เวลาที่หายไป - บทที่ 4



วันหนึ่งหนานคำซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยผิดจากทุกวัน เดินเข้าไปพบคุณดนัยที่ห้องทำงาวันน เมื่อเข้าไปถึงเขาพบเจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นหนานคำณดนัยก็พยักหน้าให้คอย อ่านเอกสารต่อไปจนจบจึงเเช้างยหน้าขึ้น

“ เอาเอกสารนี่ไปให้คุณกิจจาเซ็นต์ แล้วรอเอากลับมาด้วย ”

คุณดนัยผลักเอกสารที่เพิ่งอ่านจบไปให้หนานคำ ซึ่งยืนค้อมตัวอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ชายวัยกลางคนหยิบเอกสารมาใส่ซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ เสร็จแล้วยังยืนรีรออยู่

“ มีอะไรหรือ ”
“ ผมคงจะกลับช้าหน่อยนะขอรับ ว่าจะแวะไปดูคนเจ็บ นี่ก็เดือนกว่าแล้วที่เขานอนโรงพยาบาล ”

คุณดนัยเงยหน้าขึ้นจากเอกสารอีกฉบับหนึ่งที่กำลังจะอ่าน “ เจ้าหนุ่มนั่นยังอยู่โรงพยาบาลอีกหรือ ฉันนึกว่าหายจนกลับบ้านไปแล้วเสียอีก ”

“ยังขอรับ ผมว่าจะไปถามไถ่ดูอาการสักหน่อย ”

“เออ ดีแล้วละ ถ้าหายดีแล้วก็ถามดูว่าบ้านช่องอยู่ที่ไหน อย่าลืมจ่ายค่ารถกับเงินติดกระเป๋าให้เขาไปบ้าง ส่วนค่ารักษาก็ให้ทางโรงพยาบาลส่งบิลมาก็แล้วกัน ”

หนานคำค้อมศีรษะรับคำสั่ง เดินออกจากตึกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ในรถนอกจากคำปันซึ่งเป็นคนขับแล้ว ยังมีหญิงรับใช้ในบ้านอีกสองคนติดรถเข้าเมืองไปด้วย เพื่อไปจับจ่ายซื้อหาสิ่งของที่จำเป็นตามคำสั่งของนางบัวศรี 

หลังจากส่งนางสาวใช้ทั้งสองลงใกล้ตลาดใหญ่ในตัวอำเภอ นัดหมายเวลามารับกันเสร็จสรรพแล้ว รถก็พาหนานคำไปที่บริษัทของนายกิจจา ส่งรับเอกสารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ไปส่งหนานคำที่โรงพยาบาล

นายแพทย์ประสพชัยรออยู่แล้วในห้องแพทย์

"อ้อ หนานคำ เข้ามาเลย เป็นไง คุณดนัยสบายดีหรือ ? ”
หนานคำตอบสั้นๆว่า “ ครับ ” แล้วถามต่อว่า “ คนเจ็บเป็นยังไงบ้างครับ ?“

"เดี๋ยวไปดูเขากับผมหน่อย ตอนนี้อาการโดยทั่วไปของเขาไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ปอดบวมก็ไม่มี แผลก็ดีขึ้นจนเกือบหายสนิทแล้ว ขาข้างขวายังต้องเข้าเฝือกต่ออีกหน่อย ”

ประสพชัยลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินนำหน้าพาหนานคำไปยังห้องพักผู้ป่วย ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางอีกปีกหนึ่งของตัวตึก ระหว่างที่เดินไปด้วยกันตามโถงยาว เขาบอกหนานคำว่า

“ผมอยากให้คุณลองพูดคุยกับเขาดูหน่อย ผมถามอะไรเขาก็บอกแต่ว่าไม่รู้อยู่อย่างเดียว เขาอาจจะยอมพูดกับหนานคำก็ได้ ตอนนี้ผมสงสัยอยากเช็คอะไรบางอย่าง ”

ห้องพักผู้ป่วยที่นายแพทย์ประสพชัยพาไปเป็นห้องพักชายรวม มีเตียงคนไข้อยู่ประมาณยี่สิบเตียง ซึ่งมีคนไข้นอนอยู่เต็มทุกเตียง ชายแปลกหน้าที่ทิพย์สุรางค์และกรไปช่วยมา นอนอยู่บนเตียงสุดท้ายชิดหน้าต่าง ซึ่งขณะนี้เปิดกว้างหมดทุกบาน ปล่อยให้สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาจนม่านสีขาวปลิวพเยิบพะยาบ ชายหนุ่มผู้นั้นนอนหลับตา มีผ้าห่มบางๆคลุมอยู่ตั้งแต่หน้าอกลงไป หนานคำสังเกตเห็นว่าเขาดูดีขึ้นกว่าวันที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลมาก ทันทีที่มือของนายแพทย์หนุ่มสัมผัสเบาๆลงไปบนแขนที่อยู่นอกผ้าห่ม คนเจ็บก็ลืมตาขึ้น หันขวับมองมาที่คนทั้งสอง

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง นายเคน ” คุณหมอทักทาย
หนานคำหันไปถามประสพชัยว่า “เขาชื่อเคนหรือครับ ”

คุณหมอหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ ผมตั้งให้เองแหละ ตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วละ ทางโรงพยาบาลต้องทำประวัติคนไข้ ตอนนั้นเขายังไม่ได้สติ ผมนึกชื่อนี้ได้ก็เลยใส่ๆไปก่อน” แล้วเขาก็หันไปพูดกับคนไข้ต่อว่า “หนานคำมานี่แล้ว นายเคนลองคุยกับเขาดูหน่อยนะ ”

คนเจ็บจ้องหนานคำเขม็ง ไม่พูดอะไรเลย มีแววหวาดระแวงไม่ไว้ใจฉายชัดออกมา

“เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกหรือเปล่า ”

หนานคำลองชวนพูดคุย แต่คนเจ็บก็ยังนิ่งจ้องหน้าเขาเฉยอยู่ แล้วเปลี่ยนกลับไปมองประสพชัย

“ นายเคน จำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ” นายแพทย์หนุ่มใหญ่ตั้งคำถาม ซึ่งถามซ้ำถามซากมาหลายครั้งหลายหน ซึ่งคนเจ็บจะตอบทุกครั้งว่าไม่รู้ หรือไม่ก็ไม่ตอบอะไรเลย

คนเจ็บที่ถูกอุปโลกน์ให้ชื่อ 'เคน' ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

นายแพทย์ประสพชัยเล่าให้หนานคำฟังต่อหน้าคนเจ็บว่า “ วันแรกที่เขาฟื้นผมก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกัน แต่เขากลับย้อนถามผมว่าเขาอยู่ที่ไหน พอบอกว่าโรงพยาบาล เขาก็ถามต่อว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ ผมถามว่าจำได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ต้องมานอนโรงพยาบาล เขาก็จ้องหน้าผมแบบนี้แล้วก็ตอบว่าไม่รู้ แม้แต่ชื่อตัวเองก็บอกว่าไม่รู้อีก ”

คราวนี้หนานคำเป็นฝ่ายถามบ้าง “ บ้านช่องคุณอยู่ที่ไหน ทางเราจะได้ติดต่อญาติให้มาพบคุณ ”

‘ นายเคน ’ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบเบาๆว่า “ ผมจำไม่ได้ ”
“ แล้วจำได้ไหม ว่าคุณมาที่นี่ได้ยังไง ”

หนานคำพยายามซัก แต่ก็ไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม เขาไม่แน่ใจว่าชายแปลกหน้าผู้นี้จำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือมีเจตนาที่จะทำเป็นจำไม่ได้

อีกครู่ต่อมาหนานคำกับนายแพทย์หนุ่ม เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยกลับไปที่ห้องแพทย์ เมื่อลงนั่งเรียบร้อยแล้วนายแพทย์ประสพชัยก็กล่าวว่า

“ ผมสงสัยว่าเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ที่หัวของเขามีบาดแผลเหมือนถูกตี หรือถูกกระแทกด้วยของแข็งอย่างแรง อาจจะเป็นโขดหินแถวลำธารที่คุณหนูไปเจอเขาก็ได้ ตอนนี้แผลหายเกือบเป็นปกติแล้ว แต่ผมอยากจะส่งเขาไปสแกนสมองเพื่อหาสิ่งผิดปกติ เพราะถ้าสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำถูกกระทบกระแทกอย่างรุนแรง ก็อาจจะมีผลให้คนไข้จำอะไรไม่ได้ ผมยังไม่แน่ใจว่าเขาสูญเสียความจำหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ เขาอาจจะจำอะไรไม่ได้เพียงชั่วคราว เพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่กี่วัน ยังสับสนอยู่ พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาก็คงจะค่อยๆจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ”

“ เขาจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ครับ ”
“ ต้องรอดูอาการทั่วไปอีกสักพักหนึ่งก่อน ”

ประสพชัยนิ่งตรองอยู่อึดใจหนึ่ง มือก็พลิกดูแฟ้มประวัติของชายนิรนามคนนั้น ก่อนกล่าวว่า “ ที่ผมยังกังวลก็เรื่องสมอง คิดว่าจะส่งเขาไปสแกนสมองที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องมือ ถ้าผลออกมาแน่ชัดว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่กระทบต่อสมอง เขาก็กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ถ้าได้ผลยังไงแล้วผมจะติดต่อหนานคำก็แล้วกัน ตอนนี้เราคงต้องช่วยดูแลเขาไปก่อน จนกว่าเขาจะจำชื่อญาติที่เราจะติดต่อให้เขาได้ ”

“ความจริงตอนนั้นที่เราช่วยเขา เราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังงี้ ไปๆมาๆกลายเป็นว่าเราต้องมารับผิดชอบเขา โดยที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนเลย ถ้าเขาเกิดจำอะไรไม่ได้จริงๆ แล้วญาติพี่น้องก็ไม่มี เรามิต้องอุปการะเขาไปตลอดชีวิตหรือครับ” หนานคำยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลใจแทนเจ้านายของเขามากขึ้น

ประสพชัยเห็นท่าทางของหนานคำแล้วก็ปลอบว่า “ เอาน่า อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย ดูๆไปก่อน คุณก็หมั่นมาเยี่ยมเขาบ้างก็แล้วกัน ไม่แน่นะ เขาอาจจะจำเรื่องต่างๆได้เร็วๆนี้ก็ได้ ญาติพี่น้องของเขาเองก็อาจจะกำลังติดตามหาตัวอยู่ก็ได้ ใจเย็นๆไว้ก่อน ”

แต่หนานคำก็ยังมีคำถาม “ คุณหมอเชื่อจริงๆหรือครับ ว่าเขาจะจำแม้แต่ชื่อตัวเองก็ไม่ได้ ผมว่าน่าสงสัยนะครับ เขาอาจจะมีเจตนาอะไรสักอย่างเลยแกล้งทำเป็นจำอะไรไม่ได้ อย่าลืมว่าเขาถูกทำร้ายมานะครับ ที่ผมสงสัยคือใครทำร้ายเขา อาจเป็นพวกค้ายาหักหลังกันเอง หรือเขาอาจจะเป็นอาชญากรก็ได้ คนธรรมดาที่ไหนจะดั้นด้นเข้าไปมีเรื่องกับใครในป่าในดงเล่าครับ ถึงยังไงก็น่าสงสัยนะครับ ”

“สงสัยเอาไว้บ้างก็รอบคอบดี ” ประสพชัยพยายามประนีประนอม “ แต่ก็อย่าคิดมากเกินไป รอๆดูเขาไปก่อน ไม่แน่นะ อีกไม่กี่วันเขาอาจจะจำเรื่องต่างๆของเขาได้ หรืออาจจะมีญาติพี่น้องมาตามหาเขาพบ แล้วก็รับตัวกันไป หนานคำก็ไม่ต้องกังวลอีก ผมภาวนาให้เป็นแบบนั้น ”

“ครับ ผมก็หวังอย่างคุณหมอเหมือนกัน ”

“เอาเถอะ ระหว่างที่เขายังอยู่ที่นี่ ผมจะพยายามสังเกตดูว่าเขามีอะไรน่าสงสัยหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจผมอาจจะไม่ส่งเขาไปเวียงพุกาม ระหว่างนี้ก็เชื่อไปก่อนว่าเขาเป็นคนป่วยธรรมดาๆ ที่เราต้องช่วยเหลือเขาตามหลักมนุษยธรรม ถ้าอาการของเขาดีขึ้น พร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เราคงต้องมาช่วยกันคิดอีกทีว่าจะทำยังไงกับเขา ”

พูดคุยกันอีกสองสามคำหนานคำก็ลากลับ ก่อนจะกลับเขาฝากเงินจำนวนหนึ่งไว้กับประสพชัย เพื่อมอบให้คนเจ็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นค่ารถกลับบ้าน ถ้าเขาเกิดจำขึ้นมาได้ว่าบ้านช่องอยู่ที่ไหน

หนานคำกลับมาที่เวียงพุกามในตอนพลบค่ำ คุณดนัยและบุตรสาวรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เพิ่งย้ายออกไปที่ห้องนั่งเล่น หนานคำขึ้นมาบนตึก เอาเอกสารที่รับจากในเมืองไปวางไว้บนโต๊ะในห้องทำงานของคุณดนัย แล้วก็เข้ามาในห้องนั่งเล่น เพื่อรายงานเจ้านายตามหน้าที่

“นายเคนอาการดีขึ้นมากแล้วขอรับ คงจะออกจากโรงพยาบาลได้เร็วๆนี้ ”

คุณดนัยทำหน้าฉงน ถามว่า “ นายเคนน่ะใคร”

หนานคำยิ้มแหยๆ เขาลืมไปแล้วว่ายังไม่มีใครรู้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นชื่ออะไร “เอ้อ ผู้ชายคนที่คุณหนูไปช่วยมาจากลำธารน่ะขอรับ ที่เราส่งไปโรงพยาบาล ”

ทิพย์สุรางค์ซึ่งกำลังฟังเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ พูดลอยๆออกมาว่า “เชยชะมัด ”

“ เอ้อ..คุณหมอประสพชัยเป็นคนตั้งให้ครับ คุณหนู ” แล้วเขาก็รีบขยายความต่อ เมื่อทั้งคุณดนัยและคุณหนูมองเขาเป็นตาเดียวกัน

“ คุณหมอบอกว่าเขาจำชื่อตัวเองไม่ได้ เพราะสมองคงจะกระทบกระเทือนไปบ้าง แต่อีกไม่นานก็คงหายดี คุณหมอจะส่งเขาไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด ถ้าไม่มีอะไรก็จะให้กลับบ้าน ”

“ ญาติพี่น้องเขามาแล้วหรือ ”
“ ยังไม่มีใครมาติดต่อเลยครับ คุณหมอประสพชัยกำลังหาทางช่วยเขาอยู่ แกบอกว่าถ้าไม่มีใครมาตามหาเขา ทางเราอาจจะต้องช่วยดูแลเขาไปพลางๆก่อน

หนานคำรายงานแบบรวดรัดเท่าที่จำเป็น เพราะรู้ว่าเจ้านายของเขาไม่ชอบฟังอะไรที่จุกจิก

“ถ้าไม่ใช่คนร้ายหรือหนีคดีมา เราก็อาจจะพอช่วยได้ แกเองก็รู้นี่ว่าที่นี่ไม่รับคนที่มีประวัติอาชญากรรม แต่ก็ไม่เป็นไร รอให้เขาหายออกจากโรงพยาบาลเสียก่อน ถ้ายังไม่มีที่ไปก็จะคิดดูอีกที”

คุณดนับพยักหน้าเป็นเชิงว่าจบการสนทนาเพียงเท่านั้น ส่วนคุณหนูหมดความสนใจทั้งในเพลงที่กำลังฟังอยู่และเรื่องที่หนานคำกำลังเล่า เธอหันมาขอตัวกับบิดาแล้วเดินออกจากห้องนั้นไป


“ผมเรียกคุณมาวันนี้เพื่อจะคุยกันเรื่องนายเคน ”

นายแพทย์ประสพชัยพูดขึ้นทันทีโดยไม่มีอารัมภบท เมื่อหนานคำเข้ามาหาเขาในห้องแพทย์ ห่างจากครั้งก่อนที่มาโรงพยาบาลประมาณหนึ่งเดือน

“ ผลการสแกนสมองของเขาออกมาแล้ว ถึงจะได้รับความกระทบกระเทือนบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เรายังไม่รู้แน่ว่าทำไมเขาถึงยังจำอะไรไม่ได้ อาจเป็นกลไกทางจิตก็ได้ ที่ปิดกั้นเขาไม่ให้จำเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นได้ ”

นายแพทย์หนุ่มมีท่าทีไตร่ตรอง ในขณะที่หนานคำทำหน้าไม่เข้าใจ

“แล้วต้องทำยังไงต่อไปครับคุณหมอ” หนานคำซัก

“คงต้องใช้เวลาสักระยะอย่างที่ผมบอกนั่นแหละ เขาอาจจะจำอะไรไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ร่างกายของคนเรามีกลไกฟื้นฟูหรือปกป้องตัวเอง บางคนที่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ก็อาจจะจำสิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะจิตใจจะบล้อคมันเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด มันมีหลายกรณี แต่ในกรณีของนายเคนนี่ ผมมั่นใจว่าอาการของเขาจะค่อยๆดีขึ้น แล้วเขาก็จะจำทุกอย่างได้ในไม่ช้า แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละคนด้วย ” นายแพทย์หนุ่มอธิบาย

“ ตอนนี้เขาเริ่มจำชื่อจำบ้านเขาได้บ้างหรือยังครับ มีญาติมาติดต่อบ้างไหม”
“ เขาว่าเขายังจำไม่ได้นะ ญาติก็ไม่เห็นมีมาติดต่อนี่ ”

“แล้วเราจะทำยังไงกับเขาดีล่ะครับ คุณหมอ ” หนานคำรู้สึกกลุ้มใจ “ คุณหมอยังต้องรักษาเขาต่ออีกหรือเปล่า”

“ร่างกายเขาหายเป็นปกติแล้ว แต่คงต้องพักฟื้นต่ออีกสักพัก ส่วนความจำก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ให้เวลาเขาหน่อยเถอะ ”

“ เขาจะต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกหรือครับ” หนานคำถาม

ประสพชัยโบกมือ “ ไม่ต้องแล้ว ไม่จำเป็น จะได้เอาเตียงให้คนไข้อื่นด้วย ถ้ายังไงหนานคำก็พาเขากลับไปเวียงพุกามด้วยกันวันนี้เลย ”

หนานคำทำสีหน้าตกใจ “โอ๊ะ..ผมต้องพาเขากลับไปด้วยหรือครับนี่ จะดีหรือครับ ความจริงพวกเราก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเขาเลย ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เจ้านายผมจะว่ายังไงล่ะนี่” เขาโอดครวญ

นายแพทย์หนุ่มนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนปลอบว่า “ ก็ให้เขาอาศัยอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่งพอให้ฟื้นตัว ถ้าเขายังไม่มีที่ไปก็หางานอะไรให้เขาทำก็ได้นี่นา ที่โน่นก็มีงานให้ทำเยอะแยะไม่ใช่หรือ”

“ โธ่! คุณหมอ เขาเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ถ้าเขาเกิดเป็นคนร้ายล่ะครับ เรามิแย่หรือ ”

หนานคำยังกังวลไม่เลิก เพราะถึงเวียงพุกามจะมีบริวารที่รับใช้อยู่บนตึก และคนงานในไร่และโรงบ่มจำนวนหลายสิบคน แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่กันมานานเกินสิบปี ทั้งนี้เพราะคุณดนัยมักจะเลี้ยงทั้งครอบครัว ตั้งแต่รุ่นแรกๆที่มาช่วยกันบุกเบิก ส่วนใหญ่จึงไว้ใจได้ มีเด็กหนุ่มๆที่เพิ่งมาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่คนเหล่านี้ก็มักเป็นคนที่บริวารเก่าๆของคุณดนัยพามาทั้งสิ้น จึงไม่มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต

“เท่าที่ดูทั่วๆไป ผมว่าเขาคงไม่ใช่คนร้ายหนีตำรวจหรือหนีคดีมาหรอกน่า หนานคำก็ช่วยดูๆเขาไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าเห็นไม่ชอบมาพากล ก็ให้เขาออกจากเวียงพุกามไปเสีย ”

เมื่อเห็นความวิตกของหนานคำ นายแพทย์หนุ่มจึงเลิกล้มความคิดที่จะบอกหนานคำว่า ตามร่างกายที่อยู่ในร่มผ้าของชายหนุ่มผู้นั้น มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากกระสุนปืนและอาวุธมีคมอยู่หลายแห่ง ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าคนที่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ตอนที่ยังอยู่ที่เวียงพุกามจะสังเกตเห็นหรือไม่

นอกจากนี้ ตอนตรวจร่างกายของชายผู้นั้นโดยละเอียดเมื่อแรกมาถึงโรงพยาบาล นายแพทย์หนุ่มพบว่าข้อมือทั้งสองข้างของเขา มีรอยเหมือนเคยถูกใส่กุญแจมือ รอยนั้นจางลงไปมากแล้วจากการชะล้างของกระแสน้ำและระยะเวลาที่แช่อยู่ในน้ำ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยไว้อยู่ดี

ประสพชัยสันนิษฐานว่า ชายนิรนามผู้นี้คงจะถูกจับมัดมือไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือ หลังจากทำร้ายเขาจนหมดสติ คนร้ายคงจะนำเขาไปโยนทิ้งน้ำจากที่ใดที่หนึ่งในเขตป่าเปลี่ยว ที่อยู่ไม่ไกลจากเวียงพุกามนัก ก่อนจะโยนเขาลงไปในลำธารคงจะได้เอากุญแจมือออกแล้ว เพื่ออำพรางหลักฐานให้ดูประหนึ่งว่าเขาจมน้ำตายเอง นายแพทย์หนุ่มกลัวว่าถ้าเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ออกไป จะยิ่งทำให้หนานคำวิตกมากยิ่งขึ้น

“นี่ผมก็ถ่ายรูปเขาเอาไว้แล้ว ว่าจะเอาติดบอร์ดโรงพยาบาลประกาศหาญาติ ถ้ามีใครติดต่อมาผมก็จะแจ้งไปที่คุณก็แล้วกัน ตอนนี้ก็ช่วยๆกันไปก่อน ส่วนเรื่องประวัติอาชญากรรม ผมกำลังขอให้ผู้กองชาตรีที่กองกำกับฯ ช่วยอยู่ แต่มันยากตรงที่เราไม่รู้ชื่อจริงของเขา อาจจะต้องใช้วิธีตรวจสอบลายนิ้วมือ ผมจะลองคุยกับผู้กองดูอีกที หนานคำก็รายงานคุณดนัยให้ทราบตามนี้ก็แล้วกัน ”

กล่าวจบนายแพทย์ประสพชัยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ไปเถอะ เคนคอยอยู่แล้วที่หน้าตึก ”

คนทั้งสองออกจากห้องแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่านบริเวณที่จัดไว้ให้คนไข้นั่งรอเข้ารับการตรวจจากแพทย์ ในห้องตรวจเล็กๆที่เรียงรายกันอยู่หลายห้อง ลงบันไดสองสามขั้นที่นำไปสู่ลานปูนหน้าตึก เคนนั่งรออยู่แล้วบนม้าหินยาว ที่อยู่ตรงกันข้ามกับลานนี้ ข้างตัวเขามีถุงกระดาษขนาดใหญ่มีหูหิ้ว ซึ่งมีของบรรจุอยู่จนโป่งออกมา เมื่อเดินใกล้เข้าไปหนานคำสังเกตว่า ชายแปลกหน้าผู้นั้นดูแปลกไปจากวันแรกที่เห็น และแม้แต่วันที่เขาเข้าไปเยี่ยมถึงห้องคนไข้

ตอนแรกหนานคำคิดว่าคงเป็นเพราะเสื้อผ้าที่สวมอยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ในเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอกและกางเกงขายาวสีดำ ซึ่งคงจะเป็นเสื้อผ้าที่นายแพทย์ประสพชัยจัดหามาให้ หรือได้รับบริจาคมา แม้เสื้อกางเกงชุดนั้นจะดูสะอาดหมดจด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของใช้แล้วและไม่พอดีกับขนาดตัวของเขา อาจเป็นท่านั่งกอดอกหลังตรง ดวงหน้าก้มต่ำตาจ้องนิ่งไปที่ปลายเท้า ที่ทอดยาวออกไปและไขว้กันอยู่ก็เป็นได้

ประสพชัยร้องเรียกชื่อเขาสองสามครั้งและเดินเข้าไปจนถึงตัว เคนจึงเงยหน้าขึ้น พร้อมกับชักเท้ากลับเข้าเข้าหาตัว คลายมือที่กอดอกอยู่ออก เป็นตอนนั้นเองที่หนานคำตระหนักว่า ที่เขาเห็นชายหนุ่มผู้นั้นดูแปลกตาไปไม่ใช่เพราะเสื้อผ้า แต่เป็นอะไรบางอย่างในลักษณะท่าทีของเขา ที่โดดเด่นออกมาจนสะดุดตา หน้าคมคายที่ขณะนี้ปราศจากหนวดเครารกรุงรัง ดูมีสง่าราศี ผิดแผกแตกต่างไปจากชายนิรนาม คนที่ถูกหามขึ้นไปนอนแน่นิ่งเหมือนตายอยู่บนตั่งใหญ่ในตึกหน้าของเวียงพุกาม เมื่อประมาณสองเดือนที่ผ่านมา สีหน้าเฉยเมยของเขาดูสุภาพ แต่แววตาที่แลมาสบตาของหนานคำขณะนี้ช่างขรึมเศร้าและอ้างว้าง

“ เคน! หนานคำมารับแล้วละ ไปพักที่เวียงพุกามก่อนนะ อย่าเพิ่งไปทำอะไรที่หนักแรงล่ะ นายยังต้องพักฟื้นอีกสักพัก เรื่องญาติไม่ต้องห่วง ทางเราจะช่วยสืบหาให้ เรื่องที่นายยังจำอะไรไม่ได้น่ะก็ไม่ต้องกังวลมากนัก มันคงจะดีขึ้นเรื่อยๆแหละ ว่างๆฉันจะเข้าไปเยี่ยม ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกหนานคำก็แล้วกัน ”

นายแพทย์ประสพชัยสั่งเสียเสร็จก็ตบไหล่เคน พยักหน้ากับหนานคำ แล้วเดินกลับขึ้นตึกไป

“ไปกันเถอะ” หนานคำกล่าวกับเคน

เมื่อชายหนุ่มคนนั้นหยิบถุงกระดาษข้างตัวมาถือแล้วลุกขึ้นยืน หนานคำก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าเขาสูงมาก สูงกว่าตัวเขาเองซึ่งสูงประมาณ 168 ซ.ม. เขากะคร่าวๆว่าเคนคงสูงไม่ต่ำกว่า 180 ซ.ม. ท่ายืนตัวตรงอกผายไหล่ผึ่งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งดูเป็นธรรมชาติเฉพาะตัวของเขานั้น สะกิดใจหนานคำขึ้นมาครามครัน เขาไม่รู้ว่าเคนเป็นใครมาจากไหนหรือมีจุด ประสงค์อะไร แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ มีอะไรบางอย่างที่ทำให้หนานคำวางตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าผู้นี้อย่างไร จะกดเขาลงไปเท่ากับพวกลูกน้องก็รู้สึกขัดๆ จะยกย่องเขาเท่าพวกแขกที่มาเยือนเวียงพุกามก็รู้สึกแปลกๆ

แต่ในที่สุดหนานคำก็ตัดสินใจว่า ไม่ว่าเคนจะเป็นใครมาจากไหน แต่ตราบที่เขายังไม่สามารถแสดงสถานภาพที่แท้จริงของเขาออกมาได้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือตราบเท่าที่เขายังต้องพึ่งพาอาศัยเวียงพุกามอยู่ ในกรณีที่คุณดนัยตกลงที่จะให้งานเขาทำ ตามคำขอร้องของนายแพทย์ประสพชัย เขาก็จะต้องอยู่ในฐานะคนงานหรือลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อยินยอมรับเงื่อนไขของการเป็นลูกจ้าง เขาก็ต้องปฏิบัติตนและได้รับการปฏิบัติต่อ เหมือนลูกจ้างคนอื่นๆในเวียงพุกามโดยไม่มีข้อยกเว้น

พอตัดสินใจได้แล้ว หนานคำก็เดินนำหน้าพาเคนไปขึ้นรถจิ๊ป ที่จอดคอยอยู่แล้วในลานจอดรถของโรงพยาบาล เขาขึ้นนั่งด้านหน้าคู่กับคำปัน ปล่อยให้เคนปีนขึ้นไปนั่งด้านหลัง ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่รถวิ่งแยกจากทางหลวง ลัดเลาะไปตามถนนสายเล็กๆที่วกวนขึ้นๆลงๆ ไปตามลาดเขาที่ค่อยๆทอดตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หนานคำเห็นจากกระจกมองหลังว่าชายหนุ่มที่โดยสารมาด้วย ตั้งอกตั้งใจเหลียวมองดูภูมิประเทศสองข้างทาง ที่บางตอนรกครึ้มไปด้วยดงไม้ทึบ บางตอนก็เป็นหน้าผาสูงชัน มองลงไปเห็นลำธารเล็กๆ ที่ทอดตัวยาวเหมือนงูตัวผอมๆลับหายไปตามไหล่เขาที่มองเห็นอยู่ลิบๆ แล้วกลับวกเวียนโผล่ออกมาใหม่ พื้นที่บางตอนเป็นไร่ชาไร่อ้อยและไร่กล้วยของชาวบ้าน นานๆจะเจอหมู่บ้านเล็กๆสักแห่งหนึ่ง

บางครั้งเมื่อหนานคำหันไปมองตรงๆ เขาก็ได้พบดวงตาซื่อแกมครุ่นคิดที่มองกลับมา ชายแปลกหน้าผู้นี้ท่าทางจะเป็นคนไม่ช่างพูด เพราะตั้งแต่พบกันมาเขาพูดน้อยมาก ถ้าถามเขาก็ตอบอย่างประหยัดถ้อยคำ

“ อ้อ..ในถุงที่เอามาด้วยนั่นมีอะไรหรือ”

ในที่สุดหนานคำก็ถามขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเคนถือถุงใหญ่มาด้วยใบหนึ่ง ซึ่งขณะนี้เขากอดมันไว้แนบอกราวกับสมบัติล้ำค่า คำถามนี้มีนัยสำคัญที่จะตรวจสอบ เพราะเขายังหวาดระแวงชายแปลกหน้าผู้นี้อยู่ ใครจะไปรู้ว่าในถุงใบนั้นมีอะไรบ้าง ถ้ามีปืนหรือมีดอยู่ในนั้นล่ะ?

ชายหนุ่มก้มลงมองถุงดังกล่าวก่อนตอบด้วยเสียงและสีหน้าเรียบๆว่า “เสื้อผ้าที่คุณหมอให้ผมไว้ใช้ แล้วก็พวกของใช้ส่วนตัว”

 “ คุณเคยมาที่แม่ฮ่องสอนนี่ไหม ผมหมายถึงก่อนหน้านี้น่ะ” หนานคำถือโอกาสซักถามต่อไป
เคนนิ่งไปอึดใจเต็มๆ “ ที่นี่คือแม่ฮ่องสอนหรือ ผมไม่แน่ใจ ผมจำไม่ได้” แล้วเขาก็ถามหนานคำบ้างว่า “คุณหมอบอกว่าผมถูกทำร้าย แต่มีคนมาช่วยผมไว้ ไม่ทราบว่าใครที่ช่วยผม คุณหรือเปล่า ”

หนานคำอึกอัก ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร แต่ในที่สุดเขาเลือกตอบว่า “ ก็คนในเวียงพุกามของเรานั่นแหละ เขาไปทำธุระแถวนั้นแล้วพบคุณนอนหมดสติอยู่กลางลำธาร คุณโชคดีมากนะ เพราะปกติแถวนั้นเป็นที่เปลี่ยวไม่ค่อยมีใครเข้าไปถึงหรอก ”

ชายหนุ่มทำท่าเหมือนพยายามรวบรวมข้อมูลที่ได้รับเอาไว้

“ ว่าแต่ทำไมคุณถึงไปอยู่แถวนั้นได้ล่ะ ท่าทางคุณไม่ใช่คนทางนี้ มาจากกรุงเทพฯหรือเปล่า ? ”

คราวนี้หนานคำตะแคงหันหน้ามาทางหลังรถ ตั้งคำถามหลายคำถามติดๆกัน เขาคิดว่าควรจะต้องหาทางจับพิรุธให้ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าเคนจำอะไรที่ผ่านมาไม่ได้

ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “ ผมไม่รู้ ถึงคุณจะถามอะไรผมก็คงตอบได้แค่นี้แหละ ”

เขาหยุด แต่แล้วก็รีบพูดต่อไปโดยเร็วด้วยเสียงที่แสดงถึงความกังวล เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอีกฝ่าย “ ผมไม่ได้โกหก ผมจำได้ตั้งแต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล จนถึงตอนนี้ที่เดินทางมากับคุณเท่านั้น”

เมื่อเห็นหนานคำนิ่งอึ้งเขาก็กล่าวต่อว่า “ ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องหลอกลวงคุณ ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าผมเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ”

ตอนนี้น้ำเสียงของเขามีวี่แววของความอัดอั้นตันใจและวิงวอน

“โปรดเชื่อผมเถิดครับ ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร มาจากไหน แต่ผมก็เชื่อว่าผมคงไม่ใช่คนร้าย ”

หนานคำหันกลับไปทันได้เห็นสายตาของคำปัน ที่เหลือบมาสบตาเขาพอดี แววตานั้นแสดงความไม่เชื่อถือในคำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง แววตานั้นเหมือนจะสื่อสารอย่างเงียบๆกับหัวหน้าของเขาว่า 'ผู้ร้ายที่ไหนมันจะยอมรับว่าเป็นผู้ร้ายล่ะ'

เขาก็เหมือนกับหนานคำนั่นแหละ ที่ไม่ไว้ใจชายแปลกหน้า ที่เรียกกันว่านายเคนเลย

หนานคำซึ่งมีสีหน้ากังวลพูดเบาๆกับคำปันว่า “ ยังบ่ฮู้เล๊ยว่าจะเอาจั๋งใด เจ้านายก็บ่อยู่เสียด้วยซิ ไปกรุงเทพฯกับคุณหนู เห็นว่ามีธุระกับคุณใหญ่ คงอีกหลายวันกว่าจะกลับ ”

คำปันถามว่า “ นายท่านฮู้เฮื่องนี้บ่ครับ หัวหน้า”
“ ยังบ่ฮู้ดอก เฮาเองก็เพิ่งฮู้จากหมอประสพชัยวันนี้เอง ว่าให้พาเปิ้นมาด้วย แต่เห็นคุณหมอบอกว่าจะคุยกับท่านเองนี่ ”
“แล้วหัวหน้าจะให้เปิ้นไปอยู่ตี้ใดล่ะ ห้องพักคนโสดก็ดูเหมือนจะไม่มีว่างเลยนี่ครับ ”

คำถามของคำปันทำให้หนานคำนิ่งอึ้งไป เวียงพุกามมีคนงานจำนวนไม่น้อย มีทั้งคนที่มีครอบครัวแล้วและคนโสด พวกคนโสดซึ่งเป็นชายล้วน พักอาศัยอยู่ห้องละสองคนในเรือนแถวยาว ใกล้กับบริเวณโรงบ่มใบยาสูบและอยู่ห่างกันคนละทิศกับตึกใหญ่ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเจ้านาย ส่วนผู้ที่มีครอบครัวแล้วมีบ้านพักเป็นสัดส่วนต่างหากแยกเป็นหลังๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างตามจำนวนของสมาชิกในครอบครัว

บ้านพักเหล่านี้ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว เพราะตั้งกระจัดกระจายกันอยู่ห่างๆ ทุกหลังปลูกในลักษณะกึ่งกระท่อมที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม บางหลังซ่อนอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ใบดกหนา บางหลังอยู่บนเนินเตี้ยๆแต่มีต้นไม้ใหญ่บังเอาไว้ บางหลังก็อยู่ใกล้กับลำห้วยเล็กๆที่ไหลผ่านมาจากภูเขาสูง ที่อยู่ห่างไกลและไหลผ่านไปเรื่อยๆเพื่อไปลงลำน้ำใหญ่

“คงต้องดูอีกทีว่าจะเอาจั๋งใด จะให้เปิ้นไปอยู่บ้านรับรองแขกก็คงบ่ดี ” หนานคำพึมพำ

นิ่งกันไปพักหนึ่ง คำปันซึ่งทำหน้าที่ขับรถไปเรื่อยๆ ก็เอ่ยขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า “ให้เปิ้นไปอยู่กับตาเป็งก่อนดีไหมครับ ตั้งแต่ที่แม่เฒ่าตายไปเมื่อต้นปีแกก็อยู่คนเดียวมาตลอด ถ้าคุณท่านกลับมาก็ค่อยว่ากันอีกที”

“เออ จริงของแก”

หนานคำรู้สึกโล่งใจที่ปัญหาดังกล่าวมีทางออก และเมื่อคิดไปคิดมาแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เข้าท่า เขาไม่อยากปล่อยชายหนุ่มผู้นี้ให้อยู่ตามลำพัง อย่างน้อยตาเฒ่าเป็งซึ่งชราภาพแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงเพราะการทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่จงรักภักดีต่อคุณดนัยและคุณหนูแบบมอบกายถวายชีวิต มาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ปานนี้

นอกจากนี้แกยังเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ การให้เคนไปอยู่ด้วยจะทำให้ความเคลื่อนไหวทุก อย่างของเขา ไม่รอดพ้นสายตาของแกไปได้ หนานคำผ่านชีวิตมานานมีประสพการณ์มามาก เขายึดมั่นในหลักการที่ว่า “ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะทั้งร้อยครั้ง“ มาตลอดตั้งแต่สมัยที่เป็นทหาร

ตลอดเวลาที่คนทั้งสองพูดคุยกันด้วยเสียงที่เบาบ้างดังบ้าง เป็นภาษาท้องถิ่นบ้าง ภาษาภาคกลางบ้างเกี่ยวกับตัวเขา ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน เคนนิ่งฟังอยู่เงียบๆ เขาจะรู้สึกอย่างไรไม่มีใครเข้าใจหรือแม้แต่จะสนใจ ทั้งหนานคำและคำปันต่างก็เห็นพ้องต้องกันอยู่ในใจ ว่าเขาไม่มีสิทธิเลือกว่าอยากจะอยู่ตรงไหน อย่างไร เพราะเขาเหมือนคนจรที่มาขอพึ่งพิงเวียงพุกาม ถ้าเขาอยากอยู่ที่นี่เขาจะต้องทำตัวให้ง่ายเข้าไว้ ไม่มีปากมีเสียง ไม่งั้นก็ควรจะไปเสีย







 



Create Date : 07 ตุลาคม 2566
Last Update : 7 ตุลาคม 2566 14:56:35 น.
Counter : 1232 Pageviews.

7 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณRain_sk, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณหอมกร, คุณปรศุราม, คุณสองแผ่นดิน, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณkatoy, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณSweet_pills, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณThe Kop Civil, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณnewyorknurse, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณmariabamboo, คุณ**mp5**, คุณLittleMissLuna, คุณเริงฤดีนะ, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว

  
พอคุ้นๆ แล้วค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:19:23:15 น.
  
มาอ่านต่อครับ จำได้ลางๆครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:21:56:52 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

มาอ่านต่อ จ้ะ เคน ตามคุณหมอประสพชัยตั้งให้ เพราะคนป่วยจำ
ไม่ได้ว่าตัวเองชื่ออะไร เป็นปมปัญหาที่ผูกไว้ให้คนอ่านได้คิดตามต่อไป
จะรออ่านต่อไป นะจ๊ะ

โหวดหมวด งานเขียนฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 8 ตุลาคม 2566 เวลา:20:00:55 น.
  
สนุกครับคุณตุัย....กลับไปบ้านดอยสะเก็ดบ้างเปล่าครับ
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 9 ตุลาคม 2566 เวลา:14:01:22 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยมากค่ะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 10 ตุลาคม 2566 เวลา:0:15:16 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 15 ตุลาคม 2566 เวลา:7:45:22 น.
  

วันหน้าตามมาอ่านย้อนหลังนะคะ
ช่วงนี้มีปัญหาทางสายตา
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 16 ตุลาคม 2566 เวลา:19:02:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]



New Comments
Group Blog
ตุลาคม 2566

1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com