เดินทางกันมานานหลายชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงเวียงพุกามในเวลาใกล้ค่ำ คำปันขับรถตรงไปที่บ้านพักของตาเฒ่าเป็ง ซึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนเนินดินเตี้ยๆใต้สุมทุมพุ่มไม้ใบดกหนา ใกล้กับลำห้วยที่ไหลอยู่เบื้องล่างต่ำลงไป ตัวบ้านเป็นกระท่อมเล็กๆทำจากปีกไม้ หลังคาถูกปกคลุมจนทึบด้วยเถาพวงแสดซึ่งออกดอกสะพรั่งสีแสดเข้ม ห้อยย้อยเป็นแถบๆลงมาจนถึงชายคา ใต้ถุนสูงปูพื้นด้วยซีเมนต์ มีโต๊ะเล็กๆและเก้าอี้สองตัววางอยู่ กลางโต๊ะมีฝาชีครอบอะไรบางอย่างเอาไว้ ตรงปลายโต๊ะมีถาดที่มีกาชาและถ้วยชาใบเล็กๆทำจากดินเผาสองสามใบ มุมหนึ่งของใต้ถุนก่อเป็นห้องเล็กๆขึ้นมาห้องหนึ่ง
ตรงบริเวณหน้าห้องนี้ มีร่างผอมบางของชายวัยใกล้เจ็ดสิบในเสื้อกันหนาวหนาเตอะ นั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวที่ทำจากไม้เนื้อหยาบไม่ได้ทาสี กำลังสูบบุหรี่ที่มวนจากใบจาก ปลายบุหรี่แดงวาบส่งควันกลิ่นตระหลบอบอวลออกมา
“ตาเฒ่า” หนานคำเรียก “ฝากคนมาพักด้วยจั๊กคนเน้อ”
พูดจบเขาก็กระโดดลงจากรถ เดินเข้าไปยืนตรงหน้าตาเฒ่าคนนั้น โดยมีเคนเดินตามมาด้วย ตาเป็งหรือที่บางคนเรียกว่าตาเฒ่า เอาบุหรี่ออกจากปาก มองมาที่ชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างพินิจพิจารณา
หนานคำบอกกล่าวเจ้าของบ้านแล้วก็เดินขึ้นบันได บุ้ยใบ้ให้เคนเดินตามขึ้นมาด้วย ระหว่างขึ้นบันไดเขาบอกชายแปลกหน้าว่า “อยู่ที่นี่ไปก่อน ข้างบนมีห้องนอนที่ไม่มีใครใช้ แต่ก่อนตาเป็งแกก็ใช้ห้องข้างบนนี้ ตั้งแต่เมียแกตาย แกก็ย้ายไปอยู่ห้องข้างล่างที่เพิ่งต่อขึ้นมาใหม่ แกอายุมากแล้ว เดินขึ้นลงบันไดทุกวันก็คงไม่ไหว”
หนานคำเปิดประตูห้องให้เคนเข้าไปดู ห้องนั้นเป็นห้องมีขนาดไม่แคบนัก มีหน้าต่างซึ่งกรุมุ้งลวดทุกบานล้อมรอบสามด้าน ในห้องไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไรเลย นอกจากตู้พลาสติกสำหรับเก็บเสื้อผ้า ติดกับห้องนี้เป็นห้องเล็กๆแคบๆ ซึ่งชายหนุ่มคิดว่าน่าจะเป็นห้องเก็บของ เพราะมีของหลายอย่างวางสุมอยู่ หน้าห้องเป็นระเบียงวนไปรอบตัวบ้าน จากระเบียงนี้จะมองเห็นลำธารเล็กๆและดงไม้ทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายนิรนามวางถุงกระดาษที่ถือติดมือมาด้วยลงใกล้ประตู ก่อนจะเดินตามหลังหนานคำลงไปข้างล่าง
“เดี๋ยวจะให้คำปันเอาเสื่อ หมอนกับผ้าห่มมาให้ ตอนดึกที่นี่หนาวจัดมาก บางทีตาเป็งแกก็ก่อกองไฟ นั่งผิงไฟอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ที่นี่ไม่มีครัว เด็กจะเอาอาหารมาให้ตาเป็งวันละสองมื้อ คุณก็กินกับแกไปก่อน ยังไม่รู้เลยว่าท่านกลับมาจะสั่งว่าอย่างไร”
สายตาเหมือนมีคำถามของเคน ทำให้ชายวัยกลางคนต้องอธิบายสั้นๆว่า “ท่านเป็นเจ้าของที่นี่ ตอนนี้ท่านไปธุระที่กรุงเทพฯ อีกสองสามวันคงจะกลับ”
หลังจากแวะพูดคุยกับตาเป็งเป็นการส่วนตัวอีกสองสามประโยค หนานคำก็กลับไปพร้อมกับคำปัน
ตาเป็งกุลีกุจอลุกจากม้ายาวที่นั่งอยู่ ตรงเข้าไปที่โต๊ะ เปิดฝาชีที่ครอบอะไรบางอย่างอยู่ออก เคนมองเห็นจานพลาสติกเล็กๆสองสามใบ ที่มีอาหารบรรจุอยู่เต็มและกระติ๊บข้าวเหนียวใบย่อมๆ
“คุณคงยังไม่ได้ทานอาหารเย็น” แกหันมาพูดกับเขาด้วยภาษาภาคกลาง ที่แม้จะแปร่งก็ฟังรู้เรื่อง “อาหารทางเหนือพวกนี้ คุณคงพอทานได้กระมัง”
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอาหารพวกนั้นมีอะไรบ้าง เขาตอบแทนน้ำใจไมตรีของแกด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ
“ถึงไม่รู้จักผมก็คงทานได้”
“คุณเดินทางมาหลายชั่วโมงคงจะเหนื่อย ไปอาบน้ำเสียก่อนดีกว่า ถ้าดึกกว่านี้จะหนาวจัดเกินไป ห้องน้ำอยู่ทางโน้น” ตาเป็งชี้มือไปทางด้านหลังที่อยู่ต่อจากห้องนอนของแก
อาบน้ำเสร็จเคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นกางเกงขายาวหลวมๆเอวรูดและเสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่สีน้ำเงิน ที่นายแพทย์ประสพชัยให้มา ตาเป็งซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร มองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็กระย่องกระแย่งเดินเข้าไปในห้องของแก กลับออกมาในสองสามนาที ส่งเสื้อกันหนาวสีดำตัวใหญ่ยาว ที่ถือติดมือออกมาให้เขา
“เอ้า เอาเสื้อนี่ไปใส่เสีย พอตกดึกอากาศจะหนาวกว่านี้ จะหนาวขึ้นไปเรื่อยๆจนใกล้สางโน่น”
เคนรับเสื้อมาแต่ยังมองแกเฉยอยู่ เฒ่าเป็งจึงพูดต่อว่า “เก็บไว้ใช้เต๊อะ ผมมีหลายตัว”
คนทั้งสองลงนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน ตาเป็งชี้ชวนให้เขารับประทานอาหารแต่ละจาน พร้อมอธิบายว่าแต่ละอย่างเรียกว่าอะไร
“คุณคงทานข้าวเหนียวได้นะ แต่ถ้าชอบข้าวเจ้า พรุ่งนี้ผมจะสั่งเด็กที่โรงครัวให้เพิ่มมาให้”
“ผมทานได้ครับ ลุงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เคนตอบพลางก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร โดยไม่รับรู้รสชาติเพราะความหิว
ตาเป็งกินอาหารแต่เพียงเล็กน้อย เมื่ออิ่มแล้วก็ลุกไปหยิบขวดน้ำและแก้วพลาสติก ที่อยู่บนชั้นใกล้ๆมาวางไว้ให้เขา ส่วนตัวแกรินน้ำชาอุ่นๆจากกาชาใบเล็กๆลงในถ้วยชาดินเผาใบจิ๋ว ยกขึ้นจิบช้าๆ ตาเรียวเล็กซึ่งน่าจะฝ้าฟางไปตามอายุขัยแต่ยังมีประกายคมกริบ จับจ้องทุกอิริยาบถของเคนอยู่เงียบๆ หนานคำกระซิบกระซาบเล่าให้แกฟังสั้นๆแล้ว เกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นี้และขอให้แกช่วยสอดส่องพฤติกรรมของเขาให้ด้วย
“เห็นหนานคำบอกว่าคุณไม่สบาย ยังไม่หายดี เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้วก็ขึ้นไปนอนเสียเถอะ” แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้แกก็โวยวายออกมาว่า “โอ๊ะ !ทำไมคำปันไม่เอาเครื่องนอนมาให้จั๊กทีน้อ”
พอพูดขาดคำรถจิ๊ปคันเดิมก็วิ่งเข้ามาจอดใกล้บ้าน คำปันเดินลงมา หอบเสื่อกับหมอน ฟูกบางๆ และผ้าห่มเนื้อหยาบหนาเตอะ มากองไว้ให้บนพื้นซีเมนต์ หยุดพูดกับตาเป็งสองสามคำก็กลับไปขึ้นรถขับออกไป
เคนปูเสื่อลงบนพื้นห้องใกล้หน้าต่าง เอาฟูกบางๆวางทับลงไปแล้วเอนตัวลงนอนหนุนหมอนซึ่งค่อนข้างแข็ง พยายามที่จะหลับ แต่ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับตัวเองไม่ทำให้หลับลงได้ เขาพลิกตัวไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มอย่าง กระสับกระส่าย อากาศเริ่มหนาวจัดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องลุกมาปิดหน้าต่างให้เหลือเปิดไว้เพียงบานเดียว แล้วก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ข้างนอกมีแต่ความมืดและลมเย็นเฉียบ ที่พัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามากระทบหน้า มีเงาตะคุ่มของต้นไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้างอยู่ทั่วไป ทุกหนทุกแห่งเงียบสงัด บนท้องฟ้าที่มืดมิดปราศจากดวงจันทร์ มีดาวดวงเล็กดวงน้อยส่องแสงระยับระยิบแพรวพราว ราวกับกากเพชรบนแผ่นกำมะหยี่สีดำ อากาศในขณะนั้นเย็นเฉียบ แต่หัวใจของเขากลับร้อนรนกระวนกระวาย
เกิดอะไรขึ้นกับเราหนอ เราเป็นใคร ? มาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ? คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาในสมองตลอดเวลา ตั้งแต่วันแรกที่ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล และพบว่าร่างกายบางส่วนเจ็บปวดรวดร้าว มีบาดแผลฉกรรจ์ที่สีข้าง ต้นแขนและศีรษะ ขาข้างหนึ่งอยู่ในเฝือก ตามเนื้อตัวก็มีรอยขูดขีดและฟกช้ำดำเขียว มีเข็มน้ำเกลือปักอยู่ที่แขน พยาบาลที่เดินเข้ามาให้ยาคนไข้เตียงที่ถัดจากเขา เดินเข้ามาดูเมื่อเห็นเขาลืมตาและพยายามจะยกศีรษะขึ้นจากหมอน
“อ้อ! ฟื้นแล้วหรือ อย่าเพิ่งลุกนะ อาการคุณยังไม่ดี” แล้วหล่อนก็กระวีกระวาดออกไปตามหมอ
นายแพทย์ที่เข้ามาดูอาการเขา เป็นหนุ่มใหญ่วัยประมาณสามสิบห้าปี สวมแว่นสายตา หน้าตาใจดี ซึ่งเขารู้ภายหลังว่าชื่อประสพชัย
“ฟื้นแล้วหรือ ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? หลับไปเสียหลายวันเลยนะ”
เขาไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า “ผมเป็นอะไร ผมอยู่ที่ไหน?”
“คุณอยู่ที่โรงพยาบาล คุณได้รับบาดเจ็บสาหัส” แล้วเขาก็ลงมือตรวจอาการ
“ดีขึ้นแยะเลยนี่ แต่คงต้องอยู่โรงพยาบาลอีกสักพักหนึ่ง แผลยังไม่หายดี ขาก็ต้องอยู่ในเฝือกอีกสักสองสามอาทิตย์”
ประสพชัยหันไปสั่งพยาบาลให้เพิ่มยาบางตัวลงในน้ำเกลือ
ก่อนจะออกจากห้องผู้ป่วยเขากล่าวว่า “ตอนมาที่นี่คุณไม่รู้สึกตัวเลย คนที่พามาส่งเขาก็ไม่รู้จักคุณ ทางเราเลยต้องตั้งชื่อให้คุณเอง รอจนกว่าคุณจะฟื้น จะได้เปลี่ยนชื่อในประวัติคนไข้ให้ตรงกับชื่อจริงของคุณ ตอนนี้คุณบอกได้หรือยังว่าคุณชื่ออะไร?”
ชายหนุ่มจำได้ว่าเขาพยายามคิดถึงชื่อของตัวเอง แต่ก็นึกไม่ออก สมองของเขามึนงงและอ่อนล้า
หลังจากที่พยายามคิดแต่ไม่สำเร็จ เขาก็บอกประสพชัยว่า “ผมไม่รู้จริงๆ ผมจำไม่ได้ “
แววตาของนายแพทย์หนุ่มใหญ่ที่มองเขา มีทั้งความเคลือบแคลงและกังวล “เอาเถอะ ไม่เป็นไร พยายามพักผ่อนให้มาก อีกสองสามวันคุณอาจจะจำได้”“คุณหมอครับ” เขาเรียก เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป “ทำไมผมถึงจำแม้แต่ชื่อตัวเองไม่ได้เล่าครับ เกิดอะไรขึ้นกับผมหรือครับ”นายแพทย์ประสพชัยหันกลับมามองเขา ตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนจะปลอบใจว่า “ผมบอกแล้วไงว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก คุณหมดสติไปหลายวัน เพิ่งฟื้นขึ้นมา จิตใจอาจจะยังสับสนอยู่บ้าง ตอนนี้คุณใช้ชื่อเคนไปก่อนก็แล้วกัน”
"เคน? ผมชื่อเคนหรือครับ?" เขาพีมพำอย่างครุ่นคิด "คุณหมอบอกว่าผมบาดเจ็บสาหัส ผมเกิดอุบัติเหตุหรือครับ?"
นายแพทย์หนุ่มมีท่าทางลังเลก่อนตอบว่า “ผมไม่แน่ใจนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ บาดแผลตรงสีข้างของคุณเป็นบาดแผลที่เกิดจากคมมีด คุณถูกยิงที่ต้นแขน กระสุนฝังใน ส่วนที่หัวอาจจะถูกตีด้วยของแข็ง หรือไม่ก็กระแทกกับหินอย่างแรง หริออาจจะตกจากที่สูง คุณจำไม่ได้เลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?"
เขาส่ายหน้าปฏิเสธ แทนที่จะได้รู้อะไรมากขึ้นจากหมอกลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกมืดมนยิ่งกว่าเก่า ตลอดเวลาที่นอนอยู่โรงพยาบาลเคนจำได้ว่า ทุกวันเขาจะเฝ้ารอเวลาที่หมอประสพชัยจะเข้ามาเยี่ยมไข้ ด้วยความหวังว่าหมออาจจะมีข่าวหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเขามาบอก แต่ทุกครั้งไม่มีอะไรคืบหน้า คำถามของนายแพทย์หนุ่มใหญ่ยังเหมือนเดิม คือเขาจำชื่อตัวเองได้หรือยังและคำตอบของเขาที่ว่าจำไม่ได้ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อวันเวลาผ่านไป โดยเขายังไม่สามารถจำอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองได้เลย เคนก็เริ่มวิตก ประสพชัยมาซักถามอาการของเขาทุกวัน ทดสอบเขาด้วยวิธีต่างๆ ที่เหมือนเด็กเล่นในความคิดของเขา เช่นให้อ่านหนังสือให้ฟังบ้าง คิดเลขบ้าง ให้เขียนหนังสือตามคำบอกบ้าง ซึ่งเขาก็สามารถทำได้แม้จะไม่คล่องนัก แต่เมื่อนายแพทย์หนุ่มวกกลับมาถามถึงเรื่องส่วนตัวเช่น ชื่อ ที่อยู่ อายุ วันเดือนปีเกิด ครอบครัว เขาไม่สามารถจะตอบได้ ราวกับว่าเขาสามารถบล็อคสมองของเขาเอง ไม่ให้เข้าถึงเรื่องเหล่านั้นได้ ในที่สุดประสพชัยติดต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางสมองที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งแนะนำให้ส่งคนไข้ไปรับการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องสแกนสมองที่นั่น
ก่อนหน้าถูกส่งตัวไปตรวจสมองด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ เขาได้พบหนานคำ ซึ่งตั้งคำถามกับเขา แบบเดียวกับนายแพทย์ประสพชัย เคนจำได้ว่าเขามองหนานคำอย่างหวาดระแวง ตอนนั้นเขารู้แล้วจากคำบอกเล่าของหมอ ว่ามีคนทำร้ายเขา ที่เขาหวาดระแวงเพราะเขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย
เขาไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไรกับใครและใครที่ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้เขาระแวงว่าใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ อาจจะเป็นคนที่ทำร้ายเขา ที่ต้องการมาปิดปากในขณะที่เขาไม่อยู่ในสภาพที่จะป้องกันตัวเองได้ ถ้าจะมีคนที่เขาไว้ใจและพอจะรู้สึกอบอุ่นไม่ต้องหวาดระแวงอยู่บ้าง ก็คงมีแต่นายแพทย์หนุ่มใหญ่คนเดียวเท่านั้นกระมัง
แม้แต่การเดินทางมาที่เวียงพุกามกับหนานคำก็เถิด เขาไม่ได้อยากมาเลย เพราะยังหวาดระแวงหนานคำอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพราะเขาจำอะไรไม่ได้เลย ที่สำคัญคือนายแพทย์ประสพชัยสนับสนุนให้เขามากับหนานคำ โดยให้เหตุผลว่า อย่างน้อยคนที่ช่วยเขาให้รอดตายและส่งตัวเขามาโรงพยาบาลคือคนที่เวียงพุกาม ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ทำร้ายเขา นอกจากนี้นายแพทย์หนุ่มใหญ่ยังคิดว่า เขาควรจะมีที่พักที่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากนัก เพื่อใครก็ตามที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะสามารถติดตามหาตัวเขาได้ง่ายขึ้น
เรื่องที่หนานคำและคำปันคุยกันในรถ เขาฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน คือความหวาดระแวงที่คนทั้งสองมีต่อตัวเขา เคนไม่ได้นึกข้องใจหรือไม่พอใจในเรื่องนี้ เขาคิดว่าถ้าเขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนทั้งสอง ที่ต้องมาเกี่ยวข้องรับผิดชอบต่อคนแปลกหน้า ที่แม้แต่ชื่อของตัวเองก็ยังจำไม่ได้ แถมถูกใครก็ไม่รู้ทำร้ายมา คนที่ให้ความช่วยเหลือเขาก็อาจจะพลอยมีอันตรายไปด้วยนั้น เขาก็คงต้องหวาดระแวงและไม่ไว้ใจเหมือนกัน
หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้ว่าขณะนี้ที่เขายังจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือทิ้งอดีตไปก่อนชั่วคราว คิดเฉพาะวันนี้และวันต่อๆไปเท่านั้น เมื่อยังจำไม่ได้เขาก็ควรอยู่กับปัจจุบัน ปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาจะเลิกพยายามค้นหาว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เขาจะเป็นคนใหม่ที่ชื่อนายเคน เขาจะสร้างอดีตของตัวเอง ที่นับย้อนหลังไปจนถึงวันที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลแห่งนั้น เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
เคนกลับเข้านอนและหลับๆตื่นๆจนใกล้ฟ้าสาง เขาไม่มีนาฬิกาจึงไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นเวลาเท่าไรแล้ว ชายหนุ่มค้นได้ยาสีฟันหลอดเล็กๆ แปรงสีฟันและผ้าเช็ดตัว ในถุงกระดาษที่นายแพทย์ประสพชัยให้มา แล้วเปิดประตูห้อง ค่อยๆย่องลงบันไดไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังห้องนอนของตาเป็ง น้ำในโอ่งเย็นเฉียบเข้าไปถึงหัวใจ แต่เขาก็กัดฟันตักน้ำราดตั้งแต่ศรีษะลงไป โดยพยายามระวังที่จะไม่ทำเสียงดังรบกวนชายชรา ซึ่งนอนอยู่ในห้องใกล้ๆ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเคนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ซึ่งยังมืดมิดและมีละอองบางๆของฝนโปรยปรายลงมา อากาศเย็นเฉียบ ทุกหนทุกแห่งมืดและเงียบ ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆนอกจากเสียงไก่ขันแว่วตามลมมาจากที่ใดที่หนึ่ง ในบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของเวียงพุกามแห่งนี้ เขาคะเนเอาเองว่าขณะนี้คงใกล้รุ่งเต็มทีแล้ว
ชายหนุ่มมองไปรอบตัวก่อนตัดสินใจเดินลงจากเนิน ซึ่งเป็นที่ตั้งกระท่อมของตาเป็ง ขณะนั้นฝนก็ยังตกลงมาปรอยๆอยู่ เขาเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินเล็กๆซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังแนวไม้ ทางเดินที่วกเวียนไปมาพาเขาลงมาถึงชายฝั่งลำธาร ซึ่งกระแสน้ำไหลเอื่อยๆเซาะไปตามโขดหินเล็กๆ ที่มีอยู่ระเกะระกะทั่วไปในท้องน้ำ เขามาหยุดยืนอยู่ใกล้โขดหินใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนพื้นดินใกล้ฝั่งน้ำ
เคนยกมือขึ้นกอดอก มองข้ามลำธารไปยังฝั่งตรงข้ามที่รกครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเบียดเสียดกันอยู่ เขาไม่รู้จักต้นไม้พวกนั้น เขามองไปที่โขดหินกลางน้ำ พยายามนึกภาพตัวเองที่นอนหมดสติอยู่บนโขดหินของลำธารอีกแห่งหนึ่ง ตามที่รู้คร่าวๆจากนายแพทย์ประสพชัย
ยืนดูอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มออกเดินไปตามชายฝั่ง ซึ่งบางตอนราบเรียบเดินได้สะดวก แต่บางตอนก็มีโขดหินเล็กๆขวางหน้า จนต้องกระโดดหรือปีนป่ายข้ามไป ตลอดทางเขาเห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่หน้าตาประหลาด บางต้นก็มีกล้วยไม้ป่าหลากสีอาศัยเกาะอยู่ตามคาคบ ชายหนุ่มเดินเลาะลำธารไปเรื่อยๆ เขาสังเกตเห็นว่าลำธารสายนี้ คงจะไหลมาจากที่สูงที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก เพราะเส้นทางที่เขากำลังเดินเลียบอยู่ ทอดตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆทีละน้อย กระแสน้ำเริ่มไหลเชี่ยวขึ้นและต้นไม้บนชายฝั่งลำธารทั้งสองด้าน ก็เริ่มรกทึบมากขึ้น
ฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงโค้งลำธาร ที่เริ่มตีโค้งแล้วหายลับเข้าไปในป่าจนมองไม่เห็น เนื่องจากชายฝั่งลำธารอยู่ต่ำ เคนจึงปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งเพื่อมองหาทางกลับไปที่พัก เมื่อโผล่ขึ้นไปได้ครึ่งตัว เขาก็เห็นตึกหลังใหญ่สีหม่นๆอยู่ไม่ไกลมากนักจากที่เขายืนอยู่ มันตั้งอยู่บนเนินสูงล้อมรอบด้วยต้นไม้ เห็นแต่เฉพาะบางส่วนของตัวตึกที่โผล่อยู่ระหว่างแนวไม้
ตอนแรกเขาคิดจะปีนขึ้นไปบนชายฝั่งที่สูงกว่าตรงที่ยืนอยู่ เพราะน่าจะมีถนนหรือทางเดินที่จะนำกลับไปสู่บ้านพักของตาเฒ่าเป็งได้ แต่เมื่อมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็คิดขึ้นมาได้ว่ามันคงจะไม่เหมาะนัก ถ้ามีใครมาเห็นเขาซึ่งไม่ได้เป็นคนของเวียงพุกาม เที่ยวเดินไปมาตามใจชอบ เคนกระโดดลงจากโขดหิน เดินเลียบฝั่งลำธารย้อนกลับไปตามทางที่เดินมา ครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็มาถึงกระท่อมของเฒ่าเป็ง ซึ่งขณะนั้นเจ้าของกระท่อมกำลังกวาดลานหน้าบ้านอยู่
“อ้อ..คุณ ตื่นแต่เช้า ไปไหนมาหรือครับ ” แกทักเมื่อเคนเดินเข้ามาถึงตัว
“ผมไปเดินเล่นแถวลำธารใกล้ๆนี่แหละ ”
“คุณหิวหรือยังล่ะ อีกสักครู่เด็กจะเอาอาหารมาส่ง ผมทานวันละสองมื้อ ถ้าคุณทานสามมื้อเดี๋ยวผมจะสั่งโรงครัวให้ ”
“โอ๊ะ ไม่เป็นไรหรอกครับ ลุง ” เคนรีบปฏิเสธ “ ผมทานสองมื้อเหมือนลุงได้ ” แล้วเขาก็ถือโอกาสซักถามแกว่า “ ที่เวียงพุกามนี่ เลี้ยงอาหารคนงานหมดทุกคนเลยหรือครับ”
“ อ๋อ เปล่าหรอก พวกคนงานที่มีครอบครัวเขาก็หุงหากันเอง ท่านให้เฉพาะข้าวสาร เบิกได้ไม่จำกัด ” แกเล่าอย่างโอ้อวดความเมตตาของเจ้านาย “ ส่วนพวกคนแก่คนเฒ่าที่ไม่มีลูกหลานจะช่วยหุงหาให้กิน ท่านก็เมตตาให้ไปกินได้ที่โรงครัวทุกมื้อ ทั้งท่านและคุณหนูแสนจะใจดีมีเมตตา ”
ตาเป็งปล่อยมือจากไม้กวาดที่ยังถืออยู่ ยกสองมือขึ้นพนมเหนือศรีษะ
ท่าทางที่เหมือนจะมีคำถามของเคน ทำให้ชายชรารีบอธิบายต่อ
“สำหรับผมนี่ท่านยกเว้นให้ คุณหนูกรุณาสั่งให้เด็กที่โรงครัวจัดอาหารมาให้ผมที่นี่ทุกมื้อ ตั้งแต่ที่เธอกลับมาอยู่บ้าน เธอเห็นว่าผมอายุมากแล้ว แข้งขาไม่ค่อยดี แล้วโรงครัวก็อยู่ไกลจากที่นี่มาก ”
ชายชราเดินตามเคนเข้ามาในบ้าน ไปหยุดอยู่ที่ฝาบ้านด้านหนึ่งซึ่งมีชั้นไม้ยึดติดกับผนังด้วยโซ่เล็กๆสองด้าน บนชั้นมีขวดพลาสติกใสและกระป๋องนมเล็กๆหลายใบวางเรียงกันอยู่ แกเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างนำมาวางเรียงลงบนโต๊ะ ตัวที่ใช้เป็นที่รับประทานอาหารเมื่อคืนที่ผ่านมา
“คุณทานกาแฟหรือเปล่า ผมมีติดบ้านอยู่บ้าง แต่เป็นกาแฟทางเมืองเหนือของเรา ไม่ทราบคุณจะทานได้ไหม ? ”
เคนมองตามมือของตาเป็งแล้วก็เห็นกระป๋องนมข้น ขวดพลาสติกใสที่มีน้ำตาลทรายแดงอยู่ประมาณครึ่งขวดและขวดกาแฟ ที่แกนำมาวางลงบนโต๊ะ แล้วโดยไม่รอคำตอบจากเขา ชายชราเอื้อมมือหยิบถ้วยดินเผาทรงสูงมีหูจับ จากชั้นวางของสองใบมาวางลงบนโต๊ะ ใช้ช้อนกินข้าวซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ตักกาแฟจากขวดใส่ลงไปในถ้วย ถ้วยหนึ่งใส่กาแฟเต็มช้อน ส่วนอีกถ้วยหนึ่งเพียงครึ่งช้อน แล้วรินน้ำจากกระติกน้ำร้อนใบเล็ก ซึ่งเคนเพิ่งเห็นว่าวางอยู่บนมุมหนึ่งของโต๊ะลงไป ชายหนุ่มสังเกตว่าแกไม่ได้เติมน้ำตาลหรือนมข้นลงในถ้วยกาแฟเลย
เฒ่าเป็งส่งกาแฟถ้วยที่มีกาแฟผสมอยู่เพียงครึ่งช้อนโต๊ะให้เขา ถือกาแฟถ้วยที่เหลือเดินไปนั่งที่ม้ายาวหน้าห้อง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่อยู่กลางห้อง
“ผมชอบกาแฟขมๆ ไม่ใส่น้ำตาล ” แกอธิบาย “ ของคุณผมก็ชงแบบเดียวกัน ถ้าต้องการน้ำตาลหรือนม ก็เติมเอาเองเลยนะ ”
เคนถือถ้วยกาแฟเดินตามไป “ ไม่เป็นไรครับ ”
เมื่อดื่มกาแฟหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ฉวยถ้วยกาแฟของตาเป็ง ซึ่งตอนนี้ไม่มีกาแฟเหลืออยู่แล้ว ที่แกวางไว้ข้างตัวบนม้านั่งขึ้นมา เดินออกไปตรงก๊อกน้ำที่เขาเห็นมีอยู่ใกล้ตัวบ้าน ลงมือล้างถ้วยทั้งสองใบจนสะอาดหมดจด นำไปวางคว่ำลงบนตะแกรงเล็กๆที่วางอยู่แถวนั้น ตาเฒ่าเป็งซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม เฝ้ามองตามทุกอิริยาบถของเขาอย่างเงียบๆโดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว
“
ตอนอยู่บ้าน เช้าๆอย่างนี้คุณทานอะไร ? ” แกเริ่มเลียบเคียง
เคนขยับจะตอบว่า 'ผมไม่รู้ ผมจำไม่ได้' อย่างที่เคยตอบใครต่อใครเป็นประจำตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขาเริ่มคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตอบเช่นนั้นอีกต่อไปโดยไม่จำเป็น เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป ดีกว่าทำตัวเป็นภาระซึ่งอาจดูน่าเวทนาในสายตาของคนอื่น
ชายหนุ่มจึงตอบแกแบบที่ควรจะตอบ “ ผมทานง่าย กาแฟหรือข้าวผมก็ทานได้ทั้งนั้น ลุงไม่ต้องห่วง ”
“ดี ดี เลี้ยงง่ายดี แบบนี้อยู่ด้วยกันได้ ” แล้วตาเป็งก็ชวนคุยต่อไปว่า “ วันนี้เดินไปถึงไหนล่ะ ? ”
“ผมเดินเลียบลำธารข้างล่างนี่ ไปจนถึงตึกใหญ่ที่อยู่บนเนินสูง ไม่ทราบว่าเป็นตึกอะไร ”
“อ๋อ ตึกใหญ่ที่ท่านอยู่กับคุณหนู ” ชายชราตอบ แล้วพยายามเลียบเคียงต่อไปว่า “ คุณคงรู้จักท่านกับคุณหนูมานานแล้วสินะ ”
สีหน้าของเคนดูว่างเปล่าเมื่อตอบว่า “ ยังไม่รู้จักเลยครับ ลุงก็รู้ว่าผมเพิ่งมาเมื่อคืนนี้เอง ”
“เออ จริงสิ ว่าแต่ว่าคุณชื่ออะไรล่ะ ? คุยกันตั้งนานยังไม่รู้เลย ”
“เรียกผมว่าเคนก็แล้วกัน ”
ชายหนุ่มกำลังคิดว่าเขาอาจจะต้องอยู่ที่เวียงพุกามนี้ต่อไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน ดังนั้นเขาก็ควรรู้ข้อมูลที่จำเป็น เกี่ยวกับเวียงพุกามและบุคคลที่เกี่ยวข้องบ้างพอสมควร เพื่อการปรับตัวเองของเขา ถ้าถามหนานคำอาจจะไม่ได้คำตอบ หรือไม่ก็อาจจะทำให้หนานคำระแวงสงสัยเขามากขึ้น ส่วนตาเฒ่าเป็งคนนี้ท่าทางแกง่ายๆและดูจริงใจพอที่เขาจะซักถามได้ โดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือต้องหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
“คุณมาเที่ยวหรือมาทำงานล่ะ ? ”
ตาเป็งหาทางซักไซ้ต่อ ถึงจะเห็นว่าหน้าตาท่าทางของเขาสุภาพ ไม่น่าจะเป็นคนร้ายอย่างที่หนานคำกลัว แต่แกก็ไม่ไว้ใจ ทุกวันนี้มีคนหน้าตาท่าทางดีหลายคน ที่ปรากฏในภายหลังว่าเป็นคนร้าย
“หนานคำบอกว่าอาจจะมีงานให้ผมทำ ” เคนตอบแบบเลี่ยงๆ เพราะไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้น เล่าเรื่องของเขาให้แกฟังมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ชวนแกคุยต่อไปว่า “ ดูเหมือนเวียงพุกามนี่จะกว้างขวางใหญ่โตมาก ตอนนั่งรถเข้ามาจากปากทาง กว่าจะเข้ามาถึงที่นี่ก็นานพอดู ”
“โฮ๊ย กว้างขวางใหญ่โตเชียวละ ที่ดินของเวียงพุกามนี่หลายพันไร่ละมัง กินอาณาเขตไปถึงเขาสูงข้างหลังโน่น อีกด้านหนึ่งก็ติดลำธารที่ไหลมาจากเทือกเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปพู้น ส่วนด้านโน้นก็ไปเกือบถึงชายแดน” แกคุยโอ่อย่างภาคภูมิใจราวกับเป็นเจ้าของเสียเอง
“หมู่บ้านเล็กๆสองสามแห่งที่อยู่นอกกำแพงโน่น ก็อยู่ในเขตที่ดินของเรา ตอนท่านมาบุกเบิกที่ดินแถวนี้ก็มีหมู่บ้านพวกนี้อยู่แล้ว รู้สึกว่าท่านไปตกลงกับหลวงยอมให้หมู่บ้านอยู่ต่อไป ท่านใจดี อนุญาตให้ชาวบ้านทำกินในที่ดินแถวนั้นได้ ไม่ต้องโยกย้ายออกไป แต่ก็มีข้อแลกเปลี่ยน ให้ช่วยกันดูแลแถวนั้นไม่ให้ใครมาตัดไม้ทำลายป่า ”
เคนนิ่งฟังเงียบๆอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ตาเป็งสังเกตเห็นได้ว่า ถึงเขาจะพยายามชวนแกพูดคุย แต่บางครั้งดูเหมือนใจเขาไม่ได้อยู่กับตัว บางครั้งแววตาของเขาเศร้าหมองและครุ่นคิด
“ลุงอยู่ที่นี่นานแล้วหรือครับ ? ”
“กว่าสามสิบปีแล้ว ก่อนโน้นผมเป็นพรานป่า วันๆก็อยู่แต่ในป่า ป่าแถบนี้เลยไปจนถึงชายแดนโน่น ผมก็ท่องมาเสียนักต่อนักแล้ว ”
เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ สีหน้าของเฒ่าเป็งอิ่มเอิบอย่างมีความสุข เหมือนคนชราทั่วไปที่มีความสุข เมื่อได้พูดถึงอดีตที่เคยโด่งดัง “ ไม่มีใครไม่รู้จักผม ”
“ผมรู้สึกว่าที่นี่คงจะมีคนงานมาก พวกเขาทำอะไรกันหรือครับ ? ”
“ปลูกต้นยาสูบ คุณยังไม่เห็นหรอกหรือ? บนเนินทางด้านโน้นแน่ะ ” แกชี้มือออกไปทางหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าแกหมายถึงที่ไหน “ ปลูกเยอะแยะเลย หลายเนินติดต่อกันสุดลูกหูลูกตา ”
“ ยาสูบอย่างเดียวหรือครับ ? ” เคนชวนแกคุยไปเรื่อยๆ
“ท่านกำลังจะปลูกใบชาอีกอย่างหนึ่ง แต่คงจะเป็นอีกด้านหนึ่งทางโน้น ” ตาเป็งชี้มืออีก แต่คราวนี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก “ ตอนนี้กำลังจ้างคนมาทำวิจัยอยู่ เรื่องการตลาดหรืออะไรนี่แหละ ผมก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนักหรอก คุณถามทำไมหรือ ? ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับลุง ผมเห็นที่นี่มีอาณาเขตกว้างขวาง มีคนงานมาก ก็เลยอยากรู้ว่าทำอะไรกันบ้างเท่านั้น ” ชายหนุ่มรีบอธิบาย กลัวว่าแกจะระแวงเขาขึ้นมาอีกคน
“ที่นี่มีคนงานแยะก็จริง แต่ส่วนมากก็เป็นพวกที่ติดสอยห้อยตามท่านมาบุกเบิกที่แถวนี้ แล้วก็พวกลูกๆหลานๆของคนพวกนั้น ที่เราอยู่นี่มันห่างไกลชุมชน ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็พึ่งพาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองลำบาก ท่านจึงต้องระวังการรับคนเข้ามาอยู่ด้วย ดีไม่ดีเกิดเป็นสายโจรหรือมีคดีติดตัวมา จะเป็นอันตรายต่อเราได้” เฒ่าเป็งได้โอกาสพูดอ้อมๆเป็นเชิงเตือนเขากลายๆ ถ้าคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี
“ลุงครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นเจ้าของเวียงพุกามนี่ ”
“ท่านชื่อคุณดนัย ท่านใจดีมีเมตตามาก คุณใหญ่กับคุณหนูก็เหมือนกัน ”
เมื่อเห็นชายหนุ่มทำท่าสนใจรับฟัง แกก็ขยายความต่อ
“คุณใหญ่กับคุณหนูเป็นลูกของท่าน คุณใหญ่ชื่อจริงว่าคุณวุฒิเลิศ ดูแลกิจการของท่านอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนคุณหนูเป็นน้องสาวคุณใหญ่ ผมเห็นคุณหนูมาตั้งแต่เกิด เธอน่าสงสารมาก ตอนที่คุณแม่เธอเสียเธอยังเล็กอยู่เลย สักสองสามขวบได้กระมัง” แล้วแกก็ย้อนถามเขาว่า “ คุณเคยเห็นเธอหรือยังล่ะ ”
“ยังเลยครับ"
“คุณหนูเธอน่ารัก ขี้สงสารและมีเมตตาสูง ลูกจ้างที่นี่คนไหนเจ็บไข้ได้ป่วยเธอก็จะไปดู ถ้าอาการหนักหนาสาหัสเธอก็สั่งให้ส่งโรงพยาบาล ออกค่าใช้จ่ายให้หมด ไม่ต้องจ่ายเองสักแดง แล้วตั้งแต่เรียนจบกลับมา เธอก็ไม่ยักไปอยู่กรุงเทพฯกับคุณพี่ของเธอ กลับมาอยู่ที่เวียงพุกามนี่ คุณลองคิดดูซิว่าสาวๆสวยๆ ความรู้ดีมีชาติตระกูลคนไหน จะยอมมาจมปลักอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้ แต่เธอยอมอยู่ที่นี่ เพื่อดูแลคุณพ่อของเธอแทนคุณใหญ่ ”
เคนฟังเงียบๆคิดไม่ออกเลยว่าคุณหนู ผู้แสนจะสูงส่งเลิศเลอในสายตาของตาเป็งจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ตอนนี้เขาคิดแต่เพียงจะทำตัวให้กลมกลืนไปกับคนที่นี่ เพื่อรอคนที่อาจจะเคยรู้จักเขามาตามหา และแม้แต่รอเวลาที่ความทรงจำของเขาจะกลับคืนมา เหมือนที่หมอประสพชัยให้ความหวังไว้ เขาจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ถ้าไม่ตามหนานคำมาที่นี่เขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ ในเมื่อแม้แต่ชื่อตัวเองก็ยังไม่รู้จัก
“อยู่ที่นี่ลุงต้องทำอะไรบ้างครับ ? ” เคนเปลี่ยนเรื่อง
ตาเป็งจุดบุหรี่สูบพ่นควันโขมงก่อนจะตอบว่า “ แต่ก่อนผมทำสารพัด แต่ตอนนี้ท่านให้ช่วยดูแลสวนกุหลาบของคุณผู้หญิง ให้งามเหมือนสมัยที่ท่านยังอยู่ แล้วก็ช่วยอะไรเล็กๆน้อยๆตามแต่ท่านหรือคุณหนูจะสั่ง ”
แล้วจู่ๆแกก็ย้อนถามเขาว่า “ แล้วคุณล่ะทำงานอะไร หนุ่มๆท่าทางดีอย่างคุณคงจะทำงานที่มีเกียรติ ได้เงินเดือนสูงนะ”
เคนอึ้ง ไม่รู้ตอบแกว่าอย่างไร
ชายชราชำเลืองมองเคนอย่างสำรวจตรวจตรา ก่อนจะเดินผละออกไป