วันนั้นลลิตาซึ่งลาออกจากงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เลย์ตันเรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า นั่งตรวจรายชื่อแขกส่วนตัวของเธอและของครอบครัวเธอที่มารดาส่งมาให้ รวมทั้งของครอบครัวคริสที่ได้จากคุณธัญญา เพื่อที่จะส่งให้เลขาฯส่วนตัวของจอห์น บิดาของคริสช่วยพิมพ์ซองให้ ตรวจดูจนครบหมดแล้ว ยังขาดเฉพาะแขกส่วนตัวของคริส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงในวงการทหารของเขา
หญิงสาวลองตรวจสอบจากรายชื่อที่มีอยู่จำนวนมากอีกรอบหนึ่ง คิดว่าเผื่อจะหลงหรือปะปนไปกับรายชื่อแขกของบิดามารดาคริส เมื่อหาไม่พบเธอก็นั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้น คิดอยู่พักหนึ่งก็นึกออกว่าคริสยังไม่ได้ส่งรายชื่อ ที่เขาบอกเมื่อสองสามวันก่อนว่าเรียบร้อยแล้วให้เธอ
ลลิตาถอนใจยาวอย่างโล่งอก กดโทรศัพท์ไปหาคริส กดแล้วกดเล่าอยู่หลายครั้งติดต่อกัน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้ เธอคิดว่าเขาคงปิดโทรศัพท์เพราะอาจจะกำลังทำงานอยู่ จอห์นต้องการรายชื่อทั้งหมดโดยด่วนภายในวันนี้ ช้าที่สุดก็ไม่ควรจะเกินพรุ่งนี้เที่ยง ถ้าจะรอจนกว่าคริสมาจากวอชิงตัน ดี.ซี.ในสัปดาห์หน้าก็อาจจะช้าเกินไป
ในที่สุดลลิตาก็โทรศัพท์ติดต่อไปหาคุณธัญญาที่บ้าน สอบถามว่าคริสฝากรายชื่อแขกของเขาไว้ให้เธอหรือเปล่า
“รายชื่อแขกของคริสหรือ? เปล่านี่ ไม่ได้ฝากป้าไว้หรอก เขาบอกลิตาหรือว่าฝากป้าไว้?” คุณธัญญาถามอย่างสงสัย
“เปล่าค่ะ ไม่ได้บอก พอดีลิตาติดต่อพี่คริสไม่ได้ ก็เลยลองโทร.มาถามคุณป้า เผื่อเขาจะฝากไว้ ลิตาอยากได้วันนี้ จะได้ส่งไปให้เคธี่ช่วยจัดการต่อ” เธอหมายถึงเลขาฯส่วนตัวของบิดาคริส “ถ้าไม่ได้ฝากก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวลิตาจะลองติดต่อถามพี่คริสดูอีกที”
คุณธัญญาซึ่งอยู่ปลายสัญญาณอีกด้านนิ่งอึ้ง คิดว่าถ้าลลิตาพยายามติดต่อคริสหลายครั้งแล้วติดต่อไม่ได้ หรือเกิดรู้ขึ้นมาว่าที่ติดต่อไม่ได้ หาตัวเขาไม่พบเพราะขณะนั้นเขาไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
“เขาเตรียมเสร็จหรือยังล่ะ รายชื่อแขกของเขาน่ะ ถ้าเขายังไม่ได้ให้ลิตา ก็อาจจะอยู่กับตัวเขาก็ได้ แต่ป้าว่าเผลอๆเขาอาจจะยังทำไม่เสร็จก็ได้นะ ค่อยรอขอเขาตอนเขามานิวยอร์คไม่ทันหรือ” คุณธัญญาพยายามประวิงความใจร้อนของลลิตา
“เสร็จแล้วละค่ะ พี่คริสบอกลิตาเองก่อนวันที่จะกลับไปวอชิงตัน เขาบอกจะเอาให้ลิตาก่อนออกจากบ้านไปขึ้นเครื่อง แล้วก็คงลืม ลิตาเองก็ลืมทวง” แล้วเธอก็หัวเราะเสียงใสกับความขี้ลืมของเธอและคริส
“งั้นหรือ ถ้าเขาไม่ได้เอาติดตัวไปด้วยก็อาจจะอยู่ในห้องเขาก็ได้ เดี๋ยวป้าจะให้ป้านวลเข้าไปดูให้ ลิตาคอยสักครู่แล้วกัน” เธอลงทุนจัดการให้ เพื่อกันไม่ให้ลลิตาเที่ยวตามหาคริส
คุณธัญญาเหลียวหาคุณนวลละออแต่ไม่พบ จึงเดินเข้าไปในห้องของบุตรชาย เที่ยวมองหาสิ่งที่ลลิตาต้องการด้วยตัวเอง แถมภาวนาขอให้เจอด้วย เพื่อที่จะได้ส่งต่อให้หญิงสาวผู้นั้นให้จบเรื่องไป จะได้ไม่ต้องพยายามโทรศัพท์ไปหาคริสและทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นมาอีก ถ้ารู้ว่าคริสไปเมืองไทย
ลลิตาซึ่งตอนนี้รู้เรื่องผู้หญิงอีกคนและได้เผชิญหน้ากันมาแล้ว คงจะยอมรับการไปเมืองไทยครั้งนี้ของคริสไม่ได้ จนอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้เพราะระแวงมากอยู่แล้ว คุณธัญญายังต้องการประวิงเวลาออกไปก่อนสักเล็กน้อย จนกว่าลูกชายของเธอกับทิพย์สุรางค์ จะได้พบเพื่อปรับความเข้าใจกันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรเธอก็รับได้ทั้งนั้น เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่เขาสองคนตัดสินใจกันเอง
ในที่สุดคุณธัญญาก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอก เมื่อพบกระดาษสองสามแผ่น ที่คริสเขียนรายชื่อแขกของเขาเอาไว้ มันวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน มีแก้วทับกระดาษวางทับกันปลิวเอาไว้ หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องเพื่อไปบอกลลิตาว่าพบรายชื่อแขกของคริสแล้ว ให้มาเอาได้เลย แต่พอพ้นประตูห้องออกไปได้เพียง 2-3 ก้าว คุณธัญญาก็หยุดชะงัก คิดอะไรอยู่อึดใจหนึ่งก็สาวเท้าเข้าห้องส่วนตัว หลังจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องของบุตรชายอีกครั้ง
คุณธัญญาจ้องมองของที่อยู่ในมือครู่หนึ่ง ใช้ความคิดอย่างหนักว่าสิ่งที่เธอกำลังจะทำต่อไปนี้ โหดร้ายต่อลลิตาเกินไปหรือไม่ จำเป็นแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรเธอก็เชื่อว่ามันน่าจะยุติธรรมสำหรับหญิงสาวผู้นั้นมากกว่า ที่จะได้รู้ข้อมูลสำคัญที่คุณธัญญาไม่แน่ใจ ว่าคริสจะใจแข็งพอหรือไม่ที่จะเป็นคนให้มันแก่ลลิตาเอง
แล้วในที่สุดคุณธัญญาก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่า เธอจำใจและจำเป็นที่จะต้องจัดการเสียเอง เพื่อให้โอกาสลลิตาได้มีเวลาไตร่ตรองระหว่างที่คริสไม่อยู่ ต่อจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับหญิงสาวผู้นั้นว่าจะรับมันได้แล้วเดินหน้าต่อไป หรือจะถอยอย่างมีศักดิ์ศรี ตัดสินใจได้แล้วคุณธัญญาก็ดำเนินการตามที่คิด หลังจากนั้นก็ออกจากห้องบุตรชายไปตามหาคุณนวลละออจนพบ พูดจาซักซ้อมกันสองสามประโยค เธอก็คว้ากระเป๋าถือใบใหญ่ออกไปจากอพาร์ตเมนท์
คุณนวลละออเดินไปยกหูโทรศัพท์ที่คุณธัญญาพักสายไว้ พูดกับลลิตาที่คอยสายของคุณธัญญาอยู่
“หนูลิตา นี่ป้านวลนะ พบแล้วละจ้ะรายชื่อแขกของคริสน่ะ”
เสียงที่บ่งถึงความดีใจของลลิตาพูดกลับมาว่า “ขอบคุณค่ะป้านวล โล่งใจไปที ลิตาต้องใช้ด่วนวันนี้ อย่างช้าก็ไม่เกินพรุ่งนี้ นึกว่าจะต้องโทร.ไปตามหาที่พี่คริสเสียแล้วสิ ตกลงหาเจอที่ไหนคะ”
“อยู่ในห้องคริสน่ะแหละ เขาวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง” แล้วคุณนวลละออก็ถามว่า “ลิตาจะมาเอาเองหรือจะให้ใครมาเอาล่ะ”
“ลิตาจะแวะไปเอาเองค่ะ”
“จะมาตอนนี้หรือเมื่อไหร่ ที่ถามนี่เพราะอีกสักครู่ป้าจะออกไปซื้อของที่ไชน่าทาวน์ คุณธัญญ์ก็ไม่อยู่”
“อ้าว...คุณป้าไม่อยู่แล้วหรือคะ เมื่อกี้ยังพูดกับลิตาอยู่เลย”
“ไม่อยู่จ้ะ เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง เห็นว่ามีนัด ถึงให้ป้ามาพูดโทรศัพท์กับหนูแทนไง” คุณนวลละอออึกอักนิดหนึ่งเมื่อพูดถึงคุณธัญญา แต่ลลิตาไม่ทันสังเกต “ลิตามีธุระอะไรกับคุณป้าหรือเปล่าล่ะ”
“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ” ลลิตารีบปฏิเสธ “ป้านวลจะออกไปข้างนอกก็เชิญเถิดค่ะ ลิตามีกุญแจเข้าอพาร์ตเมนท์อยู่แล้ว ห้องพี่คริสไม่ได้ล็อคกุญแจไม่ใช่หรือคะ”
“จ้ะ ไม่ได้ล็อค ตกลงป้าไม่ต้องห่วงกลัวลิตาเข้ามาเอาของไม่ได้นะ”
“ค่ะ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณมากนะคะป้านวล”
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาลลิตาก็ไปถึงอพาร์ตเมนท์ของคุณธัญญา ไขกุญแจประตูหน้าเข้าไปในบ้าน แล้วเดินเลยเข้าไปในห้องนอนของคริส ตรงรี่เข้าไปที่โต๊ะข้างเตียงเพื่อหาบัญชีรายชื่อแขกที่รู้จากคุณนวลละออ เมื่อเห็นกระดาษสองสามแผ่นที่มีแก้วทับกระดาษวางทับอยู่ เธอก็หยิบแก้วสีแดงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาวางลงบนโต๊ะ หยิบกระดาษที่มีลายมือคริสเขียนรายชื่อแขกเอาไว้ขึ้นมา
เห็นซองสีน้ำตาลที่วางอยู่ใต้กระดาษก็หยิบออกมาเปิดดู คิดว่าคริสอาจจะฝากเอาไว้ให้เธอด้วย เพราะลักษณะการวางเหมือนเป็นของในกองเดียวกันกับกระดาษพวกนั้น ลลิตาเปิดซองใบนั้นที่ไม่ได้ปิดผนึก ล้วงมือลงไปหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาดู
เอ๊ะ...รูปเด็กที่ไหน? คิดแล้วหญิงสาวก็พลิกดูรูปทั้งปึกที่มีอยู่ด้วยกันห้าหกรูป ตอนแรกเธอไม่ได้สนใจมากนัก นึกแต่เพียงว่าคงเป็นรูปลูกของเพื่อนคริส แต่เมื่อล้วงมือลงไปในซองขนาดเอ4 นั้นอีกครั้ง แล้วหยิบของอีกชิ้นหนึ่งออกมา คลี่ดูแล้วพบว่าเป็นเสื้อกล้ามตัวเล็กๆของเด็ก ที่มีลักษณะเหมือนเสื้อที่ใช้อยู่เป็นประจำ ไม่ใช่ของใหม่ ลลิตาก็เริ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้เธอกลับไปหยิบรูปเหล่านั้นขึ้นมาดูอีก ดูซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็เริ่มสะดุดใจ เอ๊ะ..ลูกใครกันนี่ ทำไมหน้าตาจึงถอดแบบมาจากคริสไม่ผิดเพี้ยน?
แล้วหญิงสาวก็เริ่มเย็นวาบขึ้นมาเฉยๆ ลูกใคร?...ลูกใคร?...หรือว่า..หรือว่า..และแล้วเมื่อความสงสัยุพุ่งขึ้นมาถึงขีดสุด ลลิตาก็รีบร้อนออกจากห้อง หยิบของทั้งหมดติดมือไปด้วย เที่ยวเดินตามหาใครสักคนเพื่อสอบถาม แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน ทั้งคุณธัญญาและคุณนวลละออออกไปข้างนอกกันหมด
ลลิตาลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่งในห้องโถงใหญ่ ใช้ความคิดอย่างหนัก เพื่อหาที่มาที่ไปของรูปพวกนั้นและเสื้อกล้ามที่อยู่ในซองเดียวกัน ถามตัวเองว่าควรจะโทรศัพท์ไปสอบถามคริสให้สิ้นสงสัยไปเลยหรือไม่ แต่เมื่อพยายามโทร.ไปหาเขาอีกหลายครั้งและยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม ลลิตาก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมา ใช้ความคิดอย่างหนักว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ความจริงเรื่องเด็กคนนี้ได้
เมื่อนึกออกว่าควรจะสอบถามใครที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด เธอก็กดโทรศัพท์ไปเข้ามือถือของคุณธัญญา แต่ก็ติดต่อไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน หลังจากนั่งรอยืนรออยู่อีกพักใหญ่ ทั้งคุณนวลละออและคุณธัญญาก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาสักที ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจกลับที่พัก พร้อมซองเอกสารเจ้าปัญหาซองนั้น
หลังจากที่ลลิตากลับออกไปแล้วประมาณหนึ่งชั่วโมง คุณนวลละออก็หอบของที่ซื้อจากไชน่าทาวน์มาถึงอพาร์ตเมนท์ วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะกลางในห้องแพนทรี ก่อนเดินอย่างรีบร้อนเข้าไปในห้องนอนคริส เพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากลลิตา ซึ่งโทร.ตรงเข้าเบอร์บ้าน
“ป้านวลคะ มีใครติดต่อพี่คริสได้บ้างไหม? ลิตาโทร.หาเขาหลายครั้งแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเขาไปไหน ป้านวลพอจะทราบไหมคะ?”
เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล เหมือนมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นของหญิงสาวผู้นั้น ทำให้คุณนวลละออนิ่งอึ้ง กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้ข้อมูลบางอย่างแก่ลลิตา
“เอ..ป้าก็ไม่แน่ใจนะ จะไปเมืองไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้ยินเขาพูดๆอยู่เมื่อไม่กี่วันนี้เองว่ามีธุระส่วนตัวทางโน้น อาจจะเอาการ์ดแต่งงานไปฝากคุณยายให้ญาติๆก็ได้ เขาไม่ได้คุยกับหนูบ้างหรอกหรือ”
ใจของลลิตาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ไปเมืองไทย? ไปอีกแล้วหรือ? หรือไปร่ำลาผู้หญิงคนนั้นเป็นการส่วนตัว ถึงต้องแอบไปเงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าวใครแบบนี้
“อ้อ..หรือคะ” ลลิตาพูดได้แค่นั้น มือที่ถือโทรศัพท์อยู่สั่นระริก
เสียงคุณนวลละออพูดต่อไปว่า “เป็นไปได้ไหมว่าที่หนูติดต่อเขาไม่ได้น่ะ เพราะเขายังอยู่บนเครื่องบิน”
“ป้านวลรู้แน่แล้วหรือคะว่าเขาไปเมืองไทย?” เสียงของลลิตาแข็งขึ้นมาทันที
“เปล่าจ้ะ ป้าไม่รู้หรอก เพียงแต่เดาเอาเท่านั้น หนูใจเย็นๆรอเขาอีกสักพัก เดี๋ยวคริสอาจจะโทร.มาหาหนูก็ได้ อาจจะไม่ได้ไปไหนหรอก ก็เขาต้องทำงานไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ ป้านวล แค่นี้ก่อนนะคะ”
ใช้ความคิดอยู่อีกพักหนึ่ง ลลิตาก็กดโทรศัพท์ไปหามารดา เล่าเรื่องที่สงสัยว่าคริสจะไปเมืองไทย พูดกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางสาย ประโยคสุดท้ายของคุณลักษณาคือ
“ไม่ต้องห่วง นักสืบของแม่มีสายอยู่ทางโน้นแล้ว รู้สึกว่าเขาจะมีบ้านญาติอยู่ที่นั่น แม่ยังไม่ได้สั่งเลิก กะว่ารอให้ลิตาแต่งงานเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยเลิก เอาละ..ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็รู้เรื่อง ลิตาอยู่เฉยๆนะ ทำไม่รู้ไม่ชี้ อย่าไปเที่ยวซักเที่ยวถามคุณป้าหรือใคร เขาคงจะไม่รู้เรื่องหรอก เขาไม่รู้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวเรื่องจะไปกันใหญ่”
อีกประมาณสามชั่วโมงต่อมา คุณลักษณาก็โทรกลับมาหาบุตรสาวด้วยสุ้มเสียงที่เป็นเดือดเป็นแค้น
“ได้เรื่องแล้วละลิตา สายทางโน้นบอกมาแล้วว่าคริสเข้าไปที่เวียงพุกาม แสดงว่าแม่คนนั้นคงอยู่ที่นั่นแหละ นี่ลิตาจะเอายังไงต่อไป”
ลลิตามือไม้อ่อน ใจสั่นระริกหูตาพร่าพราย เมื่อความโกรธและความหึงหวงพุ่งพรวดขึ้นมาพร้อมๆกัน ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว นอกจาก...”ลิตาจะไปเมืองไทยคืนนี้ค่ะ ไปดูให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย จะเอายังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง พี่คริสจะมาทำเหมือนลิตางี่เง่าแบบนี้ไม่ได้”
คุณลักษณารู้สึกตกใจ ปกติลูกสาวเธอเป็นคนสุขุม ไม่ค่อยเปิดเผยอารมณ์ให้คนอื่นล่วงรู้ แต่ครั้งนี้คงจะกดดันเสียจนต้องระเบิดออกมา
“ใจเย็นๆสิลูก แม่ว่าลิตาอย่ามาเมืองไทยเลย ทำไม่รู้ไม่ชี้รอเขาอยู่ที่โน่นไม่ดีกว่าหรือ เขาอาจจะไปร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็จบกันแค่นั้น ถ้าลูกบุ่มบ่ามไปเผชิญหน้าเพื่อจับผิดเขา เรื่องจะไปกันใหญ่นะลูก เชื่อแม่เถิด”
คุณลักษณาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เพราะกลัวจะเสียการใหญ่ อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว
“อย่าห้ามลิตาเลยค่ะแม่ ยังไงลิตาก็ต้องไป ลิตาทนมานานแล้ว ทนให้เขาหลอกอยู่เรื่อยๆแบบนี้ไม่ไหวแล้ว”
เสียงที่สั่นพร่าด้วยแรงอารมณ์ของบุตรีทำให้คุณลักษณาร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามจะเปลี่ยนใจลลิตาไม่ให้เดินทางมาเมืองไทย เพื่อเผชิญหน้ากับคริสและอาจจะผู้หญิงคนนั้นด้วย เพราะมันอาจจะหมายถึงความแตกหักระหว่างคริสกับลลิตา ซึ่งแน่นอนย่อมต้องหมายถึงความแตกหัก ระหว่างเธอกับคุณธัญญาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอางี้ดีไหมลูก ตอนนี้สายของนักสืบแม่เขาก็ยังอยู่ที่โน่น รอคำสั่งอยู่ว่าจะให้เขาทำอย่างไรต่อไป ถ้าไงแม่จะให้เขาหาทางเข้าไปสืบในบ้านนั้นว่าคริสไปทำไม ไปหาใคร ลูกรออยู่ที่โน่นแหละ ไม่ต้องมาเมืองไทยหรอก นี่แน่ะลิตา เชื่อแม่เถิดนะ เรื่องแบบนี้น่ะใครใจเย็นกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ แล้วอีกอย่าง ระหว่างที่ลูกเดินทางมาทางนี้ คริสก็อาจจะสวนทางกับลูกกลับไปที่โน่นแล้วก็ได้”
ลลิตาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อยว่า “แล้วจะเข้าไปสืบถึงในบ้านเขาได้หรือคะ? ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะแม่”
คุณลักษณารู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อได้ยินเสียงที่คลายความร้อนรนลงไปเล็กน้อยของบุตรสาว เธอรีบกล่อมต่อว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอก นักสืบพวกนี้เขาเก่ง เขามีสารพัดช่องทางที่จะหาข่าว ตกลงเอาตามนี้นะลูก อยู่ที่โน่นแล้วรอฟังข่าวจากแม่”
ในที่สุดลลิตาก็จำใจต้องอยู่เฉยๆรอให้คริสเดินทางกลับมา ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำเตือนของมารดา แต่เป็นเพราะเครื่องบินไปกรุงเทพฯเต็มหมดจนถึงอีกสามวันข้างหน้า
วันรุ่งขึ้นคุณลักษณาได้รับข่าวใหญ่จากนักสืบที่เธอจ้างประจำ ข่าวชิ้นนั้นทำให้เธอนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ใกล้ตัวแทบไม่ทัน อะไรกันนี่? เป็นไปถึงขนาดนี้ได้อย่างไร ? ไม่น่าเชื่อ..เป็นไปไม่ได้ สายสืบคนที่อยู่ที่แม่ฮ่องสอนคงเข้าใจผิดไปแน่ๆ ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ แต่เธอก็ยังใจชื้นอยู่บ้างเล็กน้อยเพราะกำลังรอหลักฐานภาพถ่าย ที่สายทางโน้นจะส่งผ่านมาทางอินเทอร์เน็ตเข้าสำนักงานที่กรุงเทพฯ
นักสืบคนที่คุณลักษณาติดต่ออยู่ประจำซึ่งขณะนี้อยู่ที่สำนักงานฯ จะพิมพ์มันออกมาแล้วให้ลูกน้องขี่มอเตอร์ไซดิ์เอามาให้เธอที่บ้าน ที่ต้องยุ่งยาก อย่างนี้ก็เพราะเธอไม่คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ จะไหว้วานให้ใครช่วยก็กลัวเขาจะรู้เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ ระหว่างรอ คุณลักษณาก็ผลุดลุกผลุดนั่ง นึกเสียใจที่ไม่เคยสนใจจะเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารของมันเอาไว้บ้างเลย ไม่งั้นก็คงไม่ต้องมานั่งรออย่างกระวนกระวายใจแบบนี้
แต่แล้วเมื่อซองภาพถ่ายมาถึงมือ คุณลักษณาก็ไม่กล้าเปิดออกดูทันที ใจสั่นหวั่นไหวกลัวจะเห็นภาพที่ยืนยันว่า คำบอกเล่าของนักสืบเป็นความจริง ความจริงที่อาจจะเป็นหายนะของลูกสาวเธอ พักใหญ่ต่อมา เมื่อเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ว่าลลิตากำลังรอฟังข่าวอยู่ทางโน้นอย่างกลัดกลุ้ม เธอก็ตัดสินใจเปิดซอง ล้วงมือที่สั่นเทาเข้าไปดึงรูปที่มีอยู่ด้วยกันสามใบออกมา ดวงตาที่พร่าพรายมองรูปเหล่านั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แล้วพริบตาต่อมา คอของคุณลักษณาก็เริ่มตกลง น้ำตาไหลรินออกมาเรื่อยๆด้วยความสงสารบุตรสาวอย่างสุดซึ้ง โธ่เอ๋ย...ลูกแม่ เรื่องมันล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ก็คงสุดปัญญาที่แม่จะช่วยลูกได้อีกแล้ว จะทำอย่างไรต่อไปจึงจะไม่ทำให้ลูกเสียใจจนไม่คิดหน้าคิดหลัง ลงมือทำอะไรที่คาดไม่ถึง เหมือนครั้งที่กินยานอนหลับจนต้องเข้าโรงพยาบาล
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ขณะที่คุณลักษณากำลังนั่งซมอยู่คนเดียวกับรูปที่ยังถืออยู่ในมือ ลลิตาซึ่งคงรออยู่ด้วยความร้อนใจก็โทรศัพท์มา
“แม่คะ ได้เรื่องอะไรบ้างหรือยัง เห็นแม่เงียบหายไปไม่โทร.มา ลิตาร้อนใจเลยต้องโทรมาเอง มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เสียงร้อนรนของบุตรียิ่งทำให้คุณลักษณารู้สึกแย่มากขึ้น เธอไม่อยากให้ลลิตารู้เรื่องรูปพวกนี้ แต่จะทำเฉยไม่บอกอะไรเลยก็ไม่ได้ เพราะเท่ากับร่วมมือกับคนอื่นหลอกลูกตัวเอง ให้อยู่กับฝันลมๆแล้งๆต่อไป
“ลิตา..” พูดได้แค่นั้นคุณลักษณาก็อึ้งไปเพราะพูดไม่ออก
“แม่ มีอะไรใช่ไหมคะ?” ลลิตาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที
“ถ้ามีอะไรก็บอกลิตามาตามตรงเถอะค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วลิตาจำเป็นต้องรู้ความจริงทั้งหมด แม่พูดมาเถะค่ะ”
“ลิตา แม่พูดอะไรไม่ออก ไม่อยากให้ลูกเสียใจ...” น้ำตาของคุณลักษณาเริ่มไหลรินออกมาอีก
ลลิตาอึ้งไปทันที เดาได้จากคำพูดของมารดาว่าเรื่องที่ได้รับรายงานจากนักสืบ ต้องเป็นเรื่องร้ายแรงคาดไม่ถึง จนทำให้มารดาของเธอมีปฎิกิริยาเช่นนี้ออกมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องที่มารดาบอกว่าพูดไม่ออก คงเกี่ยวพันอย่างมีนัยสำคัญ กับรูปถ่ายของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่พบในห้องนอนคริส ถ้าเช่นนั้น...ข้อสงสัยของเธอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของคริส ที่เกิดกับผู้หญิงคนนั้น ในช่วงที่เขาหายตัวไปเกือบหนึ่งปีก็เป็นไปได้น่ะสิ
“แม่คะ ไม่ต้องกลัวว่าลิตาจะเสียใจหรอก มันเลยขั้นนั้นมาแล้ว”
“หมายความว่ายังไง แม่ไม่เข้าใจ?”
“เอาเถอะค่ะแม่ ที่แม่บอกว่าไม่อยากให้ลิตาเสียใจน่ะ เรื่องเด็กหรือเปล่าคะ?”
คราวนี้คุณลักษณาตกใจเสียจนน้ำตาหยุดไหล “หมายความว่าลิตารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วหรือ?”
ลลิตาแค่นหัวเราะ “ลิตาเพิ่งเห็นรูปเด็กที่คิดว่าคงจะเป็นลูกพี่คริส ในห้องนอนเขาเมื่อเช้าวานนี้เอง แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร จนรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่เวียงพุกามโน่น แล้วเมื่อกี้ฟังที่แม่พูด ลิตาก็เลยเข้าใจทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว” แล้วเธอก็หัวเราะเยาะตัวเอง “รู้แล้วก็นึกสมเพชตัวเองที่โง่ขนาดหนัก ปล่อยให้เขาช่วยกันหลอกอยู่ได้”
“รู้ยังงี้แล้วลิตาจะทำยังไงต่อไปล่ะลูก”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ลิตายังคิดอะไรไม่ออก ต้องขอเวลาหน่อย ว่าแต่นักสืบของแม่สืบอะไรได้บ้างคะ นอกจากเรื่องเด็ก”
คุณลักษณาฟังเสียงบุตรสาวแล้วค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง คิดว่าลลิตาคงไม่เสียใจมากนักและคงจะทำใจได้ ก็เลยไม่คิดจะปิดบังเรื่องรูปสามใบนั้นอีกต่อไป “นักสืบเขาส่งรูปที่แอบถ่ายหน้าบ้านหลังนั้นมาให้สองสามรูป”
เธอพูดไม่ทันจบ ลลิตาก็ถามแทรกขึ้นมาก่อนว่า “รูปอะไรคะแม่?”
คุณลักษณาอึกอัก “เอ้อ..แม่ก็ไม่รู้จะบอกลิตาว่ายังไงดี”
ลลิตานิ่งอึ้งไปอีก แต่แล้วก็รีบพูดต่อโดยเร็ว “ลิตาอยากเห็น แม่ช่วยส่งมาให้หน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวนี้เลย”
มารดาของเธอถามอย่างสงสัยว่า “ให้เมลล์ส่งไปน่ะหรือ หลายวันนะกว่าลูกจะได้รับน่ะ”
บุตรสาวของเธอถอนใจ “โธ่..แม่คะ ส่งมาทางอินเทอร์เน็ตสิคะ ส่งปุ๊บลิตาก็ได้รับทันที”
“โฮ๊ย..แม่ส่งไม่เป็นหรอก ไม่รู้เรื่อง รูปพวกนี้แม่ก็ต้องขอให้นักสืบที่นี่ เขาพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ออกมา แล้วให้เด็กมาส่งให้ที่บ้านนี่แหละ”
หญิงสาวนิ่งคิดอย่างรวดเร็ว “ถ้างั้นแม่โทร.ไปหานักสืบคนนั้น บอกให้เขาส่งผ่านมาให้ลิตาทางอีเมลล์แอดเดรสของลิตา แม่มีกระดาษปากกาอยู่แถวนั้นไหมคะ ลิตาจะบอกให้แม่จดแล้วโทร.บอกเขาให้ส่งถึงลิตาทันที”
หลังจากจดอีเมลล์แอดเดรสของบุตรสาวเสร็จ คุณลักษณาก็อ้อมแอ้มถาม
“แล้วลูกคิดจะทำยังไงต่อไป แม่ว่าตัดใจเสียเถอะนะ ปล่อยเขาไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ตอนนี้เขามีทั้งลูกทั้งเมียพร้อมหน้า ลิตาเป็นแค่คู่หมั้นเท่านั้น อย่าไปต่อสู้แย่งชิงเขากลับมาเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ลูกแม่ยังสาวยังสวย หาผู้ชายดีๆที่ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแบบคริสได้อีกเยอะแยะ เชื่อแม่เถิดนะ”
“ขอลิตาคิดดูก่อน" หญิงสาวตัดบทด้วยเสียงขุ่นๆ "ลิตารู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างลิตากับพี่คริส ลิตาจะตัดสินใจเอง จะได้ไม่ต้องโทษแม่ทีหลัง”
หญิงสาวตัดสัญญาณโทรศัพท์ทันทีที่พูดจบ ปล่อยให้มารดาของเธอนั่งจมจ่อมวิตกทุกข์ร้อนแทนเธอกับเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้น