ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
|||||
เวลาที่หายไป - บท่ที่ 12 เคนเดินเรื่อยๆไปตามเส้นทางเล็กๆ สองข้างทางเป็นทุ่งดอกหญ้าหลากสี บางช่วงก็มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเป็นดง เสียงนกร้องจุ๊กจิ๊กบินร่อนไปมาตามคาคบที่มีเอื้องป่าช่องามๆหลากสีหลายพันธ์เกาะอาศัย แต่ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ในที่สูง ชายหนุ่มเดินมาเรื่อยๆตามสบาย บางครั้งก็หยุดเดิน แหงนมองดอกเอื้องเหล่านั้น เขาไม่รู้จักชื่อของมันแต่ก็รับรู้ได้ถึงความสวยสดงดงาม เคนกวาดตามองไปรอบๆแล้วก็เห็นกร ซึ่งกำลังกระเย้อกระแหย่งใช้ไม้ท่อนยาวในมือ พยายามที่จะทำอะไรสักอย่างกับไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เคนเดินเข้าไปข้างหลังเด็กชาย “ทำอะไรน่ะ คุณกร? ” เคนถามอย่างสงสัย กรสะดุ้งหันหน้ามามอง เมื่อเห็นว่าเป็นเคนเขาก็ยิ้มร่า ลดไม้ในมือลง “ โอ๊ย เคน ดีใจจังที่พบคุณ เมื่อกี้ผมไปหาคุณที่บ้านตาเป็งแต่คุณไม่อยู่ ผมก็เลยออกมาเดินเล่นคนเดียว ” “มีธุระอะไรกับผมหรือ ? ” “ ธุระน่ะไม่มีหรอก แต่เห็นว่าวันนี้เป็นวันหยุดของคุณ ก็เลยว่าจะชวนคุณไปหาอะไรสนุกๆทำกัน ” เห็นสายตาของเคนที่กำลังมองไม้ที่ยังอยู่ในมือเขา กรก็รีบอธิบายว่า “ ผมกำลังจะเก็บเอื้องป่าช่อนั้นไปฝากคุณหนู ” เด็กชายแหงนหน้า ชี้มือไปที่เอื้องช่อยาวดอกดกสีเหลืองอร่าม ที่ชูช่ออยู่บนคาคบของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “เธอชอบดอกเอื้องสีเหลืองเข้มโน่นมากเป็นพิเศษ ” ชายหนุ่มแหงนหน้ามองตามมือของเด็กชาย เอื้องป่าช่อนั้นขึ้นอยู่สูงเหนือศีรษะเขาขึ้นไปไกลพอสมควร แล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณจะใช้ไม้นั่นทำอะไร” เด็กชายทำหน้าเบื่อหน่าย ค่อนว่า “ เฮ่อ ไม่มีตาหรือ ก็เรากำลังจะสอยมันไง ” เดนหัวเราะขำเด็กชาย “ ถ้าคุณใช้ไม้สอย ดอกไม้นั่นก็คงชอกช้ำเสียจนต้องโยนทิ้งไป ” “อ้าว แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ? หรือคุณจะให้ผมปีนขึ้นไปเก็บ” กรแหงนมองเอื้องช่อนั้นอย่างเสียดาย “ ผมลองปีนดูแล้วละ แต่ไม่ไหว มันอยู่สูงเกินไป ” พอนึกอะไรขึ้นมาได้เด็กชายก็หันมามองเคน “ เอางี้ คุณช่วยปีนขึ้นไปเก็บหน่อยได้ไหมล่ะ ตัวคุณสูง ขาคุณก็ยาว ปีนขึ้นไปหน่อยเดียวก็คงเอื้อมมือเด็ดได้แล้วละ ช่วยหน่อยนะเคน ผมจะเอาไปฝากคุณหนู เธอจะได้อารมณ์ดี ” “คุณไปทำเรื่องให้คุณหนูอารมณ์เสียอีกหรือไง ? “ กรทำหน้าบูด “ เปล่าเลย ถึงเราไม่ทำอะไรให้ เธอก็พร้อมจะอารมณ์เสียอยู่แล้ว เคนก็รู้นี่นาว่าเธอขี้โมโห ” เมื่อเห็นว่าเรื่องชักจะหันเหออกไปจากการเก็บดอกไม้ กรก็วกกลับเข้าเรื่องเดิม “คุณช่วยเก็บให้หน่อยนะ แล้วให้ผมบอกคุณหนูก็ได้ว่าคุณเก็บมาฝากเธอ ” เขาพยายามหว่านล้อม “ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้คิดจะเก็บดอกไม้ไปฝากใคร ” ชายหนุ่มแหงนมองเอื้องช่อดังกล่าว สลับกับสำรวจไม้ต้นนั้นว่าจะมีกิ่ง ก้าน แง่ง ปุ่ม หรือคาคบที่จะช่วยให้ปีนป่ายขึ้นไปได้ แล้วเขาก็ไต่ขึ้นไป โดยใช้มือข้างหนึ่งโอบลำต้น อีกมือหนึ่งจับยึดปุ่มปมบนลำต้นใหญ่โตของมันเอาไว้ ขณะที่เท้าก็ควานหาที่ยึดเหยียบแล้วโหนตัวตามขึ้นไป เช่นนี้เรื่อยๆจนขึ้นไปถึงคาคบ ตรงที่เอื้องป่าช่อนั้นแกว่งไกวน้อยๆตามสายลมที่พัดผ่าน เมื่อถึงแล้วเคนก็ปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ช่อเอื้อง ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมีดพกเล็กๆมาง้างออก บรรจงตัดก้านของมันจนเกือบขาด ใช้ปากคาบมีดพกนั้นไว้ ในขณะที่ใช้มือที่ว่างลงแล้วดึงนิดเดียว ก้านดอกเอื้องที่ห้อยร่องแร่งอยู่ ก็หลุดติดมือเขาออกมา กรซึ่งเฝ้ามองอยู่ข้างล่างอย่างใจหายใจคว่ำ เพราะกลัวเคนจะพลัดตกลงมา ตบมือลั่นอย่างดีใจ “โยนลงมาเลย เคน โยนมาให้เรา ” “คุณรับได้แน่นะ ผมกลัวว่ามันจะตกดินจนช้ำเสียก่อนน่ะนา ” เคนตะโกนกลับลงมา “ โยนลงมาเถิดน่า มือชั้นนี้แล้วไม่มีทางพลาดหรอก ” เคนกะระยะทางก่อนจะโยนเอื้องช่อนั้นลงมาตรงตัวเด็กชาย ที่ยืนชูแขนทั้งสองข้างเตรียมพร้อมอยู่ กรคว้ารับไว้ได้อย่างนิ่มนวลแล้วหัวเราะร่าอย่างดีใจ เมื่อชายหนุ่มลงมาถึงพื้นดินเรียบร้อยแล้ว กรก็ชี้ให้เขาดูความงดงามของเอื้องป่าช่อนั้น เมื่อดูใกล้ๆดอกสีเหลืองทองของมันยิ่งดูสวยงาม กลีบดอกทั้งหนาและใหญ่ กะเปาะดอกเป็นสีแสดอ่อนๆ ช่อที่ยาวของมันเต็มไปด้วยดอกที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เรียงเป็นระเบียบอย่างสวยงาม “ คุณรู้ชื่อมันไหม? ” เคนถามเรื่อยๆไม่ได้นึกสนใจเป็นพิเศษ เขาแค่เห็นว่ามันสวยดีเท่านั้นเอง “ ไม่รู้หรอก“ กรตอบ “แต่คุณหนูคงรู้ เธอชอบศึกษาเรื่องต้นไม้ดอกไม้ ” “แต่คุณหนูไม่ชอบให้ใครเด็ดดอกไม้จากต้นไม่ใช่หรือ เธอว่ามันเป็นการทำลายความงามของธรรมชาติ ถ้าคุณเอาเอื้องช่อนี้ไปให้เธอก็อาจจะถูกดุอีก จริงไหม? ” กรนิ่งคิดสักครู่ก็นึกออก “ เราก็อย่าบอกว่าเก็บจากเวียงพุกามสิ บอกว่าเก็บจากป่าข้างนอกโน่นก็ได้นี่ ” ชายหนุ่มมองหน้าเด็กชายอย่างขำๆ แล้วก็ส่ายหน้า “ตามใจคุณก็แล้วกัน ผมไปละ มีอะไรต้องทำนิดหน่อย ” เมื่อผละจากเคน กรก็มุ่งหน้ากลับบ้านแล้วเที่ยวตามหาทิพย์สุรางค์ เมื่อไม่เห็นเธออยู่ข้างล่าง เขาก็ขึ้นบันไดไปชั้นบนตรงไปที่ห้องชุดของเธอ เคาะประตูห้องสองครั้งตามกฏที่เธอตั้งไว้ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจึงเดินเข้าไป ทิพย์สุรางค์นั่งเขียนอะไรง่วนอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องทำงาน พอเห็นเอื้องช่อยาวในมือ ที่ประคับประคองมาอย่างทะนุถนอมของเด็กชาย เธอก็ขมวดคิ้ว “นั่นอะไร ไปเก็บดอกไม้มาอีกแล้วหรือ บอกหลายครั้งแล้วใช่ไหมว่าดอกไม้ทุกดอกในเวียงพุกามนี่ ห้ามเก็บเด็ดขาด ” เสียงเขียวๆของคุณหนูทำให้กรหน้าจ๋อย เขาอึกอักออกมาว่า “ ผมไม่ได้เป็นคนเก็บมาหรอกฮะ เรา..คือผมกับเคนออกไปเดินเล่นที่ป่าใกล้ๆบ้านนี่ แล้วก็เห็นเอื้องป่าช่อนี้ เคนเขาว่าเอื้องช่อนี้สวยดีเหมาะกับคุณหนู เขาก็เลยปีนขึ้นไปเก็บ แล้วฝากผมมาให้คุณหนู ” เขาไม่ได้โกหกสักหน่อย ก็เคนไม่ใช่หรือที่เป็นคนปีนขึ้นไปตัดมันลงมาน่ะ ถึงเคนจะทำเพราะเขาขอให้ทำก็เถิด แล้วที่เขาบอกว่าเคนฝากมาให้ แม้จะไม่เป็นความจริง แต่เขาก็บอกเคนไว้ล่วงหน้าแล้วนี่ ว่าจะบอกว่าเขาฝากมาให้คุณหนู ถึงชายหนุ่มจะบอกว่าไม่ต้องก็ตามที กรคิดว่าเขาต้องพูดแบบนี้ ไม่งั้นคุณหนูก็จะต้องหาเรื่องมาบิดหูหรือหยิกแขนเขาอีก บางตอนที่เขาบิดเบือนไปบ้างก็คงไม่เป็นไร ถึงจะบาปบ้างก็เป็นบาปเล็กๆ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยจากมือคุณหนู พระท่านคงยกโทษให้หรอกน่า กรหาข้ออ้างและปลอบใจตัวเองไปพร้อมๆกัน แต่กรคาดผิด พอได้ยินว่าเอื้องป่าช่อนั้นเป็นของฝากจากชายหนุ่มคนนั้น ทิพย์สุรางค์ก็ส่งเสียงแหวออกมาทันทีอย่างไม่พอใจ “อะไรนะ นายเคนนั่นนึกยังไงถึงมาฝากดอกไม้ให้ฉัน ฉันไม่ใช่ศรีวรรณหรือคำหล้านะ ” เธอหมายถึงนางสาวใช้รุ่นๆสองคนที่ประจำอยู่บนตึก ที่เธอเคยเห็นชอบหาเรื่องไปพูดคุยกับเคนอยู่บ่อยๆ กรอ้าปากค้างเมื่อทิพย์สุรางค์ลุกจากเก้าอี้ เข้ามากระชากเอื้องช่อนั้นจากมือเขา โยนมันลงไปบนพื้นห้อง แล้วสั่งด้วยเสียงที่เฉียบขาดว่า “บอกเขาว่า ต่อไปอย่าบังอาจมาทำอะไรบ้าๆแบบนี้อีก ” เด็กชายตะลึงมองเอื้องช่องาม ที่ตอนนี้ดอกบางดอกของมันหลุดออกจากขั้วตกอยู่ใกล้ปลายเท้าเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูต้องโกรธขนาดนั้น แล้วที่ว่าเคนบังอาจอีกล่ะ ให้ดอกไม้แค่นี้ก็เป็นการบังอาจแล้วหรือ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธและแค้นใจกับการกระทำของเธอ ที่เขาเห็นว่าเกินกว่าเหตุจนกล้าตอบโต้เธออย่างลืมตัว “ คุณหนูไม่คิดถึงน้ำใจของคนอื่นเลย เคนเขาอุตส่าห์ปีนขึ้นไปเสียสูงลิบจนเกือบจะตกลงมา เขาเก็บเอื้องช่อนี้มาฝากคุณหนู เพื่อตอบแทนบุญคุณที่อนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วอยู่ๆคุณหนูก็โยนมันทิ้งเสียเฉยๆซะยังงั้น ” ว่าแล้วเด็กชายก็คุกเข่าลงบนพื้นห้อง หยิบเอื้องช่อนั้นขึ้นมาแล้วตามเก็บดอกที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาด้วย หญิงสาวซึ่งนั่งอึ้งอยู่กับคำพูด ที่พูดด้วยเสียงราบเรียบผิดกว่าเคยของกร ถามว่า “ นั่นแกจะทำอะไร ? ” เสียงของเธออ่อนลงเล็กน้อย กรลุกขึ้นยืน ตอบโดยไม่มองหน้าเธอว่า “ผมจะเอาไปทิ้งข้างล่าง ” ทิพย์สุรางค์ขมวดคิ้ว นิ่งไปครู่หนึ่ง “ ไม่ต้องถือเร่อร่าไปถึงข้างล่างหรอก ทิ้งในถังขยะใบโน้นแหละ ” เธอชี้มือไปที่ถังใส่เศษกระดาษเล็กๆน้อยๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้โต๊ะทำงาน กรทำตามแล้วเดินคอตกหลังค่อมราวกับคนแก่ ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ เมื่อกรไปแล้วทิพย์สุรางค์นั่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปที่ถังขยะ หยิบเอื้องเหลืองทองช่อนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างใจลอย ถือมันเข้าไปวางไว้บนเคาเตอร์หน้ากระจกเงาในห้องน้ำ หลังจากนั้นเธอค้นได้แจกันแก้วเจียรนัยสีม่วงอ่อน ไขน้ำจากก๊อกในอ่างล้างหน้าลงไป นำเอื้องช่อนั้นปักเอาไว้ ถือแจกันใบสวยที่มีเอื้องช่องามที่ควรจะงามกว่านี้ ถ้าเธอไม่หุนหันพลันแล่นขว้างปาจนบางดอกเสียหายขาดหลุดไป ติดมือออกไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้นวมบุด้วยผ้าไหมสีสด ตาของทิพย์สุรางค์จับอยู่ที่ช่อดอกเอื้อง กรบอกว่าชายหนุ่มผู้นั้นอุตส่าห์ป่ายปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่สูงลิบ เพื่อจะนำมันมาฝากเธอ ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น เขาคิดอย่างไรกับเธอ หรือเขาแค่อยากตอบแทนบุญคุณเธอ อย่างที่กรพูดเมื่อครู่นี้ แต่เธอก็รู้นี่นาว่าการที่ผู้ชายให้ดอกไม้ผู้หญิง ไม่ว่าคนชาติไหนก็รู้ดีว่ามันมีนัยสำคัญบางอย่าง แล้วเธอก็ขมวดคิ้วคู่งามเข้าหากัน หรือว่าเขาก็เหมือนผู้ชายทั่วๆไป ที่เมื่อเจอผู้หญิงที่หน้าตาดีหน่อย ก็อดทำเจ้าชู้คอยกระลิ้มกระเหลี่ยไม่ได้ พอคิดอย่างนี้ ทิพย์สุรางค์ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกด้วยความถือตัว งั้นที่เธอฝากกรไปบอกเขาว่า ต่อไปอย่าบังอาจก็สมควรแล้วสิ เขาเป็นใครแล้วเธอล่ะเป็นใคร เธอทะนงตัวอยู่เสมอว่าเป็นเหมือนดอกฟ้า ที่อยู่เหนือหญิงธรรมดาสามัญอีกมากมายหลายคน ในขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นเพียงชายนิรนามไร้ญาติขาดมิตร ที่ซัดเซพเนจรมาพึ่งเวียงพุกามของเธอ พอคิดเช่นนั้น หญิงสาวก็แทบจะโยนเจ้าเอื้องเคราะห์ร้ายช่อนั้น กลับลงไปในถังขยะตามเดิม แต่เธอก็ไม่ได้ทำ ตรงกันข้ามเธอกลับนำแจกันใบนั้นไปวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียงในห้องนอน ที่เธอแน่ใจว่ากรจะไม่เข้ามาพบเห็น มันถูกวางไว้อย่างนั้นอีกหลายสัปดาห์จนกระทั่งแห้งเหี่ยวหมดสภาพไป เช้าวันอาทิตย์หลังเกิดเรื่องดอกเอื้องไม่กี่วัน กรตื่นนอนแล้วลงไปที่ห้องแพนทรี เพื่อรับประทานอาหารเช้าตามปกติ เขาพบว่าทิพย์สุรางค์อยู่ที่นั่นแล้ว เธอกำลังวุ่นวายอยู่กับการผสมแป้ง ศรีวรรณกำลังใช้ที่ตีไข่ตีไข่ขาวจนขึ้นฟู ส่วนคำหล้ากำลังนวดแป้งบางส่วนบนแผ่นกระดานสำหรับนวดแป้ง บนโต๊ะกลางห้องเต็มไปด้วยถาดและพิมพ์ขนม แบบและขนาดต่างๆ กรรับประทานอาหารจนเสร็จ หลังจากนั้นก็เลียบๆเคียงๆเข้าไปดู เมื่อเห็นอุปกรณ์และวัตถุดิบทั้งหมดที่กองอยู่บนโต๊ะกลางห้อง เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถามว่า “คุณหนูทำอะไร? ทำเค้กหรือฮะ? ” ทิพย์สุรางค์ปรายตามองหน้ากรแว่บหนึ่ง แล้วตอบด้วยเสียงที่เหมือนจะบอกเขาว่าเธอยังไม่หายโกรธ “ทำอะไรก็ช่างเถอะ ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็น ไว้รอกินอย่างเดียวก็พอ ” เธอพูดพร้อมกับใช้มีดปาดของเหลวสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งกรรู้ว่ามันคือช็อคโกเลต บนหน้าและตัวเค้กให้เรียบและทั่วถึงพร้อมที่จะเข้าเตาอบ ที่กรรู้ว่าเธอเปิดไฟและตั้งอุณหภูมิรอเอาไว้แล้ว เด็กชายทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของเธอ เขารู้วิธีทำให้เธอหายโกรธได้เสมอ ถ้าเขาอยากจะทำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน “เค้กช็อคโกแลตใช่ไหมฮะ ? ผมชอบมากเลย คุณหนูทำได้อร่อยกว่าร้านเค้กที่อยู่ใกล้โรงเรียนตั้งเยอะ ครั้งที่แล้วที่คุณหนูกรุณาทำเผื่อให้ผมเอาไปทานกับเพื่อนที่โรงเรียน พวกเพื่อนๆมันชมกันใหญ่ว่าไม่เคยทานเค้กช็อคโกแลตที่ไหนอร่อยเหมือนของเราเลย ” ทิพย์สุรางค์คลายสีหน้าที่พยายามทำให้บึ้งตึงเข้าไว้เพื่อข่มขวัญกร ใครๆก็ชอบคำชม แม้คำชมนั้นจะมาจากเด็กขาดๆเกินๆอย่างกรก็ตามที แต่แล้วประโยคต่อไปของเขาก็ทำให้เธอนึกเดือดขึ้นมาอีก “ ความจริงเค้กของคุณหนูอร่อยมากเลย แต่คุณหนูทำหลายครั้งแล้ว น่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้าง เช่นคุกกี้ ทำไมคุณหนูไม่ลองทำคุกกี้บ้างล่ะฮะ หรือคุณหนูทำไม่เป็น เพราะที่โรงเรียนเขาไม่ได้สอน” ประโยคท้ายนั้นทำให้ทิพย์สุรางค์แทบจะโยนมีดปาดหน้าเค้กในมือ เข้าไปที่ปากช่างจำนรรจาของเด็กชาย แต่ในขณะที่เธอกำลังพยายามข่มใจอยู่ ศรีวรรณก็บอกกรว่า “นอกจากเค้กนั่นแล้ว ยังมีคุกกี้ข้าวโอ๊ตอีกนะคะ คุณกร วันนี้คุณหนูทำสองอย่างเลย ” กรมองตามมือศรีวรรณที่ชี้ให้ดูถาดขนาดใหญ่สองถาด ซึ่งมีพิมพ์ขนมเล็กๆที่หยอดส่วนผสมไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะนำเข้าเตาอบเรียงรายอยู่เต็ม กรสูดปาก “ไชโย คราวนี้ได้กินคุกกี้บ้างแล้ว ” เขากุลีกุจอช่วยหยิบโน่นหยิบนี่อยู่เป็นชั่วโมง เดินเข้าๆออกๆอีกหลายครั้ง จนเค้กช็อคโกแลตและคุกกี้สองถาดใหญ่ซึ่งสุกได้ที่แล้ว ถูกนำออกจากเตาอบมาวางบนโต๊ะกลาง เมื่อคุกกี้เย็นลงพอสมควร ศรีวรรณและคำหล้าก็ช่วยกันเคาะออกจากพิมพ์ มีกรวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หยิบชิ้นโน้นชิ้นนี้ขึ้นมาชิม จนทิพย์สุรางค์ต้องตีมือเขา “ นี่! นั่งกินให้เป็นระเบียบเรียบร้อยหน่อยได้ไหม ? ” เธอดุ “ คุณหนูฮะ ผมขอแบ่งไปไว้รับประทานในห้องบ้าง ได้ไหมฮะ ? ” กรกระะลิ้มกระเหลี่ยถาม “ แบ่งไปก็ได้ ” ทิพย์สุรางหันไปสั่งสาวใช้ ให้ช่วยเรียงคุกกี้ลงในขวดโหลแก้วใบย่อมเพื่อเก็บไว้รับรองแขก หรือสำหรับบิดาไว้รับประทานกับกาแฟ แล้วก็ออกจากห้องนั้นไป กรได้โอกาส เขาเปิดตู้เก็บกล่องพลาสติกที่มีอยู่หลายขนาดและหลายรูปทรง เลือกได้กล่องสี่เหลี่ยมขนาดย่อมๆ โกยคุกกี้ข้าวโอ๊ตที่ยังกองอยูในภาชนะพลาสติกก้นลึกใบใหญ่ ใส่ลงไปในกล่องพลาสติกใบนั้น ปิดฝาเรียบร้อย หลังจากนั้นก็โกยแน่บลงจากตึก เที่ยวตามหาเคนไปจนทั่ว และสุดท้ายพบเขาที่โรงอาหารคนงาน เคนเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ กำลังจะลุกจากโต๊ะยาวที่คนงานใช้เป็นที่นั่งรับประทานอาหาร “ ฮัลโหล เคน ” กรเดาะภาษาอังกฤษ “ กินข้าวอิ่มแล้วเหรอ พอดีเลย นี่ ดูอะไรนี่ ” เขาชูกล่องพลาสติกสีขาวทึบที่ถืออยู่ให้เคนเห็น นั่งลงข้างๆ กุลีกุจอเปิดฝากล่องแล้วไสมันไปตรงหน้าเคน “ดูนี่ ชิมเสีย ของอร่อยจากเจ้าหญิง ” พูดจบก็ส่งคุกกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปากตัวเอง แล้วส่งอีกชิ้นให้เคน ชายหนุ่มรับมาแล้วก้มลงมอง “คุกกี้ไม่ใช่หรือ ” กรพยักหน้าหงึกหงักเพราะมีขนมอยู่เต็มปาก “กินเสียสิ อร่อยนา หากินไม่ได้ง่ายๆหรอก ” เมื่อเห็นเคนยังรีรออยู่เขาก็พูดต่อว่า “เจ้าหญิงลงมือทำเองเชียวนา รีบๆกินซะ ” “ เจ้าหญิง ? ” เคนยังมืดแปดด้าน รับมุขของเด็กชายไม่ทัน “ก็คุณหนูไง ” กรบอกอย่างรำคาญความซื่อบื้อของเคน “ คุณหนูลงมือทำเองเชียวนา เปิ้นลงไปทำตั้งแต่เช้าแล้ว ผมยังเข้าไปช่วยเลย ” เขาคุย เคนทำตาปริบๆ ไม่รู้ว่าจะเชื่อกรได้แค่ไหน “คุณหนูของคุณเนี่ยนะ ทำคุกกี้นี่ ” “ใช่สิ ไม่ใช่แค่คุกกี้นี่เท่านั้นนะ เปิ้นยังทำเค้กช็อคโกแลตก้อนเบ้อเริ่มเทิ่มอีกด้วย" ชายหนุ่มยังไม่หายสงสัย “คุณหนูทำเป็นจริงๆหรือ ” “ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ ? ” เด็กชายถามอย่างเข้าใจ อีกฝ่ายรีบแก้ตัวว่า “เปล่า ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ไม่เคยรู้ว่าคุณหนูก็ทำของพวกนี้เป็นเหมือนกัน ” ที่เขาคิดต่ออยู่ในใจก็คือ ไม่เคยเห็นคุณหนูเธอทำอะไรที่เกี่ยวกับการบ้านการเรือนสักที เขาเห็นแต่เธอเที่ยวเดินท่อมๆไปที่โน่นที่นี่กับกรบ้าง ไปขี่ม้าเล่นคนเดียวบ้าง บางครั้งเธอก็แต่งตัวสวยงามกรีดกรายออกมารับรองแขกคนพิเศษของเธอ เช่นคุณชาคริตรูปหล่อพ่อรวยคนนั้น “เฮอะ คุณยังไม่รู้อะไรอีกแยะ ” กรค่อน “ คุณหนูจะทำไม่เป็นได้ไงล่ะ เปิ้นเรียนจบวิชาการบ้านการเรือน มาจากเมืองนอกเชียวนา ” เขาคุยโอ่อย่างภูมิใจ “ เค้กกับคุกกี้นี่ก็ของกล้วยๆ เธอทำกับข้าวฝรั่งได้อีกเยอะแยะ ปกติก็ไม่ค่อยได้ทำหรอก นอกจากนานๆครั้งที่นึกขยันขึ้นมา หรือเวลาที่มีแขกมาจากกรุงเทพฯ แล้วเธออยากจะอวดฝีมือนั่นแหละ เธอถึงจะลงมือทำ ” เคนนิ่งฟัง แต่ยังนึกภาพคุณหนูทำโน่นทำนี่ในครัวไม่ออก เมื่อเห็นชายหนุ่มยังไม่ส่งเจ้าคุกกี้ที่ถืออยู่ในมือเข้าปากเสียที กรก็หยิบชิ้นใหม่ในกล่องมาจ่อเข้าที่ปากของเคน ทำให้เขาต้องอ้าปากรับ เคี้ยวกลืนแล้วตามด้วยน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ “อร่อยมากใช่ไหมล่ะ ? ” กรสรุปเอาเอง แล้วพูดต่อไปโดยไม่รอคำตอบ “ นี่ คุณเอาไปทั้งกล่องเลยนะ คุณหนูฝากมาให้คุณ ” เขาปิดฝากล่องขนมแล้วส่งให้เคน “ให้ผม ? ” เคนงง “ ทำไมต้องให้ ผมไม่ชอบขนมหวานๆหรอก ” “โธ่เอ๊ย ” เด็กชายทำท่าอ่อนใจ “ คุณหนูให้ก็รับๆไว้เถอะน่า ถ้าคุณไม่ชอบก็เอาให้ตาเป็งก็ได้นี่นา ” แต่ชายหนุ่มยังมีคำถาม “ แล้วทำไมคุณหนูต้องให้ขนมผมด้วยล่ะ ? ” กรอึ้ง แต่แล้วก็รีบตอบ อย่างที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วว่า “ ก็ตอบแทนคุณไง ที่เก็บดอกเอื้องนั่นมาฝากเธอ ” คราวนี้เคนตกใจจนผงะไปข้างหลัง “ฮ้า! ว่าไงนะ คุณบอกคุณหนู ว่าผมเป็นคนเก็บดอกไม้นั่นมาฝากเธอหรือ ? ” เมื่อเด็กชายพยักหน้ารับ ชายหนุ่มก็ยกสองมือขึ้นกุมขมับ “ โธ่ คุณกรนะคุณกร ” กรเห็นหน้าของเคนมีสีแดงระเรื่อ ก็นึกว่าเขาคงโกรธ เด็กชายเลยหน้าจ๋อย พยายามแก้ตัวเพื่อขอความเห็นใจ “ ความจริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกเธอยังงั้นหรอก แต่เห็นเธอโกรธมากและดุผมด้วย ผม..ผมก็เลยขอยืมชื่อคุณหน่อยเท่านั้นเอง ” เขาไม่กล้าบอกเคนหรอกว่าคุณหนูโยนเอื้องช่อนั้นทิ้ง แถมยังว่าเคนบังอาจอีก ความจริงแล้วเจตนาของเด็กชายที่เอาขนมมาให้เคน ก็เพราะอยากอวดฝีมือทำขนมของคุณหนูให้เคน ซึ่งเขาถือว่าเป็นเพื่อนรักของเขา ได้ชิมรสชาติของมันว่าอร่อยเพียงใด แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาเกิดนึกละอายใจที่นำชื่อเคนไปอ้างว่าเป็นคนฝากดอกไม้มาให้คุณหนู ทำให้เคนต้องถูกคุณหนูเหยียบย่ำด้วยวาจา มิหนำซ้ำเอื้องช่องามที่เคนอุตส่าห์ปีนป่ายขึ้นไปเก็บ ก็ยังถูกโยนทิ้งถังขยะเสียอีก ตอนนี้เขาก็เลยแค่จะชดเชยให้เคนบ้าง ด้วยขนมจากฝีมือของคุณหนู แต่เขาก็ทำพลาดอีกแล้ว ที่อ้างว่าคุณหนูเป็นคนฝากขนมกล่องนี้มาให้ “เคน เคน โกรธผมหรือเปล่า ” เด็กชายเขย่าแขนเคนอย่างร้อนใจ “ อย่าโกรธเลยนะ ผมขอโทษก็แล้วกัน ” ชายหนุ่มหันมามองหน้ากร “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก เดี๋ยวคุณหนูจะเข้าใจผิด ” กรไม่เข้าใจ “เข้าใจผิดเรื่องอะไร ? ” “ เธอจะคิดว่าผมลามปามน่ะสิ ” ชายหนุ่มตอบเลี่ยงๆ แต่คราวนี้เด็กชายกลับเข้าใจ แถมเข้าใจไปไกลกว่าความหมายของเคนเสียอีก “ อ๋อ คุณกลัวว่าคุณหนูจะคิดว่าคุณชอบเธอน่ะเหรอ” เขายื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถาม “ ไม่เอาละ ไม่พูดกับคุณแล้ว ผมต้องไปทำงานต่อ คุณเก็บขนมนี่เอาไว้ทานเองแล้วกัน ” เคนหน้าแดงแล้วก็รีบลุกออกจากโรงอาหารไป ปล่อยให้กรที่ยังถือกล่องคุกกี้อยู่ในมือ มองตามหลังเขาไปอย่างมืดแปดด้าน อะไรกันนี่ พูดเรื่องดอกไม้ช่อนั้นคุณหนูก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟใส่เขา พอบอกเคนเรื่องคุกกี้นี่เขาก็ถูกเคนโกรธอีก เฮ้อ..โดนโกรธทั้งขึ้นทั้งล่อง แย่จัง ค่ำวันนั้นเมื่อเคนกลับมาที่บ้านพักของตาเป็ง ชายชราซึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้ยาว บุ้ยใบ้ไปที่โต๊ะที่ใช้เป็นที่วางของจิปาถะ รวมทั้งเป็นที่รับประทานอาหาร “คุณกรเอากล่องโน่นมาฝากไว้ให้คุณ ” ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าคือกล่องคุกกี้ที่เขาปฏิเสธไปแล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มเดินไปที่กล่องขนม เปิดฝาออกแล้วเดินเข้าไปหาชายชรา “คุกกี้ เอ้อ ขนมน่ะลุง ” เขาหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งส่งให้แก “ ลองชิมสิครับ ” ตาเป็งไม่รับ “ ฟันผมไม่ดี เคี้ยวไม่ไหวหรอก อินแปงมันเคยซื้อมาฝากเวลาเข้าเมือง แข็งเหมือนหิน กัดแทบไม่เข้าเลย ” “แต่ขนมนี่ไม่แข็งหรอกครับ รสชาติก็ดี ” เขารู้จากที่กรป้อนให้ชิมน่ะแหละ ทันทีที่เข้าปากถูกน้ำลาย มันก็นุ่มและค่อยๆละลาย รสชาติก็กลมกล่อม ไม่หวานจนเกินไป ชายชรารับคุกกี้ชิ้นนั้นจากมือเคน บิมันออกมาหน่อยหนึ่งแล้วเอาเข้าปาก “ อืมม์ นิ่มดี ” ชายหนุ่มนำกล่องนั้นไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม บอกแกก่อนที่จะเดินขึ้นข้างบน เพื่อเตรียมตัวอาบน้ำว่า “ งั้นผมวางไว้ตรงนี้นะ ลุงช่วยทานหน่อย ผมไม่ค่อยชอบขนมพวกนี้ ” ถึงปากจะบอกว่าไม่ชอบแต่เขาก็ยอมรับว่า ถ้าทิพย์สุรางค์เป็นคนทำขนมนี้จริงเธอก็มีฝีมือพอตัวทีเดียว และยังคิดต่อไปอีกหน่อยว่า ความจริงถึงเธอจะวางท่าถือตัวและชอบถากถาง ขี้โมโหหรือขี้หมั่นไส้อย่างที่กรตั้งข้อหา แต่เธอก็เป็นคนที่มีน้ำใจกว้างขวางโอบอ้อมอารี แม้แต่กับลูกจ้างไร้ทางไปอย่างเขา กรนี่คือคิวปิดตัวน้อยแบบไม่รู้ตัวค่ะ
โดย: หอมกร วันที่: 25 มกราคม 2567 เวลา:15:55:34 น.
สวัสดีค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเสียนาน
โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:14:02:05 น.
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
บล็อกวันนี้ กร เป็นตัวเอกของเรื่องเลย นะเนี่ย ทำหน้าที่เป็นผู้ ประสานสัมพันธ์ระหว่าง นางเอกและพระเอกโดยไม่รู้ตัว อิอิ น่ารัก จ้ะ อ่านเพลินดี จ้ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 27 มกราคม 2567 เวลา:14:00:30 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |