีที่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ขอให้คุณหนูมั่นใจว่าผมจะทำตามคำพูดในจดหมายนี้ทุกอย่าง และไม่ใช่เพราะความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพราะหัวใจที่ทรยศต่อความเจียมตัวของผม เรียกร้องต้องการอย่างที่สุดด้วย

เคน

อ่านจบแล้วทิพย์สุรางค์ก็นั่งซึม น้ำตาของเธอไหลรินออกมาเรื่อยๆ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมคริสจึงรีบร้อนจากไป เขาทุกข์ร้อน เขาแคร์เธอ เขาห่วงใยเธอ และประโยคสุดท้ายในจดหมายบอกเธอให้รู้ว่า...เขารักเธอ

โธ่เอ๋ย...ถ้าเธอได้รับจดหมายฉบับนี้ เสียตั้งแต่ตอนที่กลับมาเวียงพุกามหลังงานศพบิดา เหตุการณ์ต่างๆคงจะไม่พลิกผันถึงขนาดนี้ ทั้งคริสและเธอต่างก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเช่นนี้ เขาคงจะอยู่เคียงข้างคอยปลอบโยนให้กำลังใจเธอ เธอคงไม่ต้องอกสั่นขวัญหายอยู่ตามลำพัง ตอนที่รู้ว่าจะต้องคลอดลูกด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้อง ลูกของเธอก็จะได้เห็นหน้าพ่อ ได้รับไออุ่นจากอ้อมอกพ่อตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก เธอเองก็คงไม่ต้องอ้างว้างว้าเหว่ อุ้มท้องและเลี้ยงลูกอยู่คนเดียวนานเป็นปี ทิพย์สุรางค์แน่ใจว่าคริสเป็นผู้ชายแบบที่จะอยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจและปกป้องคุ้มครองผู้หญิงของเขาในทุกสถานการณ์

จดหมายของคริสเป็นสิ่งยืนยันว่าเขารักเธอ เป็นคำมั่นสัญญาว่าเขาจะกลับมาหาเธอ มารับผิดชอบเธอ เป็นเพราะตาเป็งแท้ๆที่เก็บมันไว้ไม่ส่งมอบให้เธอเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่จะโทษแกเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เธอรู้ว่าแกทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และด้วยเจตนาดี กลัวว่าคริสจะมาหลอกลวงคิดร้ายต่อเธอ

ถึงอย่างไรเธอก็โกรธตาเป็งไม่ลง มันคงจะเป็นชะตากรรมของเธอเอง ที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆผันแปรไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ถึงจะเป็นโชตชะตาที่โหดร้าย แต่มันก็ทำให้เธอและคริสได้ตระหนักชัด ถึงหัวใจของตัวเองว่าต้องการอะไร เรียนรู้ที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ความมั่นคงของจิตใจของกันและกัน

หญิงสาวนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่รับรู้ว่าเธอหายตัวจากตึกใหญ่มานานเท่าไหร่แล้ว มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อรถคันสีดำของคริสแล่นมาจอดต่อท้ายรถเธอ คนขับลงจากรถเดินเข้ามาหาเธออย่างรีบร้อน เมื่อเห็นหน้าที่มีแต่น้ำตาของทิพย์สุรางค์และเข้าของที่กองอยู่ใกล้ตัว รวมทั้งจดหมายที่อยู่ในมือเธอ คริสก็ขมวดคิ้ว

“คุณหนูเป็นอะไร? ทำไมมาอยู่ที่นี่? ผมเที่ยวตามหาเสียเกือบทั่วเวียงพุกาม แล้วนี่อะไร?”

เขาคว้าจดหมายจากมือเธอมาดู เห็นแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นจดหมายที่เขาฝากตาเป็งไว้ให้เธอ ก่อนไปจากเวียงพุกาม 


ทิพย์สุรางค์สะอื้นฮักบอกเขาว่า “จดหมายของคุณ ตาเป็งเพิ่งให้ฉันวันนี้” เธอนิ่งอึ้งแล้วพูดต่อว่า “ผ้าห่มผืนนี้ที่ฉันเอาไปให้คุณคืนนั้น รองเท้าแตะ แล้วก็นี่..”

ทิพย์สุรางค์แบมือข้างที่ยังกุมกระดุมเม็ดนั้นเอาไว้ให้เขาดู คริสมองตามของทุกชิ้นที่เธอจาระไน เมื่อเห็นกระดุมเม็ดนั้น เขาก็หยิบออกมาดูแล้วถามอย่างสงสัยว่า “นี่กระดุมอะไรครับ?”

หญิงสาวตอบอย่างกระท่อนกระแท่นโดยไม่สบตาเขา “กระดุมเสื้อนอนตัวที่ฉันใส่คืนนั้น”

“คุณหนูหมายความว่าตาเป็ง....?”


ทิพย์สุรางค์พยักหน้ารับ “ใช่ แกรู้ แกเก็บของพวกนี้ไว้ เพิ่งคืนให้ฉันวันนี้” เธอไม่คิดจะเล่าให้เขาฟังหรอก ถึงคำเตือนทางอ้อมด้วยความหวังดีของตาเป็ง

ชายหนุ่มมองหน้าเธออย่างสงสารและเห็นใจ “ลงจากรถก่อนเถอะครับ คุณหนู”

เมื่อเห็นเธอยังนั่งเฉยเหมือนไม่ได้ยิน เขาก็ช้อนตัวเธอออกจากรถ เดินไปไม่กี่ก้าวก็วางเธอลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ออกดอกสีแดงพราวไปทั้งต้น ดอกร่วงๆของมันกลายเป็นพรมอ่อนนุ่มรองรับร่างของทิพย์สุรางค์ เขานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ จับมือทั้งสองข้างของเธอมากุมเอาไว้

“อย่าร้องไห้เลยนะครับ คิดเสียว่าฝันร้ายผ่านไปแล้ว ถึงตาเป็งจะรู้ก็ไม่เป็นไร คุณหนูก็รู้ว่าแกจงรักภักดีกับคุณหนูมาก แกคงไม่ไปเที่ยวพูดให้เสียหาย” เขาปลอบ


ทิพย์สุรางค์พยักหน้า “เรื่องนั้นฉันรู้”

เธอสะอื้นฮักน้ำตายังไม่หยุดไหล จนชายหนุ่มต้องดึงตัวเธอเข้ามาแนบอกอย่างแสนสงสาร บรรจงซับน้ำตาให้ด้วยจูบที่อ่อนโยนปราณี ไม่ใช่จูบที่ร้อนแรงด้วยความพิศวาส

แล้วคริสก็พูดบางอย่างกับเธอ บางอย่างที่เธอรอคอยอยากได้ยินจากปากเขามาแสนนาน

“คุณหนูครับ ผมอยากจะบอกคุณหนูถึงความในใจของผมต่อคุณหนู ว่าผมรักคุณหนูมาก รักมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ตอบไม่ได้ อาจจะตั้งแต่ตอนที่คุณหนูคอยไล่เบี้ยไล่ต้อนผมอยู่บ่อยๆนั่นก็ได้ แต่ผมคงไม่รู้ใจตัวเอง อีกอย่างผมต้องพยายามหักห้ามใจ ไม่บังอาจคิดอาจเอื้อมจะดึงคุณหนูลงมาต่ำ ตอนนั้นผมเป็นแค่นายเคน คนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเอง ไม่มีอะไรที่จะให้คุณหนูได้เลย ตอนที่ผมกลับไปบ้านที่อเมริกาและรู้ว่ามีสัญญาอยู่กับลิตา ผมควรจะมีความสุขที่ได้กลับไปพบเขา แต่ทำไมผมถึงไม่ยินดีเท่าที่ควร ผมกลับร้อนรุ่มกลุ้มใจ เฝ้าแต่คิดถึงอยากกลับมาหาคุณหนู แต่ก็อย่างที่รู้ คุณหนูไม่เข้าใจผม หนีผมไปเหมือนเกลียดชังไม่อยากเห็นหน้าผมอีก คุณหนูชอบทำให้ผมหัวหมุนอยู่เรื่อย ทั้งๆที่ความจริงคุณหนูก็คงรักผมเหมือนกัน” เขาตัดพ้อเธอ แต่อย่างเต็มไปด้วยความสุข

ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ทิพย์สรางค์ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “คุณหนูครับ ผมอยากให้คุณหนูรับรู้เอาไว้ด้วยว่า ที่ผมอยากแต่งงานกับคุณหนูก็เพราะผมรักคุณหนูมาก รักคุณหนูคนเดียวเท่านั้น ไม่มีคนอื่นอยู่ในหัวใจของผมอีกแล้วนอกจากคุณหนู และต่อให้คุณหนูไม่มีลูกผมก็ยังอยากแต่งงาน อยากร่วมชีวิตกับคุณหนูอยู่ดี ถ้าคุณหนูตกลงยอมแต่งงานกับผม ผมสัญญาว่าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ที่รักลูกรักเมียอย่างที่สุด จะทะนุถนอมดูแลคุณหนูตลอดชีวิต เหมือนที่พ่อผมรักแม่ทะนุถนอมแม่มาตลอด ผมต้องการชีวิตครอบครัวแบบนั้น”

เขามองเธอด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ตอนนี้ถึงตาคุณหนูมั่งแล้ว คุณหนูจะช่วยบอกให้ผมชื่นใจบ้างได้ไหมครับ ว่าผมไม่ได้ทึกทักเอาเองว่าคุณหนูก็รักผมเหมือนกัน”

ตอนนี้ทิพย์สุรางค์หมดสิ้นความเคลือบแคลงสงสัย ในความรักความจริงใจของคริสต่อเธอแล้ว ข้อเคลือบแคลงใจทั้งหมดของเธอได้รับคำตอบหมดสิ้นแล้ว เขาเพิ่งบอกเธอเมื่อกี้อย่างชัดเจนว่าเขารักเธอคนเดียว ไม่มีหญิงอื่นนอกจากเธอในหัวใจเขา เขาไม่ได้อยากแต่งงานกับเธอเพราะบังเอิญมีลูกด้วยกัน แม้ไม่มีลูกเขาก็ยังอยากแต่งงานร่วมชีวิตกับเธออยู่ดี

นอกจากนี้ คำเตือนด้วยความหวังดีของตาเป็งยังบอกให้เธอรู้ว่า ถ้ายังฝืนปกปิดความจริงในหัวใจขับไล่ไสส่งเขาต่อไป คริสก็อาจจะฮึดขึ้นมา เขาไม่ใช่ผู้ชายไร้ค่าเสียจนไม่มีหญิงใดแยแส ตรงกันข้ามเขามีคุณค่าสูง สูงเสียจนผู้หญิงสาวสวยที่เพียบพร้อมอีกคนหนึ่งที่เห็นค่าของเขา กำลังรอเขาอยู่และพร้อมที่จะรับเขากลับคืนสู่อ้อมใจ โดยไม่มีข้อแม้ใดใด

เมื่อทุกอย่างชัดเจนขนาดนี้แล้ว ควรหรือที่เธอจะคิดมากคิดมายเสียจนไม่ยอมตัดสินใจ คว้าโอกาสที่เขาเสนอให้จนหมดหัวใจเช่นนี้ จริงอย่างที่ตาเป็งว่า โอกาสไม่ใช่จะลอยมาได้บ่อยๆ ถ้าไม่คว้าเอาไว้มันก็จะลอยผ่านไป..ไปเป็นของคนอื่น ไม่มีทางที่จะหวนกลับคืนมา

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ในวันนี้ได้ ใครสักกี่คนจะรู้ว่าที่ผ่านมาเธอคิดอะไรอยู่ ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเธอจึงปฎิเสธคริสมาตลอด แม้แต่พี่ชายกับพี่สะใภ้ของเธอเองก้อาจจะคิดว่าเธอเรื่องมาก ทำเล่นตัวเจ้าแง่แสนงอนโดยไม่มีเหตุผล เขามาง้อเท่าไหร่ก็ไม่เล่นด้วย แต่ทิพย์สุรางค์รู้จักตัวเองดีว่าเธอมีจุดยืนที่มั่นคงที่ยึดมั่นตลอดมา ถ้าจะแต่งงานกับผู้ชายสักคน เขาคนนั้นจะต้องทำให้เธอมั่นใจ ว่าเขารักเธอที่ตัวของเธอเท่านั้น ต้องเป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข เธอต้องได้หัวใจของเขาทั้งหมด ถ้าไม่ได้ทั้งหมดก็เชิญเอากลับคืนไปให้หมด

ที่ผ่านมา คริสกระทำการที่ข้ามขั้นตอนมาตลอด แม้เขาจะพยายามง้องอนเธอ ออกปากขอรับผิดชอบเธอด้วยการแต่งงานก็จริง แต่มันเป็นความรับผิดชอบบนความสำนึกผิด ที่เขาทำให้เธอเสียหาย ไม่มีแม้สักครั้งที่เขาจะบอกเธอว่า ที่เขาขอรับผิดชอบเธอ ขอแต่งงานกับเธอเพราะความรัก ต่อให้เธอรู้แน่ว่าคริสรักเธอแต่ไม่เคยเอ่ยปากบอกรัก มีหรือที่ผู้หญิงหยิ่งยโสอย่างเธอ จะโมเมทึกทักเอาเองได้ว่าเขารักเธอ

นอกจากนี้ทิพย์สุรางค์ยังรู้ว่าผู้ชายอย่างคริส ซึ่งเป็นชายสุจริตที่ไม่เคยคิดจะหลอกลวงหญิงใดให้หลงเล่ห์ จะไม่มีวันออกปากว่ารักผู้หญิงคนไหนได้อีก ถ้าเขายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ในหัวใจ วันนี้เขาบอกเธอเองว่าเขารักเธอ ซึ่งเธอเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ว่าไม่มีความรักต่อผู้หญิงคนนั้นหรือคนไหน ค้างคาอยู่ในหัวใจของเขาอีกแล้ว มิฉะนั้นคงจะไม่มีวันนี้ วันที่เขาเปิดหัวใจทั้งหมดออกให้เธอเห็น ว่าเธอคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของครอบครองหัวใจเขา

ตอนนี้เมื่อจุดยืนของเธอได้รับการตอบสนองหมดทุกข้อแล้ว เธอจะปล่อยเขากลับไปหาลลิตาได้อย่างไร ที่ผ่านมาเธอก็ได้พยายามให้โอกาสผู้หญิงคนนั้นมากพอแล้ว ที่จะดึงหัวใจของคริสกลับคืนไป แต่เมื่อทำไม่ได้ โอกาสของลลิตาก็ต้องผ่านเลยไปเช่นเดียวกัน 


เกมความรักก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากเกมสงครามสักเท่าไหร่ ฝ่ายที่รู้จักฉกฉวยโอกาสที่ไม่ว่าจะลอยมาเองโดยไม่ได้ร้องขอ หรือลอยมาโดยสถานการณ์ที่บังคับเอาไว้ จะเป็นผู้ชนะในที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาเนิ่นนานแต่มันก็คุ้มค่า กับการได้มาซึ่งหัวใจของผู้ชายคนที่มีค่าสำหรับเธอ หัวใจที่เขาส่งมอบให้เธอเองโดยไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะได้มันมา แล้วตอนนี้ทำไมเธอจะต้องบิดพลิ้วต่อไป

คิดตกแล้วทิพย์สุรางค์ก็หันไปกอดตอบคริส บอกเขาว่า “ขอบคุณมากค่ะ คริส ที่รักฉันอยากแต่งงานกับฉัน ฉันคงปฏิเสธคุณไม่ได้ เพราะ..เพราะฉันเองก็รักคุณ ขาดคุณไม่ได้เหมือนกัน ฉันขอฝากชีวิตและอนาคตของฉันกับลูกไว้ในกำมือคุณด้วย”

สิ้นคำพูดที่ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน ทั้งน่ารักและน่าสงสาร เหมือนฝากเนื้อฝากตัวของทิพย์สุรางค์ คริสก็กระชับอ้อมแขนที่กอดเธออยู่ แน่นขึ้นกว่าเก่าอย่างซาบซึ้งดื่มด่ำ 


“คุณหนูครับ วันนี้ผมมีความสุขที่สุด ที่ได้ยินจากปากคุณหนูเป็นครั้งแรกว่ารักผม ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง ผมจะรักจะถนอมคุณหนูคนเดียวตลอดชีวิต”

ดวงตาสองคู่ที่ต่างก็เพิ่งรู้ใจตัวเอง มองสบกันอย่างอ่อนหวานซาบซึ้งด้วยภาษาของหัวใจ นั่งกอดกันอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งด้วยความสุขความสมหวังที่ล้นปรี่ แล้วในที่สุดทิพย์สุรางค์ก็ขยับตัวออกจากอ้อมแขนที่อบอุ่นของคริส 


“คุณจะกลับวันนี้ไม่ใช่หรือ?”

“ครับ รอผมนะ ผมจะกลับมาหาคุณหนูกับนายสิงห์ ทันทีที่เคลียร์เรื่องทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เราจะแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด ตกลงนะครับ ห้ามเบี้ยวห้ามเกเรอีก รู้ไหม”

พอพูดจบ คริสก็หยิบสายสร้อยทองคำขาว ที่ห้อยจี้เพชรรูปหัวใจสามดวง เส้นที่ขอคืนจากเธอเมื่อคืนที่ผ่านมา ออกจากกระเป๋ากางเกง บรรจงสวมมันลงไปบนลำคองามระหงของทิพย์สุรางค์ จุมพิตแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างอ่อนโยนทะนุถนอม 


“ขอให้คุณหนูจำเอาไว้เสมอว่า หัวใจสองดวงของผมกับลูก ฝากไว้แนบชิดติดอยู่กับหัวใจของคุณหนู กลายเป็นหัวใจดวงเดียวกันแล้ว เราสามคนพ่อแม่ลูกจะไม่มีวันพรากจากกันอีกต่อไป”


 



Create Date : 06 ตุลาคม 2567
Last Update : 6 ตุลาคม 2567 19:43:03 น.
Counter : 185 Pageviews.

6 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณปัญญา Dh, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน, คุณหอมกร, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณtanjira, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณผู้ชายในสายลมหนาว, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณเนินน้ำ, คุณSweet_pills, คุณ**mp5**

  
ใกล้จบแล้วใช่ไหมครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 ตุลาคม 2567 เวลา:22:01:20 น.
  
ใกล้จบแล้วแน่ๆ ค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 7 ตุลาคม 2567 เวลา:7:45:35 น.
  
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่บล็อกนะคะ

เมื่อก่อนเป็นคนชอบอ่านนิยายมากค่ะ
แต่หลายปีมานี้ไม่ได้อ่านเลยค่ะ ด้วยสายตาที่แย่ลง
ในหนังสือยังพออ่านได้บ้างนะคะ แต่กับหน้าจอนี่ไม่ได้เลยค่ะ

โดย: tanjira วันที่: 8 ตุลาคม 2567 เวลา:13:00:32 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องตุ้ย

อ่านจบแล้ว พลอยโล่งใจ ที่ทิพย์สุรางค์ ละพยศ หายงอน ด้วย
ได้รับคำเตือนจากคนใช้เก่าแก่และได้รู้ความจริงจากจดหมายของคริส
ที่ฝากให้เธอ แต่คนใช้หวังดี ทำให้ทั้งคู่ต้องไม่เข้าใจกันนานเป็นปี ๆ
เฮ้อ! ทุกอย่างคลายปมแล้ว ต่อไปก็ต้องมาลุ้นและสงสารลลิตาต่อไป
ว่า เธอจะทำอย่างไร กับการไม่ได้แต่งงานกับคริส เนาะ จะรออ่าน
ตอไป จ้ะ

โหวดหมวด งานเขียนฯ

โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 8 ตุลาคม 2567 เวลา:14:51:53 น.
  
ยังคงเข้ามาติดตามอ่านตลอดค่ะ
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 9 ตุลาคม 2567 เวลา:13:46:09 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 11 ตุลาคม 2567 เวลา:12:55:55 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#20



ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
ตุลาคม 2567

 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com