เวลาที่หายไป - บทที่ 13
ปลายเดือนนั้นในช่วงที่มีวันหยุดราชการหลายวันซึ่งหยุดติดต่อกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ วุฒิเลิศและภรรยาก็ขึ้นมาเวียงพุกาม มีพรรคพวกเพื่อนฝูงจากกรุงเทพฯติดตามมาด้วยหลายคน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในภาคเหนือ รวมทั้งอยากจะท่องป่าชมธรรมชาติกันด้วย

ในบริเวณเวียงพุกามมีบ้านพักรับรองแขกปลูกรวมกันอยู่เป็นกลุ่มสามหลัง ตรงจุดที่อยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามที่อยู่ต่ำลงไปซึ่งประกอบด้วยดงไม้ใหญ่ ลำธารสายเล็กๆโขดหินน้อยใหญ่และกอดอกไม้มากมายหลากหลายทั้งสีและพันธ์ พรรคพวกเพื่อนฝูงของวุฒิเลิศและสิริมาจากกรุงเทพฯมีทั้งหมดห้าคน เป็นผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกสองคน ประสพชัยและชาคริตตามมาสมทบทีหลัง แขกทั้งหมดนี้แยกกันพักอยู่ในบ้านรับรองสองหลัง ทิพย์สุรางค์ถือโอกาสนี้ชวนสุวรรณีกับระวิพรเพื่อนสาวสองคนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานมาสมทบด้วย

คณะนักท่องเที่ยววางแผนการเดินทางกัน วุฒิเลิศเรียกหนานคำซึ่งรู้จักสถานที่ต่างๆดีมาสอบถาม ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใดบ้างที่น่าสนใจ ในที่สุดตกลงกันว่าจะเที่ยวในแม่ฮ่องสอนนี้ก่อน เพราะมีสถานที่หลายแห่งที่น่าสนใจ รวมทั้งระยะทางก็ไม่ไกลกันนัก หนานคำเสนอว่าถ้าอยากจะเข้าวัดไหว้พระชมวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ควรไปที่วัดพระธาตุดอยจองมู วัดจองคำและวัดจองกลาง ซึ่งอยู่ใกล้กันและอยู่ในเขตอำเภอเมือง

ถ้าอยากชมน้ำตกเขาก็แนะนำให้ไปชมน้ำตกผาเสื่อ ซึ่งก็อยู่ในเขตอำเภอเมืองเช่นเดียวกัน หรือจะไปเที่ยวที่วนอุทยานถ้ำปลาก็ดี ถ้าอยากจะล่องเรือไปชมหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวแล้วไปต่อถึงบ้านน้ำเพียงดิน ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้พรมแดนไทยกับสหภาพพม่าก็ได้ โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วหนานคำก็แนะนำเพิ่มเติมว่า ควรจะไปชมถ้ำน้ำลอดซึ่งอยู่ในเขตอำเภอปางมะผ้า ห่างจากอำเภอเมืองไปประมาณ 77 กิโลเมตร ถ้าต้องการจะไปอุทธยานแห่งชาติ เช่นอุทธยานแห่งชาติสาละวินก็ต้องไปไกลถึงเขตอำเภอแม่สะเรียง หรืออุทธยานแห่งชาติน้ำเงาก็ต้องไปถึงเขตอำเภอสบเมยซึ่งอยู่ค่อนข้างไกล ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง

หลังจากกำหนดจุดน่าสนใจที่จะไปเที่ยวและตกลงกันได้ว่าจะใช้เวลาทั้งหมดสามวัน โดยสองวันแรกจะเที่ยวกันในละแวกใกล้ๆ เมื่อตกเย็นหลังเที่ยวเสร็จก็จะกลับมานอนที่เวียงพุกาม ส่วนวันที่สามอาจจะไปเที่ยวอุทธยานแห่งชาติ ซึ่งอยู่ไกลและคงจะต้องค้างที่นั่นหนึ่งคืน เพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในละแวกใกล้เคียงด้วย หลังจากนั้นวุฒิเลิศก็บอกหนานคำว่า เขาต้องการให้หนานคำไปด้วยเพื่อช่วยนำทาง ชายวัยห้าสิบกว่าจึงเข้าไปรายงานให้คุณดนัยทราบ

ประมุขของเวียงพุกามถามว่า “ แล้วจะไปกันยังไง ? ”

“คงต้องใช้รถตู้โฟร์วีลคันใหญ่ครับ เพราะทั้งหมดที่จะไปกันก็สิบสามคนแล้ว รถคันนั้นนั่งได้ประมาณสิบห้าคนทั้งคนขับ ”

“ ใครจะขับไป ? ”
“ ผมกะว่าจะให้เคนขับไปครับ คุณใหญ่ขอให้ผมไปด้วยเพื่อช่วยนำทาง ถ้าให้อินแปงหรือคำปันไปขับรถ ทางนี้ก็จะขาดหัวเรี่ยวหัวแรงในไร่ไป ”

“เคนหรือ? ทำงานเป็นยังไงบ้างล่ะ ? นานๆจะเห็นหน้าสักที ตอนนี้แกเลิกสงสัยมันแล้วหรือ ? ”

“ตั้งแต่เขามาทำงานใกล้ชิดกับผม ผมสังเกตว่าเขาเป็นคนซื่อ เรียนรู้งานได้เร็ว ตอนนี้เลยให้เขาช่วยดูแลงานหลายอย่างแทนผม ซึ่งเขาก็ทำได้ดี แต่พูดจริงๆแล้ว ผมก็ยังไม่เลิกระแวงหรอกครับ ยังคอยติดตามดูอยู่เสมอ ”

“ งั้นก็แล้วแต่แกก็แล้วกัน ถึงยังไงก็มีแกคุมไปด้วยอยู่แล้ว ” แล้วเขาก็ถามต่อไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่า “ เคนขับรถคันนั้นได้หรือ  ฝีมือการขับรถเป็นยังไง ไว้ใจได้หรือเปล่า ? ไอ้ประเภทซิ่งเป็นอย่างเดียวน่ะไม่เอานะ อย่าลืมว่าต้องขึ้นเขาลงเขาแยะเหมือนกัน ”

“เขาขับรถดีครับ ผมเคยใช้เขาหลายครั้งแล้ว ที่สำคัญคือเขาซ่อมรถได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นยังพอพึ่งพาเขาได้ ”

เมื่อฟังคำยืนยันจากหนานคำเช่นนั้น คุณดนัยก็เลยเลิกซักถาม ส่วนหนานคำก็เรียกเคนมาบอกเรื่องที่จะให้ช่วยขับรถ พานักท่องเที่ยวที่เป็นแขกของเวียงพุกามไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

ชายหนุ่มคนนั้นรับคำด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ ไม่โต้แย้งหรือซักถามอะไรให้มากเรื่อง ทำให้หนานคำพอใจอยู่ครามครัน เพราะเคยเจอคนขับรถแบบคำปันมาแล้ว ที่ชอบบ่นชอบทำท่าไม่พอใจ ถ้าต้องถูกใช้ให้ไปไหนหรือทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน

แล้วการเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีเคนเป็นคนขับรถตู้โฟร์วีลคันใหญ่ หนานคำนั่งไปด้วยข้างหน้า กรนั่งอยู่ระหว่างเคนกับหนานคำ ความจริงเคนไม่ได้อยากมากับคณะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้หรอก เพราะเขาแทบจะไม่รู้จักใครเลย และนอกจากนี้ยังสำนึกในสถานภาพของตัวเองดี ว่าเป็นเพียงคนนิรนามที่มาพึ่งพิงเวียงพุกามอยู่ชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่อยากเข้าไปสุงสิงใกล้ชิดกับแขกของเวียงพุกาม แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของคุณดนัย เขาจึงไม่อาจขัดได้

และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ตั้งแต่มาอยู่ที่เวียงพุกาม เขาแทบไม่เคยได้ออกไปที่ไหนเลย ยกเว้นขับรถไปรับหรือไปส่งกรที่โรงเรียนสองสามครั้งเท่านั้น ตอนที่อินแปงหรือคำปันไม่ว่าง การไปครั้งนี้ เขาอาจจะมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตา เห็นสถานที่ต่างๆและมองหาลู่ทางที่อาจจะเป็นเบาะแส นำเขากลับไปหาครอบครัวของเขาได้ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเป็นความหวังลมๆแล้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่อย่างน้อยเคนก็ยังอยากหวังอยู่ดี ถ้าไม่มีความหวังมาคอยหล่อเลี้ยงจิตใจบ้างแล้ว เขาก็คงจะหดหู่เศร้าหมอง มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

การท่องเที่ยวเริ่มต้นที่วัดจองคำ หรือพระอารามหลวงวัดจองคำที่ตั้งอยู่ริมหนองจองคำ วัดจองคำนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2340 เป็นวัดแรกของเมืองแม่ฮ่องสอน คณะนักท่องเที่ยวต่างแยกย้ายกันเดินชมสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนา ซึ่งงดงามอลังการแบบศิลปะไทยใหญ่ ที่เห็นโดดเด่นงามจับตาคือหลังคาทรงปราสาทเก้าชั้นและวิหารหลวงพ่อโต เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างโดยช่างสร้างพระชาวพม่าในปี พ.ศ.2477

เคนซึ่งยืนอยู่นอกวิหาร เห็นทิพย์สุรางค์และชาคริตเข้าไปนั่งกราบหลวงพ่อโตอยู่ด้วยกัน เมื่อกราบพระพุทธรูปและถวายพวงมาลัย ที่เขาเห็นเธอซื้อติดมือมาจากหน้าวัดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นก็นั่งพนมมืออธิษฐานอะไรอยู่เงียบๆเป็นเวลานาน ก่อนเดินเคียงคู่กับชายหนุ่มผู้นั้นออกไปจากวิหาร

หลังจากใช้เวลาอยู่ในวัดจองคำประมาณครึ่งชั่วโมง หนานคำก็เดินนำหน้าพานักท่องเที่ยวเข้าไปชมวัดจองกลางซึ่งอยู่ติดกันต่อไป ภายในวัดมีแท่นตั้งพระพุทธสิหิงห์จำลอง ปิดทองเหลืองอร่ามทั้งองค์ นักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯและแม่ฮ่องสอนต่างก็พากันเข้าไปสักการะ บางคนก็ถวายดอกไม้ธูปเทียนที่นำติดตัวมาด้วย

หลังจากนั้นก็ทยอยกันเข้าไปชมศาลาการเปรียญที่สวยงาม ภายในศาลามีภาพสีเรื่องพระเวสสัดรชาดก ที่เขียนจากด้านหลังของกระจก และพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาไม้แกะสลักจากไม้สัก 33 ตัว ที่นำมาจากสหภาพพม่าเมื่อปีพ.ศ. 2400 เคนและกรเดินตามเข้าไปยืนดูตุ๊กตาเก่าแก่เหล่านั้นอย่างสนใจ กรบอกเคนว่าคุณหนูของเขาคงจะชอบตุ๊กตาพวกนี้ เพราะเธอชอบของโบราณมาก

จุดท่องเที่ยวต่อไปคือวัดพระธาตุดอยกองมูซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยกองมู เคนขับรถไปตามเส้นทางที่นำไปสู่ดอยกองมู ตามคำบอกของหนานคำ จุดแรกที่แวะชมคือวัดพระนอนซึ่งตั้งอยู่ตรงเชิงดอยกองมู กลุ่มของวุฒิเลิศเข้าไปสักการะพระนอนองค์ใหญ่ ยาวประมาณ 12 เมตร สร้างขึ้นโดยเจ้านางเมี๊ยะ ภริยาของพญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก เมื่อปีพ.ศ. 2427 แล้วเดินชมอุโบสถทรงไทยใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลังของวัด และสิงห์คู่ตัวใหญ่ที่อยู่ใกล้อุโบสถ รวมทั้งไปไหว้ที่บรรจุอัฐิของเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนทุกองค์ด

ต่อจากนั้นหนานคำก็พาลูกทัวร์กิตติมศักดิ์ เดินข้ามฟากไปชมวัดก้ำก่อ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองแม่ฮ่องสอนมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2433 วัดนี้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงาม มีหลังคาคลุมทางเดินตั้งแต่ซุ้มทางเข้าจนถึงตัวศาลา มีตำราภาษาไทยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยใหญ่กับเจ้าอโนรธามังช่อ เก็บรักษาเอาไว้ในวัดนี้ด้วย

“ทัวร์วันนี้เป็นทัวร์บุญจริงๆ ” ประสพชัยพูดหัวเราะๆ ขณะเดินออกจากวัดมาขึ้นรถ และรู้ว่าจุดหมายต่อไปก็คือวัดอีกเหมือนกัน “ อิ่มบุญกันโดยถ้วนหน้าเลยนะนี่ ดีเหมือนกัน นานๆจะมีโอกาสได้มาแบบนี้เสียที ”

“ จริงค่ะ ฉันเห็นด้วย อยู่ที่แม่ฮ่องสอนมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาเที่ยวแบบนี้เลย ” สุวรรณี ธิดาของผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในโรงเรียนเอกชนชั้นดีในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน สนับสนุนคำพูดของนายแพทย์หนุ่มใหญ่ “มาแบบนี้ทำให้พวกเราได้มีโอกาสทำบุญ ช่วยบำรุงศาสนาอีกด้วย”

ที่เธอพูดเช่นนี้ก็เพราะสมาชิกที่มาด้วยกันครั้งนี้ ต่างก็ควักเงินออกมาบริจาคเป็นค่าบำรุง ให้วัดต่างๆที่เข้าชมโดยถ้วนหน้ากัน ด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างพุทธมามกะที่ดี ในขณะที่หนานคำยิ้มแห้งๆ ไม่แน่ใจว่าทัวร์วัดที่เขาจัดให้ในครั้งนี้จะเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาคุณๆทั้งหลายมากน้อยแค่ไหน

แล้วทัวร์คณะนี้ก็เดินทางต่อขึ้นไปบนยอดดอยกองมู ตามถนนลาดยางเพื่อไปชมวัดพระธาตุดอยกองมู วัดนี้เดิมเรียกกันว่าวัดปลายดอย เป็นวัดสำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

หนานคำอธิบายให้ทุกคนฟังว่า หากมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนแล้วไม่ได้ขึ้นมานมัสการพระธาตุดอยกองมู ถือว่ามาไม่ถึงแม่ฮ่องสอน เพราะวัดพระธาตุแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองแม่ฮ่องสอน เช่นเดียวกับที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ หากมองจากตัวเมืองขึ้นมา จะเห็นพระเจดีย์สีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าเหมือนลอยอยู่บนยอดดอย ซึ่งก็คือพระธาตุดอยกองมู

สิ่งสำคัญภายในประกอบด้วยพระเจดีย์ทรงมอญ 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะ ซึ่งนำมาจากสหภาพพม่า สร้างโดยจองต่องสู่ คหบดีผู้มั่งคั่งของแม่ฮ่องสอนในปีพ.ศ.2403 ส่วนพระเจดีย์องค์เล็กสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2417 โดยพญาสิงหนาทราชา เพื่อเป็นที่ระลึกในการขึ้นครองเมืองแม่ฮ่องสอน ระหว่างเจดีย์สององค์นี้มีวิหารที่มีหลังคาที่มีลวดลายสวยงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ในศิลปะแบบพม่า

ลูกทัวร์ของหนานคำต่างก็แยกย้ายกันเข้าสักการะพระธาตุ โดยใช้พุ่มดอกไม้ที่ทางวัดจัดไว้ให้ ถือเวียนรอบเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุสามรอบ หลังจากนั้นก็นำพานดอกไม้นั้นไปวางไว้ที่พระประจำวันเกิดของตน หลังจากเดินชมบริเวณวัดและศาสนสถานโดยทั่วถึงแล้ว ทั้งหมดก็ไปยืนรวมกันตรงริมผา มองลงไปเบื้องล่าง เห็นวิวทิวทัศน์สวยงามของเมืองแม่ฮ่องสอน ที่เงียบสงบอยู่ท่ามกลางขุนเขาและสายหมอก

เคนซึ่งยืนดูทิวทัศน์เบื้องล่างอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มที่มาด้วยกัน ได้ยินผู้ชายชื่อนริศที่มาจากกรุงเทพฯพร้อมวุฒิเลิศ ถามหนานคำว่าทำไมจึงเรียกแม่ฮ่องสอนว่าเมืองสามหมอก ซึ่งหนานคำก็อธิบายให้ฟังว่า เพราะแม่ฮ่องสอนตั้งอยู่กลางหุบเขา พอถึงฤดูหนาวอากาศก็จะเย็นจัดมาก จนเกิดเป็นหมอกหนาในตอนเช้าซึ่งเรียกกันว่า 'หมอกน้ำค้าง' พอเข้าฤดูฝนก็จะมีฝนตกหนักจนเห็นเป็นหมอกทึบหรือ 'หมอกไอดิน' ส่วนในฤดูร้อนก็จะเกิดไฟไหม้ป่าบ่อยครั้ง จนเห็นควันไฟอยู่ทั่วไปเหมือนเป็นเมฆหมอก ที่ชาวบ้านเรียกว่า 'หมอกควัน'

เคนนิ่งฟังคำอธิบายของหนานคำอย่างสนใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ความหมายของคำว่า 'เมืองสามหมอก' ที่เคยได้ยินพวกคนงานในไร่พูดถึงกันอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยมีใครอธิบายให้เขาฟังแบบนี้มาก่อนเลย

เมื่อออกจากวัดพระธาตุดอยกองมู หนานคำก็พาคณะพรรคไปรับประทานอาหารกลางวัน เมื่อเวลาประมาณสิบเอ็ดนาฬิกา ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆนั้น การที่ต้องรีบรับประทานอาหารก่อนเวลา ก็เพราะจะต้องเดินทางไปชมถ้ำลอดหรือถ้ำน้ำลอด ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอปางมะผ้า หนานคำแนะนำว่าควรจะต้องรีบไปเพราะอาจต้องใช้เวลานานในการเดินชม เนื่องจากมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ทุกคนเจริญอาหารกันดี หนานคำและเคนแยกไปนั่งกันสองคนที่โต๊ะเล็กๆ ห่างออกไปจากนักท่องเที่ยวทั้งสิบสามคน

ทิพย์สุรางค์ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่ใกล้กับชาคริต ชำเลืองไปที่เคนซึ่งนั่งหันข้างให้ เธอเห็นเขาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยไม่สนใจใคร เธอคิดว่าเขาคงจะหิวจัด ไม่เหมือนพวกเธอที่รับประทานอะไรต่ออะไร ที่ขนซื้อใส่รถมาแล้วส่งต่อหรือชี้ชวนกันให้รับประทานมาตลอดทาง ที่เธอมองเขาก็เพราะเมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่บนรถ สุวรรณีซึ่งนั่งติดกับเธอทางด้านซ้าย กระซิบกระซาบว่า

“ น้องทิพย์ ” เธอผู้นี้อายุมากกว่าทิพย์สุรางค์สองปี ตั้งตัวเป็นพี่เต็มที่ “ คนขับรถของน้องหน้าตาดีนะ บุคลิกก็ดี ดูเป็นแมนจัง ไม่น่าจะเป็นแค่คนขับรถเลย ”

ตอนนั้นหญิงสาวได้แต่ยิ้ม เพราะไม่รู้จะอธิบายความเป็นมาของผู้ชายคนนั้นว่าอย่างไร และอีกอย่างเธอก็ไม่เคยเสียเวลามานั่งพิจารณารูปร่างหน้าตาของเขา แต่ก็เพราะคำพูดของผู้หญิงที่ชื่อสุวรรณีนั่นเอง ที่ทำให้ทิพย์สุรางค์ต้องมองสำรวจหน้าตาของเคนขึ้นมาเป็นครั้งแรก แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าความจริงเขาก็หน้าตาไม่เลว มิน่าเล่า ผู้หญิงสาวสองคนที่อยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ที่มาจากกรุงเทพฯพร้อมสิริมา จึงคอยไปชวนเขาพูดคุยอยู่หลายครั้ง แล้วตอนที่เที่ยวเดินชมวัด เธอยังเห็นอีกด้วยว่าเคนทำหน้าเก้อๆ เมื่อเธอกับชาคริตเดินผ่านเขาและหญิงสาวหน้าตาน่ารักสองคนนั้น ที่กำลังพูดอะไรกับเขาอยู่ลงบันไดวัดไป

ช่วงบ่ายนักท่องเที่ยวทั้งหมดก็เดินทางไปชมถ้ำลอด ในเขตอำเภอปางมะผ้า ระหว่างนั่งรถไปถ้ำลอดหนานคำถือโอกาสอธิบาย ให้คณะทัวร์ฟังเป็นความรู้ว่า อำเภอปางมะผ้านี้ เป็นแหล่งอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย ลักษณะภูมิประเทศทั่วไปเป็นเขาหินปูน มีการสำรวจพบโถงถ้ำน้อยใหญ่มากกว่าสองร้อยถ้ำ ทำให้อำเภอปางมะผ้านี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งถ้ำ

หนานคำเล่าต่อถึงความเชื่อของชาวบ้าน ว่าถ้ำลอดนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ ในอดีตพวกชาวบ้านไม่ค่อยกล้าเข้าไปในบริเวณถ้ำ เพราะกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิลงโทษ

“ จากทางเข้าด้านหน้าต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 350 เมตรนะครับ ในถ้ำไม่มีไฟฟ้า เพราะทางการต้องการรักษาสภาพของถ้ำ ให้สวยงามคงเดิมอยู่ตลอดเวลา ” หนานคำอธิบาย

แล้วใครคนหนึ่งก็ถามว่า “ อ้าว! แล้วจะเดินเข้าไปยังไงล่ะ ไม่มืดแย่หรือ ? ”

หนานคำยิ้มก่อนตอบว่า “ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขามีคนนำทางพร้อมตะเกียง ค่าตะเกียง 150 บาท ค่าคนนำทางอีกต่างหาก” แล้วเขาก็รีบกล่าวต่อโดยเร็วว่า “ เรื่องเงินเดี๋ยวผมจัดการเองครับ ผมเพียงแต่เล่าให้ทราบเป็นความรู้เท่านั้น ”

“ในโพรงถ้ำลอดนี่ยังมีถ้ำใหญ่อีกสามถ้ำนะครับ แต่ต้องนั่งแพเข้าไป ” เขาเล่าต่อ

ประสพชัยถามว่า “ ต้องเสียเงินค่าแพไหม ? ”
“ เสียครับ แพละร้อยหรือสองร้อยบาทนี่แหละ ผมก็จำไม่ค่อยได้ เพราะไม่ได้มาหลายปีแล้ว แพหนึ่งนั่งได้สี่คน ”
“ แหม แพงเหมือนกันนะ ” อาจารย์สุวรรณีส่งเสียงอุทานขึ้นมา
“ ก็ถือว่าช่วยบำรุงสถานที่ท่องเที่ยวไง แต่เคยได้ยินมาว่าแพพวกนี้เป็นของชาวบ้านแถวนั้นนะ ” ระวิพรช่วยอธิบาย “ ถ้าจริงก็ดี เท่ากับเป็นการช่วยกระจายรายได้ให้ชาวบ้าน พวกเขาจะได้มีรายได้เพิ่ม ”

สิริมาภรรยาของวุฒิเลิศถามขึ้นมาบ้างว่า “ แล้วสามถ้ำที่ว่านั่นเรียกว่าถ้ำลอดเหมือนกันหรือ ? ”

“ไม่ใช่ครับ ” หนานคำอธิบาย “ สามถ้ำนั่นเรียกกันว่าถ้ำเสาหิน ถ้ำตุ๊กตา แล้วก็ถ้ำผีแมน ”

กรรีบถามทันทีอย่างตกใจว่า “ ถ้ำผีแมน? หมายความว่าในถ้ำนั้นมีผีเหรอ ?”

“ ไม่มีหรอก คุณกร แต่ก่อนนี้มีโบราณวัตถุหลายชิ้นอยู่ในถ้ำนี้ แล้วก็มีโลงศพไม้สักที่เชื่อกันว่าใช้ฝังศพคนโบราณ เรียกกันว่าโลงศพผีแมน ” ท่าทางตกใจของกรและผู้หญิงสองสามคน ทำให้หนานคำต้องรีบกล่าวต่อว่า “ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ตอนนี้มีแต่โลงศพเปล่าๆไม่กี่โลงเท่านั้น ”

เมื่อมาถึงปากทางเข้าถ้ำ คณะนักท่องเที่ยวก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมถ้ำแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า “ถ้ำลอด” หรือ “ถ้ำน้ำลอด” นั่นก็เพราะมีสายน้ำไหลผ่านตั้งแต่ปากทางเข้าถ้ำ ไปจนถึงถ้ำสุดท้ายในโพรงถ้ำแห่งนี้ ซึ่งมีความยาวกว่า 500 เมตร กว้างประมาณ 20 เมตร สูงประมาณ 50 เมตร คนนำทางที่ถือตะเกียงเจ้าพายุอยู่ในมือ อธิบายเพิ่มเติมว่า สายน้ำที่ไหลเข้ามาในโพรงถ้ำแห่งนี้มานานกว่าล้านปี กัดเซาะหินจนทำให้เกิดถ้ำใหญ่ๆขึ้นอีกสามถ้ำคือถ้ำเสาหิน ถ้ำตุ๊กตาและถ้ำผีแมน อย่างที่หนานคำเล่าให้ฟังบนรถก่อนหน้านี้

ถ้ำแรกที่คณะท่องเที่ยวเข้าไปชมคือถ้ำเสาหิน โดยแยกย้ายกันนั่งไปในแพๆละสี่คน ระยะทางเพียง 300 เมตร ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวก็ถึงที่หมาย แล้วเดินขึ้นไปตามทางเดินอีกไม่กี่เมตร ภายในถ้ำมีม่านหินย้อย หรือที่เรียกกันว่า “หินกากเพชร ” มีลักษณะเป็นตะกอนหินปูนคล้ายม่านสีขาวสะท้อนแสง ที่เรียกกันว่า “ผลึกแร่แคลไซด์ ” ซึ่งเกิดจากน้ำใต้ดินที่สะสมกันอยู่นับพันปี

ลูกทัวร์ทั้งหมดของหนานคำ เดินเข้าไปดูเสาหินสูงประมาณ 22 เมตร ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ใจกลางถ้ำ มีลักษณะเป็นแท่งเกิดจากหินงอกหินย้อยที่มาบรรจบกันอย่างสวยงาม เปรียบเสมือนเสาหินที่ค้ำเพดานและพื้นถ้ำเอาไว้ แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ถึงความวิจิตรพิศดารของธรรมชาติ เคนซึ่งมากับแพรอบหลังสุด พร้อมกับกรและหนานคำ เดินเข้ามาดูเสาหินนั้นด้วยเหมือนกัน ชายหนุ่มไปยืนอยู่ข้างหลังทิพย์สุรางค์กับชาคริตโดยบังเอิญ เมื่อเห็นคนคู่นั้นเคนก็ทำตามความตั้งใจของเขาทันที ด้วยการเดินเลี่ยงไปทางอื่น

ต่อจากถ้ำเสาหิน คนทั้งหมดก็นั่งแพต่อเข้าไปในถ้ำตุ๊กตาเป็นระยะทางประมาณ แปดสิบเมตร ความโดดเด่นของถ้ำนี้อยู่ที่หินงอกหินย้อยซึ่งมีรูปร่างคล้ายตุ๊กตา ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วไปตามพื้นถ้ำ เป็นที่สนใจของสุภาพสตรีทั้งหลายเป็นอย่างมาก ถัดออกไปเป็นภาพเขียนซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเขียนโดยมนุษย์โบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นภาพที่ใช้สีแดงและสีดำ มีทั้งหมดสามภาพด้วยกัน คือภาพคน สัตว์และพืช

เคนเข้าไปยืนพิจารณาภาพเขียนพวกนี้อยู่นานด้วยความสนใจ เขารู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวชมสิ่งต่างๆเหล่านี้ แทนที่จะนึกไม่อยากมาเหมือนในตอนแรกที่หนานคำบอกว่า คุณดนัยสั่งให้เขามาช่วยขับรถให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

ถ้ำสุดท้ายที่เข้าชมคือถ้ำผีแมน ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำตุ๊กตาประมาณ 450 เมตร คนนำทางอธิบายให้ผู้เข้าชมฟังว่าในอดีต ถ้ำนี้มีโบราณวัตถุที่สำคัญอยู่มากมายเช่น ภาชนะดินเผา กระดูกมนุษย์โบราณ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหิน ตุ๊กตาไม้แกะสลัก และโลงศพผีแมน ซึ่งเป็นโลงที่ทำจากไม้สักทั้งต้นผ่าครึ่งแล้วขุดให้เป็นหลุมยาวตรงกลาง โลงศพพวกนี้เคยถูกค้นพบหลายแห่งในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เฉพาะที่เขตอำเภอปางมะผ้าแห่งเดียวนี่ ก็เคยขุดพบโลงศพดังกล่าวนี้มากถึง 80 โลง

นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ร่างที่เคยถูกฝังเอาไว้ในโลงศพแบบนี้ น่าจะเป็นศพของนายทหารระดับสูง และสันนิษฐานกันอีกว่าวิธีวางไม้เป็นท่อนแล้วซ้อนกันไว้ ทำให้โลงศพอยู่ในสภาพดี เพราะอากาศสามารถไหลผ่านไปได้ เมื่อถูกถามว่าแล้วตอนนี้สิ่งของที่ค้นพบไปอยู่เสียที่ไหน คนนำทางก็อธิบายว่าถูกนำไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง เพื่อเป็นการเก็บรักษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เอาไว้ศึกษา รวมทั้งป้องกันไม่ให้ถูกผู้มีอิทธิพลคนใดนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว

ประสพชัย ซึ่งสนใจเรื่องอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และสัตว์ ช่วยเสริมว่า “ผมเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับถ้ำลอดแห่งนี้มาว่า ถ้ำนี้มีอะไรแปลกๆหลายอย่าง ที่หาดูจากที่อื่นได้ยาก สัตว์หลายชนิดที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในถ้ำได้อย่างดี งูสามารถเลื้อยขึ้นไปบนเพดานถ้ำได้ เพื่อรอจับนกหรือค้างคาวที่บินไปมาเป็นอาหาร หอยทากตัวจิ๋วที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินแบคทีเรียที่อยู่ตามโขดหิน มีทั้งแมงมุมสายพันธ์โบราณ ปลาที่ตาบอดเฉพาะตอนกลางวัน มองเห็นได้แต่ตอนกลางคืนเท่านั้น ”

“เห็นค้างคาวบนเพดานถ้ำไหมล่ะ ?” นริศกล่าวบ้าง “ยุ่บยั่บไปหมด น่าจะถึงแสนตัวละมัง เกาะกันแน่นดำมืดจนไม่เห็นเพดานเลย ”

“เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าแม่ฮ่องสอนมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจมากมายขนาดนี้ ” เพื่อนอีกคนของวุฒิเลิศที่ชื่ออรรณพพูดขึ้นมา “ ผมเคยคิดว่าเป็นจังหวัดชายแดนเล็กๆที่กันดาร มีแต่ป่าเขาและหมอกเท่านั้น คราวหน้าคงต้องมาใหม่แล้วละ มาแค่ไม่กี่วันอย่างนี้น้อยไปหน่อย ”

ผู้หญิงสาวรุ่นที่เป็นญาติของเพื่อนที่ทำงานของวุฒิเลิศ ที่ทิพย์สุรางค์จำชื่อจริงไม่ได้ เห็นแต่ใครๆเรียกเธอว่า ‘นุช’ พูดเสริมขึ้นมาว่า “ จริงด้วยค่ะ นุชเองก็เพิ่งเคยมาแม่ฮ่องสอนเป็นครั้งแรก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีอะไรน่าสนใจมากขนาดนี้ ประทับใจจริงๆเลยค่ะ ”

ทิพย์สุรางค์เองก็คิดว่าถึงจะเกิดและโตที่จังหวัดนี้ เธอก็ไม่เคยมาท่องเที่ยวสถานที่เหล่านี้มาก่อนเลยเหมือนกัน เข้าทำนองใกล้เกลือกินด่างแท้ๆ แต่เธอก็ไปเรียนหนังสืออยู่เมืองนอกตั้งสิบสามปีนี่นา

ออกจากถ้ำลอด นักท่องเที่ยวทั้งหมดก็เดินทางกลับไปเวียงพุกาม หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็มารวมตัวกันที่ตึกใหญ่ เพื่อรับประทานอาหารที่คนครัวของเวียงพุกามจัดเตรียมไว้ให้ โดยคุณดนัยลงมาร่วมรับประทานด้วย ตั้งวงดื่มสุรากันพอหอมปากหอมคอ แล้วแยกย้ายกันกลับไปนอนที่บ้านพักรับรอง


 



Create Date : 31 มกราคม 2567
Last Update : 31 มกราคม 2567 12:56:25 น.
Counter : 572 Pageviews.

6 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse, คุณปัญญา Dh, คุณkatoy, คุณSleepless Sea, คุณร่มไม้เย็น, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณRain_sk, คุณหอมกร, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณโอพีย์, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณ**mp5**

  
มาอ่าน ได้ความรู้เยอะเลยครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 31 มกราคม 2567 เวลา:13:43:26 น.
  
สวัสดีครับ

ขอบคุณที่แวะไปที่บล็อกนะครับ
มาส่งกำลังใจก่อนนะครับ
โดย: Sleepless Sea วันที่: 31 มกราคม 2567 เวลา:17:11:50 น.
  
ตามคณะทัวร์(ในเรื่อง)เที่ยวแม่ฮ่องสอนด้วยครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 31 มกราคม 2567 เวลา:22:53:34 น.
  
ขอบคุณค่ะพี่ตุ้ย
โดย: Sweet_pills วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:1:06:42 น.
  
โดย: Rain_sk วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:1:52:05 น.
  
บล็อกนี้นำเที่ยวแม่ฮ่องสอนชัดๆ ค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:7:20:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#20



ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
มกราคม 2567

 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com